“พวกเจ้าถูกจับมานานแค่ไหนแล้ว?”

“ข้าถูกจับมาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว”

“ข้าครึ่งเดือนแล้ว”

“ข้าสองเดือน”

“แล้วพวกเจ้าเคยเห็นผู้นำกองธงกล้วยไม้หรือไม่?”

เหล่าผู้ปรนนิบัติรับใช้ทยอยกันส่ายหัว “ไม่เคย แต่ได้ยินว่าคืนนี้ยามจื่อ (ห้าทุ่ม-ตีหนึ่ง) จะส่งพวกเราไปที่นั่น และได้ยินมาว่าผู้นำกองธงกล้วยไม้โหดเหี้ยมทารุณ ผู้ปรนนิบัติรับใช้ที่ถูกส่งไป ไม่มีใครรอดชีวิตออกมา พวกเรา……พวกเราไม่อยากตาย”

ยามจื่อ?

ก่อนหน้านี้ได้ยินผู้ถือธงลั่วบอกว่าดูเหมือนเยี่ยเฟิงถูกส่งไปที่นั่นยามจื่อ

“พวกเจ้าอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้แล้ว รู้หรือไม่ว่าเยี่ยเฟิงถูกขังอยู่ที่ไหน?”

“ข้ารู้ ว่าเขาถูกขังอยู่ในหอคอยเจ็ดชั้น และเป็นชั้นสุดท้ายของหอคอย”

“ข้าขอถามพวกเจ้าอีกสักคำถาม พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนถูกขังอยู่ในหอคอยนี้กี่คน?”

“ไม่ค่อยแน่ใจ แต่อย่างน้อยก็มีคนเกือบร้อยคน นอกจากหอคอยนี้แล้ว ยังมีหอคอยอีกหลายแห่งที่กักขังผู้คนไว้มากมาย”

กู้ชูหน่วนและอี้เฉินเฟยมองหน้ากัน พวกเขาเห็นความยากลำบากในสายตาของอีกฝ่าย

แค่ช่วยเยี่ยเฟิงเพียงคนเดียว บางทีอาจจะเป็นไปได้

แต่การพาผู้คนหลายร้อยคนหนีออกไปจากการเฝ้าระวังที่เข้มงวดของยอดฝีมือแห่งเผ่าปีศาจนั่นเป็นไปได้ยากมาก และโดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำสำเร็จ

สวี่ซื่อตระหนักได้ว่าพวกเขาไม่เต็มใจ เหล่าคนปรนนิบัติรับใช้ทยอยกันคุกเข่าลงและโขกศีรษะอย่างแรง

“พวกท่านได้โปรดช่วยพวกเราด้วย ครอบครัวของพวกเรากำลังรอพวกเราอยู่ หากพวกเราถูกส่งไปยังยอดเขาหลัก สิ่งที่รอพวกเราอยู่คือความตาย ครอบครัวของข้ายังต้องการข้า ข้าจะตายไม่ได้”

“ใช่ ข้ายังมีท่านปู่ท่านย่าที่แก่ชราต้องดูแล พ่อแม่ของข้าตายก่อนเวลาอันควร ท่านปู่ท่านย่าจึงมีข้าเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่”

“ข้าไม่มีท่านปู่ท่านย่าและไม่มีพ่อแม่ ข้ามีเพียงน้องสาวอายุห้าขวบ นางยังเด็กมากขนาดนั้น หากข้าไม่สามารถกลับไปได้ ข้าไม่อยากจะคิดเลยว่านางจะอยู่คนเดียวได้อย่างไร”

ทุกคนปาดน้ำตา ทั้งหวาดกลัวและวิตกกังวล

กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้นมองอี้เฉินเฟย

อี้เฉินเฟยดึงนางออกด้านข้างและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “แม่สาวน้อย เจ้าอย่าหาเรื่องเลย ที่นี่คือเผ่าปีศาจ จะสามารถช่วยเยี่ยเฟิงออกมาได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ หากพาคนจำนวนมากเช่นนี้ไปด้วย พวกเราต้องออกไปไม่ได้อย่างแน่นอน”

“ข้ารู้ว่ามันยาก แต่หากไม่ลองดู จะรู้ได้อย่างไรว่าจะออกไปไม่ได้”

อี้เฉินเฟยอ้าปากและต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กู้ชูหน่วนก็ปิดกั้นปากของเขาไว้

“ท่านพี่เฉินเฟย หากวันนี้ไม่พยายามช่วยพวกเขาออกไป ข้าก็คงจะโทษตัวเองไปตลอดชีวิต”

“ดังนั้น……เจ้าช่วยได้หรือ?”

“ช่วยไม่ได้ แต่……ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีโอกาส ตอนที่มาข้าตรวจดูอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว พวกเราจะต้องโรยตัวผ่านป้อมปราการไปห้าหกป้อม ส่วนป้อมปราการที่เหลือพวกเราจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น และจะสามารถออกไปจากเผ่าปีศาจได้”

อี้เฉินเฟยพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ป้องปราการของเผ่าปีศาจมีการเฝ้าระวังที่เข้มงวด แผนการล้ำลึก นางคงคิดว่าจะฝ่าออกไปได้ง่าย ๆ

แต่เมื่อเห็นกู้ชูหน่วนยิ้มอย่างมั่นใจและไม่มีท่าทีหวาดกลัว

อี้เฉินเฟยก็ถามว่า “เจ้ามีวิธีที่จะฝ่าออกไปงั้นหรือ?”

วรยุทธของนางถูกตนเองผนึกไว้แล้วไม่ใช่หรือ?

หรือว่าจะทำลายผนึกได้แล้ว?

ไม่สิ ร่างกายของนางไม่มีกำลังภายในเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ปลดผนึก

“ผู้ที่ฉลาดย่อมมีอุบายอันยอดเยี่ยม” กู้ชูหน่วนยิ้มเจ้าเล่ห์ และมองดูเงาที่กระจัดกระจายอยู่ด้านนอกหอคอย นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยแสงอันเย็นยะเยือก

อี้เฉินเฟยไม่เข้าใจ นางจะใช้วิธีใดที่จะเข้าไป?

หากเป็นเมื่อก่อน ด้วยวรยุทธของนางแล้ว บางทีอาจจะเป็นไปได้ที่จะพาคนจำนวนมากออกไปจากที่นี่ แต่ตอนนี้……

แม้ว่าจะมีความสงสัยอยู่ในใจ แต่อี้เฉินเฟยก็เลือกที่จะเชื่อนาง

“มีโอกาสสำเร็จกี่ส่วน”

“เก้าในสิบ”

เก้าในสิบ?

มากขนาดนี้เลยหรือ?

กู้ชูหน่วนกล่าวเสริมว่า “เก้าในสิบที่จะออกไปไม่ได้”

“……”

“แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสหนึ่งในสิบไม่ใช่หรือ?”