เมื่อกลับขึ้นเขามา โลกพลันเงียบสงบ เขาหนึ่งลูก วัดหนึ่งแห่ง หลวงจีนหนึ่งรูป ลิงตัวหนึ่งคุกเข่าในอุโบสถหนึ่งวันหนึ่งคืน

แม้ทุกคนจะให้อภัยและเข้าใจแล้ว แต่ฟางเจิ้งยังคิดว่าตนทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ นี่คือเหตุและผล เป็นเหตุและผลของตน…ไม่เกี่ยวกับการให้อภัยจากคนอื่น

นี่สร้างความทุกข์ให้กับลิง ลิงมีนิสัยป่าเถื่อน มักจะอยากแอบขี้เกียจหรือออกไปเล่น โดยเฉพาะตอนที่หมาป่าเดียวดายวิ่งไปมาตรงหน้า มันอยากจะพุ่งออกไปใจจะขาด แต่หางถูกหลวงจีนตรงหน้ากดไว้เลยไปไหนไม่ได้ ได้แต่คุกเข่าอย่างว่าง่าย

ตรงตีนเขา เมื่อรถบัสคันใหญ่เคลื่อนตัว ชาวบ้านที่มาส่งเหล่านักแสดงเรื่องล่มเมืองต่างบอกลา เหมือนว่าทุกอย่างจะกลับมาเงียบสงบดังเมื่อก่อน แต่กลับมีบางคนหัวเราะอย่างมีความสุข อย่างเช่นหวังโอ้วกุ้ย

“ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะทำไมน่ะ?” ซ่งเอ้อโก้วถามด้วยความแปลกใจ

“ไม่มีอะไรๆ เดี๋ยวพวกแกก็รู้เอง ตอนนี้เก็บเป็นความลับ! ฮ่าๆ…” หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะเสียงดังอีกสามทีแล้วเดินไป ทำเอาทุกคนต่างสงสัย

บนรถ หลี่เสวี่ยอิงมองภูเขาเอกดรรชนีที่หายไปในคืนมืดค่อยๆ ห่างออกไป นัยน์ตามีประกายหงอยเหงาวูบผ่าน

“พี่เสวี่ยอิง ทำใจจากไม่ได้เหรอคะ?” เสี่ยวหลิวถามด้วยความแปลกใจ

หลี่เสวี่ยอิงส่ายหน้า “ฉันตัดความรู้สึกสบายนั้นไม่ลง พอออกจากเขาเอกดรรชนีก็น่าจะไม่ว่างอีก ช่างเถอะ ไม่พูดแล้ว จะงีบสักเดี๋ยว ถึงแล้วเรียกด้วย”

“ค่ะ” เสี่ยวหลิวขานรับเหมือนจะเข้าใจและไม่เข้าใจ

หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ วันที่สองลิงเดินกะเผลกออกมา คิดทบทวนทั้งคืน ในที่สุดมันก็ยอมแพ้ให้กับความหลงอำนาจของฟางเจิ้ง รับปากว่าจากนี้จะไม่ขโมยของอีกถึงถูกปล่อยตัว แต่ฟางเจิ้งยังไม่ออกมา…

“เจ้าอาวาสถึงเวลาทำอาหารแล้ว” หมาป่าเดียวดายชะโงกหน้าเข้าไปในอุโบสถ

“อมิตาพุทธ อาตมาเคยบอกแล้วว่าลิงคุกเข่าหนึ่งวัน อาตมาจะคุกเข่าสองวัน ไม่กิน” ฟางเจิ้งตอบ

“เจ้าอาวาส นายไม่กินไม่ได้นะ ถ้านายไม่กิน…กระรอกจะหิวจนผอมโซแน่” หมาป่าเดียวดายชำเลืองตามองกระรอก

กระรอกรีบซ่อนเมล็ดสนในมือไว้ข้างหลัง แม้จะไม่เข้าใจว่าหมาป่าเดียวดายพูดอะไร แต่อยู่ด้วยกันมานานจึงฉลาดขึ้นมาก มองออกว่าเกิดอะไรขึ้นจึงพูดกับฟางเจิ้ง “เจ้าอาวาส ฉันจะหิวจนผอมจริงๆ นะ นายทนเห็นฉันผอมลงได้เหรอ?”

