ตอนที่ 252 จุดอ่อนถึงตาย!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยหน้าเปลี่ยนสี ถุยน้ำลายใส่พื้นอย่างดุดันทันที ถลึงตาใส่เขตที่ตัวแทนเหลยถิงอยู่อย่างเดือดดาล คำกล่าวของฉีย่าไม่เพียงดูถูกลั่วล่างกับหลิงหลาน ในขณะเดียวกันก็ดูถูกทุกคนในกลุ่มนักเรียนใหม่ด้วยเหมือนกัน นี่ทำให้พวกเขาโมโหอย่างยิ่ง

ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่เติบโตมาด้วยกันกับพวกหลิงหลานและลั่วล่าง อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยย่อมรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคนในทีมหลิงหลานดี นี่ย่อมเป็นมิตรภาพของพี่น้องที่บริสุทธิ์ที่สุด นับตั้งแต่ปีหนึ่งเป็นต้นมา หลิงหลานที่เดิมทีโตเป็นผู้ใหญ่มากกว่าพวกเขาก็ปกป้องทะนุถนอมให้อภัยสมาชิกทีมเหมือนกับเป็นพี่ใหญ่ก็ไม่ปาน ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง การปฏิสัมพันธ์ในทีมหลิงหลาน บางครั้งแค่สายตาก็สามารถเข้าใจกันเองได้ทำให้พวกเขาเห็นแล้วอิจฉาไม่หยุด พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า มีคนสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนได้สกปรกโสมมขนาดนี้

เดิมทีหลี่อิงเจี๋ยก็เป็นคนที่พูดจาโผงผาง เขาเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “แทนที่จะบอกว่าลูกพี่หลานกับลั่วล่างมีความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่สู้บอกว่าเป็นฉีหลงกับลั่วล่างมากกว่า สองคนนั่นต่อสู้ไปไหนมาไหนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมากกว่าอีกไม่ใช่เหรอ?”

คำพูดนี้ทำให้ฉีหลงล็อกคอหลี่อิงเจี๋ยด้วยความฉุนเฉียว ใช้กำปั้นกดลงบนยอดศีรษะของเขาและขยี้เต็มแรงอย่างโหดเหี้ยม ทำให้หลี่อิงเจี๋ยร้องด้วยความเจ็บปวดไม่หยุด อย่างไรก็ตาม เขาที่มีค่าพลังรบด้อยกว่าฉีหลงไม่อาจสลัดการโจมตีอันชั่วร้ายของฉีหลงได้ ได้แต่เอ่ยขอโทษติดต่อกัน ถึงค่อยทำให้ฉีหลงปล่อยเขาไป ฉีหลงย่อมโกรธอยู่แล้ว เขาเป็นชายแท้ที่สูงใหญ่ขนาดนี้ จะชอบผู้ชายได้ยังไง…เทียบกันแล้ว ฉีหลงยังคงชอบพวกน้องสาวสวยๆ ที่มีทรวดทรงเว้าโค้งอยู่

ในตอนนี้เอง เสี่ยวซื่อบอกรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกที่ฝ่ายตรงข้ามส่งมาให้หลิงหลานฟังอีกครั้ง คราวนี้คนที่พวกเขาเลือกคือ ซ่งเหลียนลู่ ผู้ได้รับคัดเลือกให้เข้าประลองที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสี่ของพวกเขา

หลิงหลานเข้าใจเหตุผลในการจัดการของฝ่ายตรงข้ามได้เร็วมาก ฉีย่าที่พวกเขาคาดหวังไว้สูงพ่ายแพ้ในรอบแรก ทำให้เหลยถิงจำเป็นต้องระมัดระวังตัวขึ้นมา พวกเขากลัวว่าถ้าส่งคนที่อ่อนแอที่สุดออกไปแล้วเจอคนที่มีความสามารถเก่งกาจจะพ่ายแพ้อีกรอบได้ และพวกเขาก็ไม่อยากส่งสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาจนสุดท้ายไม่มีขุนพลอยู่เป็นแนวหลัง ด้วยเหตุนี้เองหลังจากที่ไตร่ตรองกันรอบหนึ่ง คนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสี่จึงถูกส่งออกไปเพื่อรับรองความปลอดภัย พยายามต่อสู้คว้าชัยชนะในการประลองรอบนี้มา

หลิงหลานหันหน้ามองไปทางพวกฉีหลง ขณะที่กำลังคิดจะให้ฉีหลงเตรียมตัวก็เห็นหลี่อิงเจี๋ยก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะเอ่ยอาสาเองว่า “ลูกพี่หลาน รอบนี้ฉันไปเอง”

