ตอนที่ 253 ลุกขึ้นมาซะ!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ลี่อิงเจี๋ยที่ข่มกลั้นความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสตรงมือซ้ายมองไปยังซ่งเหลียนลู่ดูมั่นอกมั่นใจตรงข้าม ในใจเขาก็หนักอึ้งทันที การโจมตีเมื่อสักครู่นี้ทำให้เขารู้ว่าความสามารถของเขากับฝ่ายตรงข้ามต่างกันอย่างยิ่งยวด เขาจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามภายใต้สถานการณ์แบบนี้ได้ยังไง? แววตาของหลี่อิงเจี๋ยเริ่มฉายแววไม่มั่นใจอยู่บ้าง…

ซ่งเหลียนลู่สัมผัสได้ถึงพลังโจมตีของหลี่อิงเจี๋ยเช่นเดียวกัน ถึงแม้เขาจะรีบรับกระบวนท่า แต่ยังคงต้านทานเอาไว้ได้ เด็กหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งอวดดีตรงหน้านี้มีความสามารถอ่อนด้อยกว่าเขาเล็กน้อยจริงๆ คราวนี้เขามีความมั่นใจแล้ว การหยั่งเชิงด้วยความระมัดระวังแต่เดิมหายไป แทนที่ด้วยการกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

หลี่อิงเจี๋ยเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างกะทันหันนี้ย่อมไม่เลือกฝืนต้านรับ เขาถอยหลังหลบทันที ควรพูดว่าความสามารถในการหลบของหลี่อิงเจี๋ยไม่ได้สง่างามอย่างลั่วล่าง แต่ก็ล้ำเลิศอย่างยิ่งเหมือนกัน เขาหลบการจู่โจมอย่างบ้าคลั่งตลอดทางของซ่งเหลียนลู่ทั้งหมด แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หลี่อิงเจี๋ยตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบแล้ว ถูกซ่งเหลียนลู่กดดันโจมตี อย่างชัดเจน

ร่างหนึ่งโจมตีอย่างดุดันโดยไม่มีความพะว้าพะวงสักนิดเดียว ขณะที่อีกร่างก็หลบอย่างน่าหวาดเสียวเช่นนี้เอง ทุกคนต่างรู้ว่าการพ่ายแพ้ของตัวแทนที่ได้รับคัดเลือกของกลุ่มนักเรียนใหม่เป็นแค่ปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น นอกเสียจากนักเรียนใหม่คนนั้นจะเหมือนกับนักเรียนใหม่คนก่อนที่จู่ๆ ระเบิดท่าไม้ตายอะไรบางอย่างออกมา ไม่อย่างนั้นย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบได้

แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้สรุปผลตอนนี้เลยเช่นกัน ถึงยังไงก่อนที่ผลสรุปในตอนท้ายจะปรากฏ ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ดังนั้นทุกคนจึงจดจ่อกับเวทีประลอง รอคอยผลลัพธ์ปรากฏออกมา ถ้านักเรียนใหม่คนนี้ไม่โดนโจมตีกดดันตลอดทางเช่นนี้จนพ่ายแพ้ เช่นนั้นก็จะเหมือนการประลองรอบก่อนที่จู่ๆ ระเบิดพลังออกมาตอบโต้กลับในสถานการณ์ที่อับจน

……

สีหน้าของอู่จย่งกับฉีหลงที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างเวทีประลองยิ่งดูแย่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขารู้ว่า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป หลี่อิงเจี๋ยต้องแพ้แน่! ไม่ใช่ว่าพวกเขายอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ แต่พวกเขาไม่อยากเห็นหลี่อิงเจี๋ยถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีกดดันตลอดจนพ่ายแพ้ด้วยความกล้ำกลืนฝืนทนเช่นนี้ ในใจพวกเขา ต่อให้แพ้ก็จะต้องแพ้อย่างมีเกียรติ

หลิงหลานขมวดคิ้วขึ้นมา เนื่องจากปัญหาเก่าของหลี่อิงเจี๋ยโผล่ขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจเอาชนะได้ก็จะตั้งรับอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้จนตกตายกันทั้งสองฝ่ายเลย