ลิงลูบหนังท้องที่เหี่ยวจนแฟบก่อนพูดด้วยความขมขื่น “เจ้าอาวาส ฉันสำนึกผิดแล้ว รับปากว่าจากนี้จะไม่ขโมยของอีก ถ้านายไม่ให้หยิบ ฉันจะไม่หยิบเด็ดขาด!”

ระหว่างพูดอยู่นี้ ลิงแอบหยิบเมล็ดสนข้างหลังกระรอกไปแล้ว…

ฟางเจิ้งหันหลังให้พวกมันเลยไม่รู้ว่าเจ้าสามตัวนี้กำลังทำอะไร เขาไม่สนว่าพวกมันกำลังทำอะไร แต่เงยหน้ามองป้ายหมื่นพุทธ “อาตมาพูดไว้ก็ต้องทำให้ได้ บอกว่าไม่กินก็คือไม่กิน! หิวก็ไม่กิน!”

เจ้าสามตัวนี้แยกย้ายกันไปอย่างเหงาหงอย นอนหมอบเซื่องซึมใต้ต้นโพธิ์…ถึงจะหาของกินมาได้ แต่ถ้าไม่มีข้าวผลึกเป็นอาหารหลัก จะรู้สึกว่าวันนั้นน่าเบื่อ…

ตอนนี้เองลิงสำนึกผิดที่ขโมยชุดชั้นในจริงๆ แล้ว หิวอยู่สองวันแลกกับได้เล่นสนุกเพียงนิดเดียว…ขาดทุนยับเยิน!

ผ่านไปอีกวัน วันใหม่มาถึง เมื่อดวงตะวันแรกลอยขึ้นฟ้าก็ได้ยินฟางเจิ้งพูดเสียงต่ำ “เจ้าหมาป่า เจ้าลิง มานี่เดี๋ยว”

หมาป่าเดียวดาย ลิงและกระรอกเฝ้าอยู่ข้างนอกตลอด พอได้ยินฟางเจิ้งเรียกจึงวิ่งเข้าไปทันที

หมาป่าเดียวดายถาม “มีอะไรหรือเจ้าอาวาส?”

“พยุงอาตมาที ขาชาน่ะ…” ฟางเจิ้งพูดเศร้าๆ

หมาป่าเดียวดาย “@…”

ลิงเข้ามาใกล้ พยุงฟางเจิ้งอย่างเอาอกเอาใจ ฟางเจิ้งว่า “เจ้าลิง นายเข้าใจรึยัง?”

ลิงพยักหน้ารัวๆ

ฟางเจิ้ง “ในเมื่อเข้าใจแล้วก็แปลว่าสำนึกผิดแล้ว”

ลิงพยักหน้าต่อ

“สำนึกผิดแล้วก็ต้องถูกลงโทษ จากนี้นายรับผิดชอบกวาดลานวัด ไปเอาไม้กวาดมา ถ้าบนพื้นยังมีใบไม้ก่อนกินข้าว จะลดข้าวนายลง” ฟางเจิ้งพูด

ลิงจะพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว แต่พลันได้สติกลับมา ไม่ใช่แล้ว! เกือบตกหลุมแล้ว จึงรีบร้องโวย “ฉันคุกเข่าไปแล้วนี่? จะลงโทษอะไรอีก?”

“อันนั้นให้นายคิด นี่ต่างหากคือการลงโทษ เอาเถอะ ไปทำงานได้แล้ว อาตมาจะทำอาหาร แน่นอน นายจะไม่ทำก็ได้ แต่ไม่ได้กินข้าว” ฟางเจิ้งพูด

ลิงนึกถึงข้าว มองลานวัดแล้วกัดฟัน ลานก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นนี่? กวาดสิวะ!

ต่อมาลิงหยิบไม้กวาดมา เริ่มกวาดโดยเลียนแบบท่าทางที่ฟางเจิ้งกวาดลานเป็นประจำ ลิงเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แต่ไม่นานมันก็พบว่าการกวาดใบไม้ร่วงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น กวาดแรง ใบไม้ปลิว กวาดเบา ใบไม้ติดกับพื้นกวาดยาก กวาดเร็วจะต้องมีร่วงลงมาอีกแน่…ด้วยความจำใจลิงได้แต่กวาดช้าๆ ค่อยๆ กวาด นี่เป็นการทรมานลิงที่มีนิสัยใจร้อน แต่เมื่อได้กลิ่นหอมข้าวลอยโชยมาจากหลังลานจึงอดทนต่อไป!