หลิงหลานรู้สึกปวดกรามทันใด หลี่อิงเจี๋ยอยู่ในช่วงแรกเริ่มของระดับพลังปราณขั้นต้นเหมือนกับลั่วล่าง เมื่อต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่อยู่ระดับสูงสุดของพลังปราณขั้นต้นแล้ว อัตราชนะแทบไม่มีเลย นอกเสียจากหลี่อิงเจี๋ยก็มีความสามารถพรสวรรค์อันลึกลับที่ไม่อาจอธิบายได้อย่างลั่วล่างเช่นกัน ถึงจะมีความเป็นไปได้ในการโค่นล้ม

หลี่อิงเจี๋ยเห็นลูกพี่หลานมองเขาด้วยใบหน้าเย็นชา เขาก็กำหมัดตัวเองอย่างเคร่งเครียด ถึงแม้เขารู้ว่าการที่เขาขอออกไปประลองเองคือการมุทะลุบุ่มบ่าม มีความเป็นไปได้สูงว่าจะส่งผลต่อแผนการรบของลูกพี่หลาน อย่างไรก็ตามเขาไม่อยากแพ้ลั่วล่าง ในขณะเดียวกันก็อยากพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว เมื่อสักครู่นี้เขาตัวสั่นอยู่บนเวทีประลองโดยไม่ทันระวังทำให้ลั่วล่างเข้าใจเขาผิดในเรื่องนี้ ทำให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก ดังนั้นหลังจากที่เห็นลั่วล่างเอาชนะรอบแรกมาอย่างยากลำบาก หลี่อิงเจี๋ยก็ไม่อยากอยู่ห่างจาดหลังลั่วล่างไปไกลมากนัก

จิตวิญญาณการต่อสู้ในแววตาของหลี่อิงเจี๋ยทำให้หลิงหลานเปลี่ยนความคิดในพริบตา เธอพยักหน้ากล่าวว่า “ได้ อย่าทำให้กลุ่มนักเรียนใหม่ของเราขายหน้าล่ะ”

สาเหตุที่หลิงหลานเปลี่ยนความคิดกะทันหันเป็นเพราะว่าลั่วล่างเอาชนะมาได้อย่างเหนือความคาดหมาย ดังนั้นต่อให้หลี่อิงเจี๋ยแพ้รอบนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์โดยรวมได้ ถึงยังไงยังมีคนที่อ่อนแอที่สุดอยู่ ขอเพียงอู่จย่งกับฉีหลงไม่ว่าใครก็ตามสามารถเอาชนะได้โดยที่ไม่ได้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย นี่ก็คือสาเหตุที่หลิงหลานตกลงให้หลี่อิงเจี๋ยออกไปประลอง

ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบต่อผลสุดท้าย หลิงหลานยังยินดีเติมเต็มความปรารถนาของเด็กพวกนี้

เมื่อได้ยินคำอนุญาตของหลิงหลาน แววตาของหลี่อิงเจี๋ยก็เผยความประหลาดใจแกมยินดีออกมา เดิมทีเขาคิดว่าลูกพี่หลานไม่ค่อยชอบเขา ถึงยังไงก่อนหน้านี้เขาก็น่ารังเกียจอยู่บ้างจริงๆ นั่นแหละ แต่เมื่อสักครู่นี้แววตาของหลิงหลานไม่มีความรังเกียจและทำอย่างขอไปทีเลย ท่าทีของเขาดูเอาจริงเอาจังอย่างยิ่งยวด พริบตานั้นหลี่อิงเจี๋ยสัมผัสได้ถึงความเชื่อใจของหลิงหลานที่มีต่อเขาโดยสมบูรณ์

ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขานึกถึงคำพูดที่หลี่ซื่ออวี๋ญาติผู้พี่คนรองเอ่ยกับเขา “พอนายเข้าใจว่าความผูกพันระหว่างพี่น้องคืออะไร นายก็จะเข้าใจว่าอำนาจไม่ใช่สิ่งที่แทนที่ไม่ได้”

เวลานี้หลี่อิงเจี๋ยคล้ายกับเข้าใจคำพูดของญาติผู้พี่คนรองได้รางๆ เขามองไปทางหลิงหลาน ถ้าหากเป็นหลิงหลาน เขาน่าจะไม่ไปแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มนั่น…

พันเอกถังอวี้ที่อยู่บนเวทีประลองได้รับรายชื่อผู้เข้าประลองที่ทั้งสองฝ่ายส่งมาแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ประกาศเสียงดังลั่นว่า “กลุ่มนักเรียนใหม่ VS กลุ่มหุ่นรบเหลยถิง การประลองรอบที่สอง หลี่อิงเจี๋ยปีหนึ่งปะทะกับซ่งเหลียนลู่ปีสี่!”

