Ch.2 – อุปกรณ์มิติ

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.2 – อุปกรณ์มิติ

 

อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพรอยแยกมิติ ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ คือสิ่งที่ช่วยให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิต อยู่อาศัยได้ตามปกติ และยังเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดที่คอยปกป้องชุมชนอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเครื่องที่ว่านั่น ส่งผลให้รอยแยกเกิดความผันผวน เสถียรภาพของมิติที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากำลังจะหายไป

 

เกือบทุกคนพลันตระหนักได้ถึงเหตุไม่คาดฝันในครั้งนี้ ทั้งหมดเริ่มร้องโวยวาย ตื่นตระหนกด้วยความหวาดกลัว

 

“เกิดอะไรขึ้นกับอุปกรณ์รักษาสเถียรภาพรอยแยกมิติกัน? อย่าบอกนะว่ามันพังแล้ว!?” โจวฮ่าวช็อค

 

“เฮ้ๆ ถ้ามันพัง นั่นก็หมายความว่า … ” เฉินหมิงยังไม่ทันกล่าวจนจบประโยค นาฬิกาที่สวมใส่ไว้ในข้อมือของทั้งสามก็ดังขึ้น

【เตือนภัย! เตือนภัย! เกิดรอยร้าวของมิติในระยะ 100 เมตร สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักกำลังจะปรากฎขึ้น! 】

【กริ๊งงงง กริ๊งงงง กริ๊งงงงง】

นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่ารอยแยกมิติเริ่มเกิดการแตกร้าว!

 

และสิ่งที่กำลังตามมานั่นเอง ที่เป็นสาเหตุให้มนุษย์ในดินแดนนี้ ร่วงหล่นลงจากตำแหน่งประมุขสูงสุด กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต้อยต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร

 

ดวงตาของฉินเฟิงกลายเป็นลึกล้ำ เพราะช่วงเวลานี้ จิตใจของเพื่อนๆเขายังคงอ่อนแอ แม้จะได้รับการฝึกฝน ออกกำลังกันมาบ้างแล้วก็ตาม แต่เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้โดยตรง ทั้งหมดต่างก็ช็อค ตื่นตระหนก ทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง

 

แต่สำหรับฉินเฟิงน่ะไม่ ทำไมน่ะหรือ? นั่นเพราะเขาเตรียมตัวมาแล้วตั้งแต่ต้นอย่างไรเล่า!

 

ในช่วงชีวิตก่อนหน้า เหตุการณ์นี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วเช่นกัน

 

ในชีวิตก่อนหน้า ตั้งแต่ที่ฉินเฟิงได้หมดสติลง โจวฮ่าวก็ตัดสินใจเฉียบขาด ลากตัวเขาเข้าไปทำการฉีดยากระตุ้น และหลังจากที่โจวฮ่าวฉีดยาแล้ว จึงค่อยพาตัวฉินเฟิงกลับออกมาพร้อมๆกับเฉินหมิง

 

เมื่อฉินเฟิงออกจากสถาบันวิจัยและได้สติกลับคืน เขาก็พบว่าอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพเกิดความเสียหาย รอยแยกมิติถูกเปิดออก สัตว์ร้ายได้บุกเข้ามา โจวฮ่าวจึงตัดสินใจช่วยเหลือฉินเฟิงที่กำลังตื่นตระหนก จนตัวเองตกลงสู่ความตาย

 

กำลังสงสัยว่า ในเมื่อออกมากันสามคน แล้วเฉินหมิงมันหายหัวไปไหนอยู่ใช่ไหม?

 

ไม่รีรอให้ฉินเฟิงย้อนนึกถึงห้วงอดีต ตอบคำถามที่ค้างคาใจ เฉินหมิงก็เฉลยมันให้ทุกท่านได้รู้

 

“วิ่ง! รีบหนีเร็วเข้า!”

 

เฉินหมิงตะโกน ดีดตัวผึงดั่งศรที่ผละออกจากคันธนู

 

ต้องไม่ลืมนะว่าพวกเขาทุกคนล้วนเป็นนักเรียนมัธยมศึกษา ที่ได้รับการฝึกฝนและออกกำลังเพื่อเตรียมพร้อมรับการฉีดยากระตุ้นตลอดมา ดังนั้นเพียง 1-2 วินาที  มันก็มากพอแล้วให้เฉินหมิงวิ่งหนีไปได้ไกลกว่า 10 เมตร!

