“เจ้าได้ยินเสียงฝีเท้าของข้าด้วยหรือ!” แม่ทัพเว่ยค่อนข้างตกตะลึง ต้องรู้ว่าเขามีวิชาการสะกดรอยตามผู้อื่น หากต้องการไม่ให้ผู้อื่นรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของตนเอง แม้กระทั่งถังเซียวอี้ก็ยังไม่อาจจับได้
ตอนที่เขาเดินมาเมื่อครู่นี้ แม้นเขาตั้งใจไม่ทำให้คนอื่นรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของตนอย่างสุดความสามารถเพื่อจะมาอย่างเงียบๆ แล้วแกล้งนางให้ตกใจ ดังนั้นจึงตั้งใจเดินด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาที่สุดแล้ว! ระยะทางสิบกว่าก้าว ภายใต้สถานการณ์ที่แม่ทัพเว่ยตั้งใจสาวเท้าอย่างแผ่วเบา นางก็ยังสัมผัสได้ว่าเขามาเยือน จึงหันหน้ามามองอย่างไม่ลังเล
“เจ้ามีทักษะการฟังที่เหนือกว่าคนทั่วไป?” แม่ทัพยืนอยู่ข้างกาย จึงเอ่ยถามด้วยความจริงจัง
“ไม่ใช่หรอกกระมัง” เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหัวอย่างงงงวย นางยังไม่เคยสังเกตว่าตนเองมีความสามารถพิเศษเช่นนี้
เว่ยจางกวาดสายตามองสภาพแวดล้อมโดยรอบ แล้วตั้งใจฟังเสียงรอบทิศ จึงยกมือชี้ไปยังเรือแบนลำหนึ่งที่อยู่บนผืนน้ำ แล้วพูดขึ้น “เจ้าได้ยินคนด้านในเรือนั้นคุยกันไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร ทว่าก็ตั้งใจฟังแล้วพูดขึ้น “ด้านในมีคนสามคน หนึ่งในนั้นบอกว่าไปเมืองหลวงอวิ๋นแล้วไม่ได้กินปลาสด อีกคนบอกว่าเมืองหลวงอวิ๋นเป็นที่ตั้งของราชวงศ์ ไม่ขาดแคลนปลา อีกคนก็บอกว่าหากอนาคตได้ติดตามแม่ทัพเว่ยไปเขตทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ชีวิตที่กินขมดื่มเลือดนั้น ไม่มีทางได้เห็นปลาอยู่แล้ว”
เว่ยจางถลึงตามองเหยาเยี่ยนอวี่ทันที
เหยาเยี่ยนอวี่ถูกเขามองจนประหลาดใจ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าถึงมองข้าเช่นนี้”
เว่ยจางพูดด้วยความจริงจัง “ต้องรู้ว่าเรือแบนลำนั้นห่างจากที่นี่ราวๆ สามสี่จั้ง [1]อีกทั้งยังมีเสียงกระแสน้ำคอยรบกวน คนทั่วไปไม่มีทางได้ยินอย่างชัดเจนเช่นนี้แน่นอน”
“ไม่ใช่หรอกกระมัง” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าเรื่องนี้ปกติมาก
“ไม่เชื่อเจ้าลองเรียกคนๆ หนึ่งมาลองดู”
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองคนๆ หนึ่งที่ปิดบังใบหน้ายิ้มแย้มและหลบอยู่หลังหน้าต่างห้องโดยสาร ดังนั้นขานเรียกด้วยเสียงสูง “จินหวน? เสวี่ยเหลียน? ออกมา”
เสวี่ยเหลียนและจินหวนที่แอบอยู่ด้านหลังหน้าต่างต่างแลบลิ้น จึงถูกบังคับให้มา พวกนางเลยเดินมาพลางค้อมตัวลงพร้อมกัน “น้อมทำความเคารพท่านแม่ทัพเว่ย คุณหนูรองเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ดึงจินหวนไปที่ห้องโดยสาร แล้วชี้ไปยังเรือแบนลำนั้นที่จอดอยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าได้ยินคนที่อยู่บนเรือลำนั้นว่ากำลังพูดอะไรหรือไม่”
จินหวนตั้งใจฟัง แล้วส่ายหัวทันที “บ่าวได้ยินแค่เสียงคลื่นลมและคลื่นน้ำ ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของใครเลยเจ้าค่ะ”
“ลองตั้งใจฟังดู” เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยความจริงจัง
“คุณหนูเจ้าคะ ไม่ได้ยินอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ” เสวี่ยเหลียนตั้งใจฟังอีกครั้งแล้วส่ายหัว
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกประหลาดใจทันที จากนั้นก็เริ่มขบคิดด้วยความตั้งใจ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยสังเกตว่าตนเองมีความสามารถเช่นนี้!