……

อวิ๋นซิวที่อยู่ในบ็อกซ์ได้ยินคำประกาศนี้ก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที เขารีบหันหน้าตะโกนว่า “ซื่ออวี๋ ญาติผู้น้องของนายออกไปประลองแล้วนะ คู่ต่อสู้คือซ่งเหลียนลู่จากชั้นปีพวกเรา”

หลี่ซื่ออวี๋ที่กำลังนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนโซฟาพลันลืมตาขึ้นมา เขาเห็นหลี่อิงเจี๋ยเดินขึ้นไปบนเวทีประลองด้วยความกระฉับกระเฉงก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ซ่งเหลียนลู่เป็นยอดฝีมือระดับพลังปราณแล้ว หลี่อิงเจี๋ยน่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” ต่อให้ปากจะดูถูกหลี่อิงเจี๋ยอีกยังไง ตอนนี้หลี่ซื่ออวี๋ก็อดเป็นห่วงหลี่อิงเจี๋ยไม่ได้เหมือนกัน

อวิ๋นซิวกลับคัดค้านความคิดนี้ “ไม่แน่นะ เมื่อตะกี้เด็กที่ดูอ่อนแอมากคนนั้นกลับเอาชนะฉีย่าที่อยู่ระดับพลังปราณเหมือนกันได้เลย ฉันคิดว่านักเรียนใหม่รุ่นนี้ไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกเราจินตนาการไว้ บางทีญาติผู้น้องของนายอาจจะเข้าสู่ระดับพลังปราณแล้วเหมือนกันนะ”

หลี่ซื่ออวี๋เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยเบาๆ ว่า “หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ…แต่ถ้าเกิดเขาแพ้ขึ้นมา ฉันจะทำให้เขารู้ว่าผลลัพธ์ของการพ่ายแพ้คืออะไร” ในเมื่อเขากับญาติผู้พี่คนโตไม่อาจกลายเป็นผู้นำตระกูลหลี่ได้แล้ว เช่นนั้นเขาก็หวังว่าหลี่อิงเจี๋ยที่สามารถกลายเป็นผู้นำตระกูลในท้ายที่สุดจะแข็งแกร่งมากขึ้นได้ ต่อให้เขาเกลียดความเลือดเย็นไร้เมตตาของตระกูลหลี่ ทว่าหลี่ซื่ออวี๋ที่ถูกอบรมสั่งสอนมาตลอดว่าให้ภาคภูมิใจในตระกูลหลี่ก็ไม่อยากให้ตระกูลหลี่ล่มจมเช่นกัน

……

ทั้งสองฝ่ายต่างเตรียมตัวต่อสู้เรียบร้อยแล้ว พันเอกถังอวี้โบกมือขวาทีหนึ่งฉับพลัน ตะโกนเสียงดังว่า “เริ่มได้!”

สิ้นเสียงนี้ทั้งสองคนก็ประจันหน้ากันอยู่ห่างๆ เท่านั้น ไม่ได้จู่โจมทันที การพ่ายแพ้ของฉีย่าทำให้ซ่งเหลียนลู่เปลี่ยนเป็นระมัดระวังตัวสุดขีด เขาไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ดังนั้น เขาจึงเตรียมพร้อมดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที

ขณะเดียวกันหลี่อิงเจี๋ยได้รับคำชี้แนะจากหลิงหลานก่อนขึ้นประลองเช่นเดียวกัน เนื่องจากเขากับลั่วล่างต่างเพิ่งเข้าสู่ระดับพลังปราณ พลังปราณยังไม่มั่นคง ดังนั้นจึงไม่เหมาะให้เขาบุกโจมตีคนอื่น ให้เน้นการต่อสู้พัวพันเป็นหลักดีกว่า แน่นอนว่าสถานการณ์บนเวทีประลองจะเปลี่ยนแปลงมากมายในชั่วพริบตา ดังนั้นทุกอย่างจึงต้องอาศัยหลี่อิงเจี๋ยเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ถึงแม้หลี่อิงเจี๋ยจะเป็นเด็กอวดดีเอาแต่ใจ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มุทะลุ สติปัญญาในการต่อสู้ยังคงดีมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถยึดตำแหน่งอับดับห้าอย่างมั่นคงได้สิบปี ดังนั้นความคิดที่เขาเลือกจึงเหมือนกับซ่งเหลียนลู่ ทั้งสองคนประจัญหน้ากันอยู่ไกลๆ หลังจากนั้นก็วนอ้อมเวทีประลองหาโอกาสลงมือ