 

สีหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชา

 

หากสิ่งที่กำลังประสบนี่ เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้า ช่วงเวลานี้เขาคงทำอะไรไม่ถูก!

 

ก็ลองนึกดูสิ โจวฮ่าวตายลงเพื่อช่วยเหลือเขา ในขณะที่เฉินหมิงเลือกวิ่งหนีไป โดยไม่สนใจใยดีสหายของตนเอง

 

สารเลวสิ้นดี!

 

ในช่วงเวลานี้ แม้โจวฮ่าวจะสติหลุดลอย แต่ตัวเขาก็ยังหนุ่มแน่น เมื่อถูกเร่งเร้าโดยเสียงตะโกนของเฉินหมิง เจ้าตัวก็ก้าวฝีเท้าออกไปโดยไม่รู้ตัว

 

“เร็วเข้า! พวกเราเองก็ต้องหนีบ้างแล้วเหมือนกัน” พูดพลางคว้าแขนฉินเฟิง พยายามที่จะฉุดดึงอีกฝ่ายให้วิ่งไปด้วยกัน

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกลับไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหว

 

โจวฮ่าวค้นพบว่าตนมิอาจฉุดลากตัวฉินเฟิงได้ เขาหันขวับไปอย่างรวดเร็วด้วยความสับสน บนใบหน้าฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวล ตามหน้าผากเริ่มมีเหงื่อเย็นผุดออกมา

 

“ฉินเฟิง นี่นายยังรู้สึกไม่สบายอยู่งั้นหรอ? มาเหอะ พวกเราต้องหนี ถ้ายังชักช้า ต่อให้ต้องอุ้มนายในท่าเจ้าหญิง ฉันก็จะทำ!” โจวฮ่าวกัดริมฝีปาก และแทบจะไม่อดทนรอคำตอบของฉินเฟิง เขาโน้มตัวลง เตรียมช้อนสองขาของฉินเฟิง

ใช่แล้วล่ะ นี่คือสิ่งที่สมควรจะกระทำ เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นสหายที่เปรียบดั่งพี่น้องแท้ๆกัน

 

ฉินเฟิงรู้สึกราวกับมีภูเขาไฟปะทุขึ้นในหน้าอก กระแสไอร้อนของความอบอุ่นเอ่อล้นออกมา ส่งผลให้เขารู้สึกเจ็บจี๊ดเล็กน้อยในหัวใจ คล้ายกำลังถูกหลอมละลาย

 

“หยุดๆ ฉันสบายดี สบายมากเลยด้วย!”

 

โชคดีจริงๆที่พระเจ้าประทานโอกาสเปลี่ยนแปลงสถานการณ์แห่งความสูญเสีย -ประทานโอกาสให้เขาได้ช่วยชีวิตพี่น้องที่จริงใจต่อตนได้อีกครั้ง!

 

“เราจะรีบหนีไปในทันทีไม่ได้ เพราะตอนนี้พวกเรายังไม่รู้เลยว่ารอยแยกมิติมันอยู่ตรงไหน ดังนั้นสถานที่ๆปลอดภัยที่สุดคือภายในสถาบันวิจัย!” ฉินเฟิงวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว

 

โจวฮ่าวนิ่งค้างไป แต่แล้วสีหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลง “จริงด้วย แถมในสถาบันวิจัยยังมีเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆที่ยังไม่ออกมาอีก งั้นพวกเราเองก็รีบกลับไปเตือนพวกเขากันเหอะ!”

 

‘นั่นแหละโจวฮ่าว เขามักจะเป็นแบบนี้มาโดยตลอด มีนิสัยอบอุ่นราวกับแสงตะวันอันแรงกล้า คิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ’

ซึ่งนี่นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่ามากๆสำหรับฉินเฟิง ผู้ที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดมายาวนานกว่าสิบปี จนกระทั่งได้กลับมาเกิดใหม่!

 

“งั้นไปกัน!”