เว่ยจางผายมือให้สาวใช้เอกสองคนกลับไป จากนั้นก็ชี้ไปยังชายฝั่ง พลางเอ่ยถาม “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าหลังคาเรือนพวกนั้น มีโคมไฟแขวนอยู่กี่ดวง”
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมอง กลับเห็นแสงไฟเป็นจุดๆ เหมือนเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงนับด้วยความจริงจัง “ยี่สิบสองดวงโดยประมาณ มีหลังคาเรือนราวๆ สิบกว่าหลัง ส่วนอย่างอื่นก็เห็นไม่ค่อยชัดเจนนัก”
เว่ยจางพยักหน้า “อืม โคมไฟยี่สิบสองดวงนั้นไม่ผิด มีหลังคาเรือนสิบหกหลัง หนึ่งหลังแขวนโคมไฟสามดวง สี่หลังแขวนโคมไฟสองดวง ส่วนหลังอื่นๆ มีโคมไฟส่องสว่างหนึ่งดวง”
“เจ้ามองเห็นอย่างชัดเจนเช่นนี้เลยหรือ!” ครั้งนี้คุณหนูเหยาเป็นฝ่ายตกตะลึง
“นี่เป็นความสามารถทั่วไปที่จำเป็นต้องมี” ไม่เช่นนั้นเขาจะใช้อาวุธอย่างแม่นยำได้อย่างไร เว่ยจางยิ้มจางๆ แล้วพูดขึ้น “ทว่าการมองเห็นของเจ้าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว คนทั่วไปมิอาจมองเห็นได้ไกลเยี่ยงนั้น”
“จริงหรือ” คุณหนูเหยาไม่อยากจะเชื่อ ทว่าเพราะว่าความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นตรงหน้าแล้ว ดังนั้นนางจึงกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย แล้วลอบพูดในใจ หรือว่าตนทำลายกฎของธรรมชาติได้ เหตุใดแต่ก่อนถึงไม่เคยสังเกตเลย
เว่ยจางคลี่ยิ้มจางๆ “จะโกหกเจ้าไปไยกัน หากไม่ใช่ว่าเจ้ามีพรสวรรค์ กระนั้นก็คงเพราะเจ้าฝึกฝนจนมีความสามารถเช่นนี้”
“ฝึกฝน?” เหยาเยี่ยนอวี่ประหลาดใจ “ทักษะเช่นนี้ยังฝึกฝนออกมาได้อีกหรือ”
“แน่นอน ใต้หล้านี้จะมีคนสักกี่คนที่มีตาพันลี้และหูตามลมมากเยี่ยงนั้น”
“อ๊า…” เหยาเยี่ยนอวี่จึงนึกอะไรออกอย่างฉับพลัน ซึ่งในคัมภีร์ไท่ผิง ผู้ที่มีนามว่าปาต้วนจิ่นก็บริหารกายมาครึ่งค่อนปี ตั้งแต่ฝังเข็มให้เฟิงฮูหยิน นางก็สัมผัสได้ว่ามีพลังอ่อนๆ ถ่ายโอนจากร่างกายของตนเองไปยังร่างกายของผู้ป่วย นางก็ลอบลองเชิงมาตลอด นี่คงไม่ใช่อภิปรัชญากำลังภายในของลัทธิเต๋าที่พระอาจารย์ผู้กุมความลับไม่อยู่เคยพูดถึงนะ?