หลิงหลานเริ่มหวนรำลึกว่าหลี่อิงเจี๋ยเริ่มมีปัญหาเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ? เนื่องจากหลิงหลานไม่ค่อยสนใจหลี่อิงเจี๋ย ดังนั้นเมื่อเธอสังเกตเห็น หมอนี่ก็มีปัญหาแบบนี้แล้ว แน่นอนว่าหลิงหลานไม่ใช่แม่พระ เธอไม่มีทางไปช่วยเจ้าเด็กที่ดูน่ารำคาญมากนี่แน่นอน เพราะฉะนั้นปัญหาข้อนี้จึงคงอยู่มาตลอดจวบจนทุกวันนี้

เสี่ยวซื่อได้ยินข้อสงสัยของลูกพี่ตัวเองก็อดกลอกตาไม่ได้ จากนั้นก็โยนคลิปหลายอันที่เขาอัดไว้ก่อนหน้านี้ออกมาโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น ก่อนจะฉายขึ้นในห้วงจิตใจของหลิงหลาน…

คลิปแรกเป็นตอนที่หลิงหลานต่อสู้กับหลี่อิงเจี๋ยครั้งแรก หลิงหลานต่อยหลี่อิงเจี๋ยกระเด็นออกไปในหมัดเดียวทันทีโดยไม่มองอีกฝ่ายสักแวบเดียว…แววตาอับอายและคับแค้นใจของหลี่อิงเจี๋ยโผล่ขึ้นในตอนจบของคลิปอย่างชัดเจน

คลิปที่สองเป็นตอนที่หลิงหลานต่อสู้กับหลี่อิงเจี๋ยครั้งที่สอง เธอเตะหลี่อิงเจี๋ยกระเด็นในครั้งเดียวโดยที่ไม่มองเขาสักนิดเดียวเช่นกัน…เวลานี้แววตาของหลี่อิงเจี๋ยดูหดหู่ ถึงขนาดที่เกิดความสงสัยในตนเอง

คลิปที่สามยังคงเป็นตอนที่หลิงหลานต่อสู้กับหลี่อิงเจี๋ยเหมือนเดิม หลิงหลานต่อยหลี่อิงเจี๋ยลอยออกไปอย่างสบายๆ เช่นเคย…แววตาของหลี่อิงเจี๋ยดูซึมกะทืออยู่บ้าง ถึงขนาดที่มุมปากยังแฝงไปด้วยความเยาะหยันตัวเองเล็กน้อย

คลิปที่สี่ยังคงเป็นหลิงหลานต่อสู้กับหลี่อิงเจี๋ยอยู่ดี คราวนี้บังเอิญเป็นตอนที่หลิงหลานมีไอชั่วร้ายบนตัวเข้มข้นมากที่สุดครั้งหนึ่ง ต่อให้เสี่ยวซื่อจะปกปิดเพิ่มยังไงก็ยังหลุดรอดออกมาเล็กน้อยในพริบตาที่ต่อสู้ มันทะลวงการป้องกันทางจิตใจของหลี่อิงเจี๋ยทันที ครั้งนั้นหลี่อิงเจี๋ยไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวอะไรเลยก็ถูกหลิงหลานต่อยร่วงลงเวทีประลองในหมัดเดียว…เวลานั้นแววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น…

นับตั้งแต่นั้นมา หลี่อิงเจี๋ยเจอคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาก็ไม่มีความกล้าพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลังอีกเลย…

หลิงหลานนวดหว่างคิ้วด้วยความปวดหัว “เสี่ยวซื่อ นายหมายความว่าที่หลี่อิงเจี๋ยกลายเป็นแบบนี้ สาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะฉันเหรอ?”

เสี่ยวซื่อพยักหน้าอย่างเฉียบขาด “แน่นอนอยู่แล้ว เดิมทีการโจมตีหลายครั้งก่อนก็ทำให้หัวใจหมอนี่เปลี่ยนเป็นอ่อนแอจนไม่มีอะไรเทียบได้แล้ว โชคร้ายที่ครั้งที่สี่มาเจอตอนที่เธอมีไอชั่วร้ายรุนแรงที่สุดอีก โดนไอชั่วร้ายที่หลุดรอดออกมาเล็กน้อยของเธอทะลวงการป้องกันทางจิตใจไปตรงๆ เลยทิ้งปีศาจในใจเอาไว้”