นี่แตกต่างจากการเข้าปะทะกันตรงๆ ของลั่วล่างกับฉีย่าโดยสิ้นเชิง ทั้งสองคนแทบจะวนอ้อมบนเวทีประลองสามนาทีเต็มๆ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่ลงมือเลย ฉากที่น่าอึดอัดนี้ทำให้บรรดานักเรียนที่ชมการประลองหมดความอดทน มีบางคนถึงขนาดเริ่มหาวขึ้นมา มีคนไม่น้อยเริ่มทยอยกันแสดงความเห็น คาดเดาว่าพวกเขายังจะวนรอบไปอีกกี่นาทีกันแน่…

ในตอนนี้เอง ซ่งเหลียนลู่ที่เดิมทียังคงวนรอบอยู่นั้นกระทืบเท้าขึ้นทีหนึ่งฉับพลัน ร่างของเขาพุ่งออกไปราวกับลูกศรก็ไม่ปาน พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลี่อิงเจี๋ย หมัดขวาซัดใส่ตรงสีข้างทางด้านซ้ายของหลี่อิงเจี๋ยอย่างอำมหิต ท่วงท่าป้องกันของหลี่อิงเจี๋ยเพิ่งจะเผยจุดอ่อนเช่นนี้ออกมากะทันหัน

ซ่งเหลียนลู่รู้ว่านี่อาจจะเป็นการล่อลวง แต่ซ่งเหลียนลู่ก็รู้เช่นกันว่า ถ้าหากไม่ลองโจมตีออกไป ต่อให้วนรอบไปครึ่งวันก็ไม่มีโอกาสลงมือที่ดีกว่านี้ ดังนั้นซ่งเหลียนลู่เลยตัดสินใจจู่โจมดีกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อซ่งเหลียนลู่โจมตีเข้าไป เขากลับพบว่าจุดอ่อนนั้นหายไปแล้ว แต่แทนที่ด้วยมือของหลี่อิงเจี๋ยที่เตรียมพร้อมคว้าจับเขาไว้นานแล้ว นี่เป็นเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมาของตระกูลหลี่ เป็นวิธีการป้องกันที่โจมตีได้แข็งแกร่งที่สุดในการรับมือศัตรู

หลิงหลานเห็นฉากนี้ หัวคิ้วก็ขมวดเล็กน้อย รู้ว่าหลี่อิงเจี๋ยน่าจะทำพลาดแล้ว อันที่จริงการล่อลวงและการรับมือหลังจากนั้นของหลี่อิงเจี๋ยไม่ผิดพลาด สิ่งที่พลาดก็คือเขาประเมินความสามารถของคู่ต่อสู้ต่ำไป ถ้าหากเขาใช้กระบวนท่านี้ต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่อยู่ระดับเดียวกัน หลี่อิงเจี๋ยย่อมยึดความได้เปรียบมาได้แน่นอน ทว่าตอนนี้กลับไม่แน่ใจแล้ว

เป็นไปตามที่คาดไว้จริง มือที่คว้าจับของหลี่อิงเจี๋ยล็อกหมัดขวาของอีกฝ่ายตรงๆ เมื่อปะทะกัน หลี่อิงเจี๋ยรู้สึกถึงพลังมหาศาลส่งผ่านเข้ามาจากหมัดของอีกฝ่าย แทบจะอัดมือที่ล็อกไว้ของเขาออกไป

หลี่อิงเจี๋ยรู้ว่าถ้าหากเขาถูกฝ่ายตรงข้ามกระแทกมือที่คว้าจับของเขาออกไป เขาจะต้องโดนกำปั้นของอีกฝ่ายอัดอย่างหนักหน่วง ได้รับบาดเจ็บแน่นอน ถึงขนาดที่ประกาศความพ่ายแพ้ของเขาล่วงหน้าได้เลย…เขาไม่อยากให้ลั่วล่างหัวเราะเยาะเขา ดังนั้นจึงกัดฟันกรอด ข่มกลั้นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสบนมือ กุมหมัดขวาของฝ่ายตรงข้ามไว้อย่างเด็ดเดี่ยว…