 

ฉินเฟิงเริ่มวิ่ง แม้ว่าตัวเขาในตอนนี้จะผอมกระหร่องอ่อนแอ แต่ภายในร่างกายกลับเปี่ยมไปด้วยพลัง และความมีชีวิตชีวา

 

เลี้ยวผ่านตรอกซอกซอย จนเข้าสู่ถนนสายหลัก พบเจอกับเสียงรถที่กำลังแล่นและบีบแตรอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเสียงที่ดังสุดคงไม่พ้นไซเรน ที่เกิดการจากชนกัน ส่งผลให้การจราจรเริ่มเป็นอัมพาต

 

ในเวลานั้นเอง ห่างออกไปสามเมตรจากถนนสายหลัก รอยแยกมิติก็ค่อยๆเริ่มก่อตัวขึ้น

 

รอยแตกที่ว่านี้เป็นสีดำ และสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน รอบๆรอยแยกสาดรังสีแสงสีเงิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของธาตุมิติ

 

“นั่นมันรอยแยกมิติ!!” ในแววตาของโจวฮ่าวฟุ้งไปด้วยความตื่นตระหนก

 

แม้ในโรงเรียนจะสอนเกี่ยวกับมันมาบ้างแล้วก็เถอะ แต่เมื่อได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรก แถมยังไม่รู้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอะไรโผล่ออกมาจากรอยแยกนั่น ที่บางทีอาจจะมีพลังถึงขั้นทำลายล้างทั้งชุมชนเลยก็ได้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว

 

แต่รอยแตกที่ว่านี้มิได้ขยายขนาดมากมายนัก มันขยายแค่เพียงยาวกว่าครึ่งเมตร และกว้างประมาณสามสิบเซน ก็เริ่มชะลอตัวลง บ่งบอกมาศัตรูที่กำลังจะมามิได้มีขนาดตัวใหญ่โตเท่าใดนัก อย่างไรก็ตามเนื่องจากที่นี่คือถนนหลักที่ผู้คนพลุกพล่าน ดังนั้นตลอดทั้งบริเวณเลยไม่มีใครมามัววิเคราะห์มัน บังเกิดเสียงกรีดร้องอื้ออึง ผู้คนต่างละทิ้งรถของตัวเอง พากันวิ่งหนีออกมาอย่างรวดเร็ว

 

รอยแยกมิติยังไม่ทันขยายได้เต็มที่ ก็ปรากฏร่างๆหนึ่งขึ้นทันใด

 

มันเป็นร่างที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับเด็ก มีผิวนุ่มนิ่มราวกับทารก แต่สีผิวที่แปลกออกไปนิดหน่อย มันเป็นสีเหลืองอมเขียว ที่ส่งกลิ่นเหม็นไม่ดีออกมา

 

ทารกพยายามเบียดฝ่ารอยแยกด้วยความยากลำบาก และตกลงมาจากความสูงสามเมตรเสียงดังตึ้ง!

 

ด้วยความสูงระดับนี้ สำหรับทารก ต่อให้ไม่ตาย แต่ก็น่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ถึงวินาทีที่ทิ้งตัวลงกับพื้น ทารกน้อยจากรอยแยกมิติก็เริ่มขยับมือขยับเท้า เด้งตัวผุดลุก เชิดหัวที่โตผิดปกติขึ้น จนสามารถมองให้เห็นถึงใบหน้าของมันได้อย่างชัดเจน

เจ้าทารกที่โผล่ออกมานี่ เห็นได้ชัดว่ามิใช่มนุษย์ หากแต่เป็นสัตว์ร้าย!

 

บนใบหน้า ประกอบไปด้วยลูกตาสีแดงขนาดใหญ่ที่ปูดบวมออกมา ริมฝีปากฉีกยาวถึงใบหู เผยให้เห็นซี่ฟันคมกริบ

 

และซี่ฟันที่ว่า มิใช่ซี่ฟันแบบเดียวกันกับของมนุษย์ หากแต่เป็นซี่ฟันที่เหมือนกับเขี้ยวอันแหลมคมที่สามารถใช้ฉีกกระชากเนื้อดิบ!

 

บ่งบอกชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตตนนี้ —กินมนุษย์เป็นอาหาร!