“ชิ ทำไมหัวใจของหมอนี่อ่อนขนาดนี้นะ? เขาอวดดีเย่อหยิ่งมากเลยไม่ใช่หรือไง?” หลิงหลานคิดไม่ออกอยู่บ้าง ว่าไปแล้วฉีหลงก็พ่ายแพ้อยู่ในมือเธอมาตลอด ก็ไม่เห็นจิตใจหมอนั่นมีรอยแตกจนเกิดปีศาจในใจอะไรเลย ยังต่อสู้รุนแรงดุดันได้ตามปกติ

“จะเหมือนกันได้เหรอ? ฉีหลงนับถือลูกพี่นะ ในใจเขาลูกพี่ไม่เพียงเป็นลูกพี่ ยังเป็นอาจารย์อีกด้วย แพ้ในมือลูกพี่เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่หลี่อิงเจี๋ยไม่เหมือนกัน เขาคิดว่าลูกพี่เป็นคู่ต่อสู้มาตลอด อยากเอาชนะลูกพี่จนใกล้จะบ้าอยู่แล้ว แต่ความสามารถของลูกพี่แข็งแกร่งมากเกินไป พอแพ้แล้วแพ้อีก เขาที่พ่ายแพ้ก็หมดความมั่นใจ หัวใจที่เดิมทีเปลี่ยนเป็นเปราะบางสุดขีดถูกไอชั่วร้ายของลูกพี่ทะลวงการป้องกันทางจิตใจโดยบังเอิญ ก็เลยเกิดปัญหาในตอนนี้ไง…”

คำอธิบายของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานกลุ้มใจอยู่บ้าง เธอไม่คาดคิดว่าสุดท้ายหลี่อิงเจี๋ยจะติดตามเธอไปด้วย ปัญหาข้อนี้จึงกลายเป็นปัญหาที่เธอต้องแก้ไขเช่นกัน ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นแบบนี้ ตอนนั้นเธอควรจะยั้งมือไว้ด้วยไมตรี อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มาคิดเรื่องพวกนี้ก็สายไปแล้ว คิดว่าควรจะแก้ไขปัญหาด้านจิตใจของหมอนี่ยังไงดีกว่า

ตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงหมัดอัดทรงพลังกระทบเนื้อดัง ‘ผัวะ’!

ซ่งเหลียนลู่บนเวทีประลองคว้าโอกาสได้ในที่สุด กำปั้นอันหนักหน่วงซัดเข้าไปตรงไหล่ซ้ายของหลี่อิงเจี๋ยทันที หลี่อิงเจี๋ยถูกซัดกระเด็นออกไปก่อนจะร่วงลงบนเวทีประลองอย่างรุนแรงแล้วไถลออกไปหลายเมตร ทิ้งรอยครูดบนเวทีประลองที่ชัดเจนยิ่งสายหนึ่ง เห็นได้ถึงพละกำลังอันมหาศาลของฝ่ายตรงข้าม

หลี่อิงเจี๋ยกระอักเลือดออกมาคำหนึ่งโดยที่ควบคุมไว้ไม่อยู่ ถึงแม้จะไม่ได้โดนโจมตีตรงจุดสำคัญ แต่พละกำลังของฝ่ายตรงข้ามเพียงพอที่จะกระเทือนให้อวัยวะภายในร่างกายเขาบาดเจ็บได้ เขารู้สึกแค่ว่าทรวงอกเจ็บปวดอย่างหาใดเปรียบ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ตอนนี้แขนขวาของเขาสูญเสียความรู้สึกไปทั้งแขนแล้ว ไม่รู้ว่าหมัดเมื่อสักครู่นี้โจมตีจนกระดูกไหล่เขาหักไปทันที หรือว่ากระเทือนจนระบบประสาทของเขาขาดไปแล้ว…

ซ่งเหลียนลู่เห็นฝ่ายตรงข้ามโดนโจมตีจนร่วง แววตาก็ฉายความประหลาดใจระคนยินดีขึ้นมาแวบหนึ่ง เขากำลังคิดจะตามไปตัดสินผลการรบ ก็เห็นพันเอกถังอวี้ขวางเขาไว้ทันใด ส่งสัญญาณให้เขายืนอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นพันเอกถังอวี้ก็เดินไปที่ข้างกายหลี่อิงเจี๋ยแล้วเอ่ยถามว่า “เธอจะเลือกยอมแพ้หรือว่าจะประลองต่อไป?”