ซ่งเหลียนลู่สัมผัสได้ว่าตัวเองใกล้จะกระแทกฝ่ามือของฝ่ายตรงข้ามออกไป แต่ว่าตอนที่กำลังจะทำสำเร็จนั้น อีกฝ่ายยังคงกุมหมัดขวาของเขาไว้ หลังจากนั้นก็ดึงออกไป ทั่วทั้งร่างของเขารู้สึกได้ว่าพละกำลังถูกดึงไปตรงช่องว่าง ก่อนจะอัดใส่เขตป้องกันตรงขอบเวทีประลองอย่างควบคุมไม่ได้…

จากนั้นก็เห็นเขตป้องกันส่องรัศมีแสงพราวพร่างออกมา ภายในรัศมีแสงยังปรากฏรอยแตกคล้ายกับกระจก ในขณะเดียวกันหลังจากที่หลี่อิงเจี๋ยดึงพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามไปอีกฝั่งแล้ว หมัดขวาที่เตรียมไว้นานแล้วก็ซัดไปที่หน้าอกของซ่งเหลียนลู่ทันที

การป้องกันทำเพื่อเตรียมตัวโจมตีเท่านั้น เป้าหมายสุดท้ายของกระบวนท่าหลี่อิงเจี๋ยอยู่ตรงนี้…

อย่างไรก็ตาม ซ่งเหลียนลู่ตอบสนองฉับไวเช่นกัน ฝ่ามือข้างซ้ายของเขากันหน้าอกไว้ในช่วงเวลาวิกฤติ ฝืนรับการโจมตีที่อยู่เหนือความคาดหมายของหลี่อิงเจี๋ยเอาไว้!

‘ปัง’ กำปั้นและฝ่ามือของคนทั้งสองปะทะกันจนเกิดเสียงดังกังวาล ก่อนจะเห็นพวกเขาสองคนกระเด็นลอยออกไป ซ่งเหลียนลู่ร่วงลงสู่พื้นแล้วถอยหลังไปสามก้าวถึงค่อยยืนได้อย่างมั่นคง ส่วนหลี่อิงเจี๋ยก็ตกลงพื้นก่อนจะถอยไปสามก้าวถึงค่อยยืนอย่างมั่นคงเช่นเดียวกัน ในสายตาของนักเรียนที่ชมการประลอง พวกเขาสองคนต่อสู้ได้อย่างสูสีกัน ไม่มีใครด้อยไปกว่ากันเลย

มีเพียงคนที่มีสายตาเฉียบคมถึงสังเกตเห็นว่า มือซ้ายที่ห้อยลงต่ำของหลี่อิงเจี๋ยกำลังแกว่งเบาๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้ การป้องกันการโจมตีของศัตรูอย่างรุนแรงเมื่อสักครู่นี้ทำให้มือซ้ายของหลี่อิงเจี๋ยได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างชัดเจน

อู่จย่งกับฉีหลงเห็นแล้วต่างเข้าใจดี พวกเขาอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ อู่จย่งยังเอ่ยด้วยความเป็นห่วงว่า “มือซ้ายของหลี่อิงเจี๋ยได้รับบาดเจ็บ ดูท่าต่อไปจะสู้ยากแล้ว”

หลิงหลานเอ่ยอย่างนิ่งเรียบว่า “การประลองรอบนี้ เดิมทีหลี่อิงเจี๋ยก็อยู่ในสภาพเสียเปรียบ ดังนั้นแพ้ชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญ ฉันอยากเห็นแค่ว่าเขาสามารถต่อสู้ได้จนถึงขั้นไหนเท่านั้น”

หลี่อิงเจี๋ยมีจุดอ่อนถึงตายอยู่ เมื่อเขารู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพเสียเปรียบ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย เขาก็จะยอมแพ้ได้ง่ายมาก นิสัยเขาขาดความอดทนอยู่บ้าง นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาแพ้ลั่วล่างหลายครั้ง สุดท้ายก็รั้งอยู่อันดับห้าด้อยกว่าลั่วล่างเล็กน้อยมาตลอด

หลิงหลานคิดแบบนี้ ในเมื่อหลี่อิงเจี๋ยยอมรับเธอเป็นลูกพี่ด้วยใจจริงแล้ว เธอก็อยากช่วยหลี่อิงเจี๋ยแก้ไขปัญหาข้อนี้เช่นกัน และวันนี้ก็เป็นโอกาสดี หายากที่หลี่อิงเจี๋ยจะมีความคิดอยากต่อสู้อย่างรุนแรงแบบนี้