 

“นั่นมัน ‘เขี้ยวทารก’ !! ” ใครบางคนร้องตะโกนขึ้น

 

เขี้ยวทารก ถูกบันทึกอยู่ในตำราเรียนของรัฐบาลกลาง เป็นสัตว์ร้ายระดับต่ำสุดในเลเวล G3

 

อ้างอิงตามระดับที่ถูกจัดตั้งโดยรัฐบาลกลาง เลเวลที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับ S ต่ำลงมาจะเรียงเป็น A B C E F G ซึ่งจะสอดคล้องตามความแข็งแกร่งของสัตว์ร้าย

 

สำหรับสัตว์ร้าย G3 หากผู้คนตอบโต้กับมันอย่างใจเย็น ก็จะสามารถเอาชนะมันได้ไม่ยากนัก

 

อย่างไรก็ตาม เจ้าสัตว์ร้ายเขี้ยวทารก มันจะมีอย่างหนึ่งที่พิเศษออกไป นั่นคือ – พวกมันมักจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง!

 

แน่นอน ว่าทันทีที่เขี้ยวทารกตัวแรกมาถึง ตัวที่ 2 3 ก็โผล่ตามมา และเหล่าเขี้ยวทารกก็มิได้คิดจะสังเกตุสถานการณ์ เพื่อรวบรวมข้อมูลใดๆ พริบตาที่พวกมันเห็นเหยื่อ ทั้งตัวทั้งร่างก็พลันหมอบลงกับพื้น คืบคลานสี่แขนขาในท่วงท่าเดียวกับตุ๊กแก สบโอกาสก็กระโจนเข้าใส่ และงั่ม! ใช้ซี่ฟันแหลมเล็กเข้าใส่ลำคอเหยื่อ และกัดกระชากทันที!

 

“อ๊าาาา!!!” ชายคนหนึ่งที่เห็นเขี้ยวทารกกระโจนเข้าใส่กรีดร้องออกมา เขาเร่งชักอาวุธจากเอวอย่างรวดเร็ว และยิงเข้าใส่หัวของเขี้ยวทารก

 

“ปัง!”

 

เสียงปืนดังกึกก้อง นี่คล้ายดั่งสัญญาณแห่งความโกลาหล ถนนหลักที่แต่เดิมเพียงวิ่งวุ่นด้วยความสับสนวุ่นวาย พลันกลายเป็นนรกคลั่ง ละเลงไปด้วยเลือดทันที

 

4-5เขี้ยวทารกราวกับหมาป่ากระโจนเข้าหาฝูงแกะ เริ่มฉีกกัดและฆ่าอย่างซุกซน

 

หนึ่งในเขี้ยวทารกมุ่งเป้ามาที่โจวฮ่าว กระโจนเข้าหาเขาโดยไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนใดๆ

 

แน่นอน ว่าโจวฮ่าวเองก็ย่อมมีความแข็งแกร่ง แม้เขาจะเป็นเพียงวัยรุ่นอายุ 16 ปี แต่ก็ถูกฉีดยากระตุ้นแล้ว ดังนั้นพละกำลังของเขา ย่อมเทียบเท่าได้กับการดำรงอยู่ในเลเวล G1 เป็นอย่างน้อย

 

อย่างไรก็ตาม โจวฮ่าวกลับเพียงยืนนิ่งจ้องมองมัน ในสมองบังเกิดความว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าแม้เขาจะเคยร่ำเรียนมาจากตำราแล้วก็ตาม แต่กลับไม่สามารถงัดทักษะการต่อสู้มารับมือกับมันได้อย่างทันท่วงที แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กก็ตาม

ทว่า ในช่วงเวลาวิกฤตินั้นเอง หนึ่งมือที่ผอมกะหร่องได้ประทับลงบนอกของโจวฮ่าว ผลักส่งเจ้าตัวถอยหลังกลับไป

 

ในช่วงเวลาที่โจวฮ่าวกำลังจะตกตาย ก็ปรากฏร่างๆหนึ่งขึ้นเบื้องหน้าเขา ร่างที่ไม่คิดยินยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอีกต่อไป!

 

-เป็นฉินเฟิง!!!