เมื่อหลี่อิงเจี๋ยได้ยินคำถามของพันเอกถังอวี้ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในใจว่า ‘หลี่อิงเจี๋ย รีบยอมแพ้เถอะ ความสามารถของคู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่านายมากเลยนะ นายสู้ไม่ไหวหรอก ฝืนต่อไปก็ไม่มีความหมาย ไม่สู้ยอมแพ้ดีกว่า ยังลดความทรมานได้บ้าง’

ใช่แล้ว เขาจะฝืนต่อสู้ไปทำไม เดิมทีความสามารถของเขาก็อ่อนแอกว่าอีกฝ่ายอยู่แล้ว พ่ายแพ้ไปก็เป็นเรื่องปกติมากเลยไม่ใช่เหรอ?

หลี่อิงเจี๋ยชูมือขึ้นช้าๆ ขณะที่เตรียมตัวจะพูดคำว่า ‘ฉันยอมแพ้’ สามคำนี้ออกมา เสียงที่เย็นเยียบกระจ่างใสหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังเขาว่า “หลี่อิงเจี๋ย ลุกขึ้นมาซะ!”

หลี่อิงเจี๋ยหันหน้ากลับไปด้วยความตะลึงลาน จากนั้นก็เห็นหลิงหลานที่เดิมทีนั่งตัวตรงอยู่ด้านล่างเวทีประลอง ตอนนี้ได้มายืนอยู่ข้างเวทีประลองแล้ว จ้องมองเขาด้วยใบหน้าเย็นชา

“หลี่อิงเจี๋ย ความกล้าในตอนเด็กๆ ของนายวิ่งหนีไปไหนแล้ว? แม่งลุกขึ้นมาซะ นี่เป็นเวลาที่ทำให้พวกเขาเห็นว่าหลี่อิงเจี๋ยที่เย่อหยิ่งอวดดีอย่างแท้จริงเป็นแบบไหนนะ” แววตาของหลิงหลานเย็นเยียบมากอย่างชัดเจน แต่ไม่รู้ว่าทำไมในสายตาของหลี่อิงเจี๋ยกลับเห็นว่า นี่เป็นความเชื่อใจเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน…

“เขาเข้าใจฉัน และก็ยินดีเชื่อใจฉัน เพราะฉะนั้นถึงได้ยอมรับคำขอของฉัน…” หลี่อิงเจี๋ยไม่มีทางลืมว่า ตอนนั้นแววตาของหลิงหลานทอดมองไปที่ตัวฉีหลง แต่สุดท้ายก็ยังรับปากเขา นี่ไม่ใช่การทำแบบขอไปที หากแต่เป็นความเชื่อใจจริงๆ ว่าเขาสามารถประลองรอบนี้ได้ดี

‘ไม่ ฉันจะให้เขาดูถูกฉันไม่ได้เด็ดขาด!’ หลี่อิงเจี๋ยตัวสั่นเทาไม่หยุด เสียงในใจร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง ‘ใช่แล้ว ฉันหยิ่งทระนงมาก ตอนแรกฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าฉัน ฉันก็กล้าต่อสู้…ยอมแพ้? คำนี้โผล่ขึ้นในปากฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? นั่นไม่ใช่ฉันแน่นอน’

หลี่อิงเจี๋ยหันหน้าไปทันที มือขวาที่เดิมทีชูขึ้นเล็กน้อยพลันเปลี่ยนทิศทาง วางลงพื้นก่อนจะประคองตัวให้ได้มากที่สุด เขาลุกขึ้นมาช้าๆ ถึงแม้ว่าจะเจ็บอย่างยิ่งยวด แต่ใบหน้าของหลี่อิงเจี๋ยในตอนนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ราวกับว่าบาดแผลบนตัวเขาไม่มีอยู่

หลิงหลานเห็นเงาหลังของหลี่อิงเจี๋ยที่ตั้งตรงขึ้นมาก็หันกลับไปด้วยความพึงพอใจ แล้วเดินกลับไปยังที่นั่งตัวเอง เธอเชื่อว่า คราวนี้หลี่อิงเจี๋ยน่าจะไม่เหมือนเดิมแล้ว

หลี่อิงเจี๋ยยืนตรง เอ่ยกับพันเอกถังอวี้ที่รอเขาตอบอยู่ว่า “ผมจะประลองต่อครับ!”