แต่ไม่นานเจ้าลิงก็พบอีกปัญหาที่น่าปวดหัว มันกวาดด้านนี้ ใบไม้ร่วงอีกด้านของต้นโพธิ์! กวาดไปแล้วรอบหนึ่งยังต้องกลับมากวาดซ้ำอีกรอบ มันจึงคิดว่าจะโยนไม่กวาดทิ้งประท้วงหยุดงาน แต่พอนึกถึงข้าวเย็น นึกถึงสองวันที่ฟางเจิ้งคุกเข่าเป็นเพื่อนมัน เจ้าลิงเกาก้น กัดฟัน ก้มหน้าก้มตากวาดต่อไป…

ฟางเจิ้งไม่ได้หุงข้าวยุ่งยากมากนัก ล้างหม้อซาวข้าว จุดฟืน ที่เหลือก็แค่รอ ดูมือถือ แอบสังเกตสีหน้าของลิง

แต่ความอดทนของเจ้าลิงเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ ตอนแรกคิดว่ามันกวาดสองสามทีจะต้องโยนไม่กวาดทิ้งไม่ทำแล้วแน่ แต่คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะกวาดพื้นอย่างใจเย็นได้จริงๆ เห็นดังนั้นเขาก็แอบพยักหน้าให้ ลิงนี่ยังไม่ถึงขั้นกู่ไม่กลับ

ฟางเจิ้งนั่งอยู่หลังลาน เปิดอ่านวีแชตดู มีคนส่งคำขอเป็นเพื่อนหลายสิบคน! พอดูดีๆ ก็มีหน้าคุ้นตาทั้งนั้น มีอวี๋กว่างเจ๋อ หลินตงสือ หลัวลี่ เหล่าเถา เสี่ยวหลิง เสี่ยวหลิวรวมถึงหลี่เสวี่ยอิงเป็นต้น ฟางเจิ้งจึงกดรับพวกเธอทีละคน

ก่อนฟางเจิ้งถูกดึงเข้าไปในกลุ่ม ชื่อว่ากลุ่มล่มเมือง

พอเข้ากลุ่ม ฟางเจิ้งเห็นทุกคนกำลังคุยกันอย่างดุเดือด

“รู้กันรึเปล่าว่าแรนซัมแวร์[1]หยุดไปไม่กี่วันก็เอาอีกแล้ว ได้ยินว่าเป็นอันตรายกับมือถือด้วยนะ”

“ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน แม้แต่ FBI ของประเทศอเมริกายังถูกแฮกเลย”

“หนังใหม่ล่าสุดของดิสนีย์ถูกแฮกเกอร์ขโมยไปแล้ว ตอนนี้แฮกเกอร์ต้องการเงินค่าไถ่ แต่เหมือนว่าดิสนีย์จะไม่ให้นะ แถมไปหา FBI แทน แต่ FBI เล่นตลก ดันให้เขาจ่ายไป…”

“โลกนี้มันบ้าจริงๆ แฮกเกอร์ก็บ้า ดันแฮกทั้งโลกอย่างโจ่งแจ้ง! ไม่มีกฎหมายบ้านเมืองเลยจริงๆ”

“หืม? หลวงพี่ฟางเจิ้งเข้ากลุ่มแล้ว!” คนที่ใช้ชื่อว่าเสี่ยวหลิงกลางสายลมทักขึ้น

จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

“หลวงพี่ฟางเจิ้งมาแล้วเหรอ? พวกเราสาวๆ ต้อนรับหน่อย!”

จากนั้นก็มีภาพที่คุณภาพไม่มากไม่น้อยส่งมาทีละใบ ฟางเจิ้งมองผ่านๆ แล้วตอบไปประโยคหนึ่ง “อมิตาพุทธ สวัสดีพวกโยม แล้วค่อยเจอกันใหม่นะ”

……………………………………..……..

[1]แรนซัมแวร์ หรือมัลแวร์เรียกค่าไถ่ เป็นอาชญากรรมทางไซเบอร์อย่างหนึ่ง หลังจากเป้าหมายติดมัลแวร์ประเภทนี้จะถูกเข้ารหัสหรือบล็อกการเข้าถึงข้อมูล จากนั้นจะมีข้อความเรียกค่าไถ่ข้อมูลที่บล็อกไว้ปรากฏ โดยให้เหยื่อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ไม่ประสงค์ดี หากเหยื่อยินยอมจ่ายจึงจะปลดล็อกให้