“อะไรหรือ” เว่ยจางหันไปมองนาง
“ไม่มีอะไร” เหยาเยี่ยนอวี่พลันได้สติกลับมาทันที
เว่ยจางมองนางด้วยความนิ่งเฉย งานวิวาห์ของทั้งสองถูกกำหนดมาแล้ว นางกลับมีอะไรแล้วยังไม่บอกเขากระนั้นหรือ
เหยาเยี่ยนอวี่ถูกเขาจับจ้องจนอึดอัดใจเล็กน้อย จึงแกล้งกระแอมกระไอหนึ่งทีพลางหันไปมองผืนน้ำ
ทั้งสองไม่พูดไม่จากันพักใหญ่ เว่ยจางยังคงมองนางอย่างไม่ละสายตาไปทางใด เหยาเยี่ยนอวี่จึงรู้สึกว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ใช่เรื่อง นางมิอาจปล่อยให้คนๆ หนึ่งจับจ้องตนเองไว้ตลอดเวลาเช่นนี้ ดังนั้นจึงเอ่ยถามเรื่องหนึ่งที่อัดอั้นไว้ในใจมานาน “เมื่อวานตอนเจ้าอยู่ตรงระเบียง น้องสามของข้าเป็นอะไรไป”
“หือ?” เว่ยจางคลางแคลงใจขึ้นมาทันที “อะไรคือเกิดอะไรขึ้น”
“นางร้องไห้ไปไยกัน” คุณหนูเหยาหันไปมองคนตรงหน้าด้วยดวงหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เว่ยจางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วแค่นเสียง “ข้าจะรู้ได้อย่างไร นางอยากร้องไห้ก็ร้อง ข้าจะขัดขวางได้อย่างไร”
“ช่างเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มอ่อน เดิมทีนางก็ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้อยุ่แล้ว หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังพลางเตรียมตัวเดินจากไป
จู่ๆ ผืนน้ำที่นิ่งสงบก็เกิดคลื่นลมแรงขึ้นมาทันที สายลมนี้มาพร้อมไอน้ำ
“อย่าเพิ่งไป” เว่ยจางขุ่นเคืองใจขึ้นมา จึงคว้าแขนของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ พร้อมถามด้วยหัวคิ้วชนกัน “เจ้าเอ่ยถามข้าเช่นนี้หมายความอะไร”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไป แล้วก้มหน้ามองเขาที่กำลังจับแขนของตนเองอยู่ พลางเงยหน้ามองสีหน้าของเขา
เมื่อครู่เว่ยจางค่อนข้างใจร้อน จึงออกแรงมือหนักไปเล็กน้อย ทว่าพอจับแขนของเหยาเยี่ยนอวี่ที่เปราะบางยิ่งนัก ทันทีทันใดก็เกิดความว้าวุ่นใจ เลยอดออมแรงไม่ได้
เหยาเยี่ยนอวี่สะบัดแขนจนหลุดออกจากมือของเขา พร้อมทั้งหัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แม่ทัพเว่ยร้อนใจไปไยเล่า”
เดิมทีเว่ยจางก็เป็นคนที่ไม่รู้จักพูดอยู่แล้ว ซ้ำยังมีใจที่ว้าวุ่นเกินไป พอถูกนางเอ่ยถามเช่นนี้ ทันใดนั้นก็ทำให้เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร
เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้ามองท้องฟ้าประดุจหมึกดำแล้วพูดขึ้น “ฝนใกล้ตกแล้ว พวกเราอย่ายืนอยู่ตรงนี้เพื่อเป็นทิวทัศน์ให้ผู้อื่นชมเลย”
“…” เว่ยจางมองไปรอบทิศ หลังจากเห็นดวงตาอันเจ้าเล่ห์ที่อยู่ด้านหลังหน้าต่าง จึงหลุดยิ้มออกมาทันที
หลังจากนั้นก็มีลมแรงพร้อมหยาดฝนพัดโชยมาเล็กน้อย ทำให้ไรผมที่มวยอยู่ของเหยาเยี่ยนอวี่ยุ่งเหยิง นางพูดขึ้นหนึ่งคำ “รีบกลับเถอะ” จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปในห้องโดยสารเรือ
ขอบฟ้าที่มืดมัว จู่ๆ ก็มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ประดุจโซ่หิมะที่เชื่อมฟ้าดินไว้ สายฟ้าเปล่งประกายปลาบแล้วดับไปทันตา
ประจวบกับเหยาเยี่ยนอวี่เข้าประตูพอดี จึงทำให้สะดุ้งตกใจ พลันหันหลังกลับไป แล้วกำลังบอกว่า ‘รีบกลับไป’ ทว่ายังไม่ทันเปล่งเสียงออกมา ก็ไม่เห็นเว่ยจางอยู่ตรงแถวนอกห้องโดยสารแล้ว
เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ บนท้องฟ้า ทำลายความเงียบสงบของค่ำคืนในเหมันต์ฤดู
เหยาเหยียนอี้พลันพุ่งออกมาจากด้านใน แล้วตะโกนเสียงดัง “ใครก็ได้มานี่ที!”
“พี่รอง?” เหยาเยี่ยนอวี่รีบตามออกมาด้วยความรีบร้อน ทว่ากลับถูกเหยาเหยียนอี้ตวาดใส่ “กลับไป! อยู่ด้านในดีๆ อย่าออกมา!”
ฝนตกหนักที่มาพร้อมลมแรงนี้ โคมไฟที่แขวนอยู่บนเสากระโดงถูกลมพัดจนดับไป ผืนน้ำเคล้าด้วยความมืดมิด
[1] จั้ง เท่ากับ 2.5 เมตร