แววตาของพันเอกถังอวี้ฉายแววชื่นชมออกมาแวบหนึ่ง เขาพยักหน้ากล่าวว่า “ดี ทำการประลองต่อได้!”

ซ่งเหลียนลู่ลอบร้องชิขึ้นมา ถ้าหากไม่ใช่เพราะพันเอกถังอวี้ขัดขวางไว้ เมื่อสักครู่นี้เขาก็สามารถฉวยโอกาสซัดคู่ต่อสู้จนไม่มีความสามารถตอบโต้ได้กลับได้แล้ว ท้ายที่สุด หมอนี่ก็ถูกกรรมการช่วยไว้

อย่างไรก็ตาม ก็มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น! มุมปากของซ่งเหลียนลู่เผยรอยยิ้มออกมา เจ้าเด็กกึ่งพิการตรงหน้านี้ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย

……

“คนที่ตะโกนเมื่อตะกี้นี้คือใครน่ะ?” เขตพื้นที่เหลยถิงด้านล่างเวทีประลอง หลินจื้อตงขมวดคิ้วจ้องมองหลิงหลานที่เดินกลับไปยังที่นั่ง ก่อนจะเอ่ยถามคนที่อยู่ข้างๆ

“ไม่รู้สิ หมอนี่ไม่คุ้นหน้ามากๆ เลย” คนที่อยู่ข้างกายมองหลิงหลานด้วยความจริงจังแวบหนึ่ง รู้สึกไม่คุ้นเคยมากๆ ก็ส่ายศีรษะบ่งบอกว่าไม่รู้ เนื่องจากหลิงหลานอยู่ในบ้านพักตลอดไม่ออกมาข้างนอก ดังนั้นนอกจากพวกคนของสถาบันโดฮาที่รู้จักเธอแล้ว กลุ่มอำนาจใหญ่หลายกลุ่มด้านนอกยังไม่รู้จริงๆ ว่าเธอป็นใคร

“ต้องจับตามองหมอนี่ไว้ให้ดี” หลินจื้อตงรู้สึกระแวดระวังอย่างมาก อาศัยเพียงคำพูดประโยคเดียวก็ทำให้จิตวิญญาณต่อสู้ของเพื่อนร่วมทีมลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง นี่ไม่ธรรมดาเลย

“ได้ครับ รองหัวหน้าหลิน ผมจะจัดการให้เรียบร้อย” คนที่อยู่ข้างๆ ตอบด้วยความเคารพนับถือ ลอบจดจำหลิงหลานไว้ในใจ

“ฉีหลง ดูเหมือนกลิ่นอายของหลี่อิงเจี๋ยเปลี่ยนไปแล้วนะ” อู่จย่งเองก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของหลี่อิงเจี๋ยบนเวทีประลอง เขากล่าวกับฉีหลงด้วยความตื่นเต้น

ฉีหลงโล่งอกเช่นกันและตอบว่า “ใช่ พวกเราไม่ต้องเป็นห่วงเขาแล้ว” เขาอุทานด้วยความชื่นชมว่า “ลูกพี่หลานก็คือลูกพี่หลาน คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้หลี่อิงเจี๋ยเปลี่ยนไปได้แล้ว”

คำพูดประโยคนี้ได้รับการยอมรับจากอู่จย่งเช่นเดียวกัน เขามองหลิงหลานที่เยือกเย็นเฉยชาข้างกายด้วยความนับถือ มีเพียงคนที่มองทะลุเนื้อแท้ของคนในแวบเดียวอย่างหลิงหลานเท่านั้นถึงจะขุดพลังแฝงของแต่ละคนออกมาได้ นำพาพวกเขาเดินต่อไปในทางที่ดีขึ้น เขาด้อยกว่าหลิงหลานในเรื่องนี้มากเหลือเกิน

อู่จย่งรู้สึกได้ถึงความห่างชั้นระหว่างเขากับหลิงหลานอีกครั้ง ความชื่นชมนับถือเช่นนี้ค่อยๆ สะสมขึ้นในใจอู่จย่งทีละนิด จนสุดท้ายก็ลึกล้ำไม่อาจคว่ำลงได้ ทำได้เพียงยินยอมไล่ตามต่อไปจวบจนชั่วนิจนิรันดร์!