บทที่ 199 เย่เทียนเฉินจะต้องตายแน่นอน?

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

วันนั้นห้าโมงเย็น เมื่อหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาเดินออกมาจากประตูมหาวิทยาลัยหลงเถิง ก็เห็นเย่เทียนเฉินถือถังไอติมอันใหญ่อยู่ในมือ ตักกินเข้าไปคำใหญ่ ยืนพิงอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งบริเวณประตูมหาวิทยาลัย ไม่รักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย  ต่อให้รอบด้านจะมีนักศึกษาชายหญิงเดินผ่านทางมาและจำเย่เทียนเฉินที่เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลได้ พากันชี้ไม้ชี้มือมา แต่เย่เทียนเฉินก็ยังกินต่อไป คนอื่นจะมีท่าทางยังไงก็เรื่องของเขา

“นายอย่าบอกนะว่า ตอนสี่โมงที่นายโทรมาหาพวกเราก็เริ่มกินแล้ว?” เสี้ยวหยาอ้าปากกว้างอย่างเกินจริง มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“ไม่ใช่ว่าเริ่มกิน แต่กินมาตลอดไม่ได้หยุด ถ้าพวกเธอยังไม่ออกมาอีก ฉันก็ว่าจะไปซื้อไอติมมาอีก!” เย่เทียนเฉินกินไปพลางพูดไปพลาง

“ฉัน…อับจนคำพูดกับนายจริงๆ!”

หลิงอวี่สวิ๋นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีจริงๆ เย่เทียนเฉินเป็นเพื่อนสมัยเด็กของตน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี แต่ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมนั้นก็ไม่ได้ลดน้อยลง ไม่ว่าเย่เทียนเฉินจะรู้สึกอย่างไร แต่ตัวหลิงอวี่สวิ๋นนั้น ยังคงรู้สึกเหมือนกับในวัยเด็กทุกอย่าง ระหว่างเธอกับเย่เทียนเฉินไม่มีอะไรมากั้น

ตั้งแต่ที่ได้พบกับเย่เทียนเฉินจนถึงตอนนี้ นอกจากความจนใจและความหดหู่ที่เธอมีต่อเย่เทียนเฉินแล้ว ที่เหลือก็เป็นความตกตะลึงและความยินดี จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่เคยฉี่รดที่นอนในวันนั้น ตอนนี้จะกลายเป็นลูกผู้ชายถึงขนาดนั้น จะแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น เขาไม่เกรงกลัวในอำนาจ มีหลักการของตนเอง ขอเพียงคุณไร้เหตุผล ขอเพียงคุณไม่ยอมอยู่อย่างสงบ สิ่งที่เขาจะให้คุณก็มีแค่กำปั้น ผู้ชายเช่นนี้มากพอที่จะทำให้ผู้หญิงคนใดก็ตามต้องหวั่นไหว

“เทียนเฉิน พี่อวี่สวิ๋น คืนนี้หนูไม่กินข้าวกับพวกคุณนะคะ พ่อของหนูทำงานยังไม่กลับบ้าน หนูต้องไปดูแลแม่ที่โรงพยาบาล!” เสี้ยวหยาพูดกับหลิงอวี่สวิ๋นและเย่เทียนเฉิน

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไปกินที่นอกโรงพยาบาลก็ได้ กินเสร็จแล้วเธอก็ไปดูแลแม่ของเธอ ส่วนพวกเราก็กลับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ใช่แล้วหยาเอ๋อร์ ขึ้นรถเถอะ อย่านั่งรถมอเตอร์ไซค์ของเย่เทียนเฉินไปเลย มันไม่ปลอดภัย!” หลิงอวี่สวิ๋นเองก็พูดพลางเหลือบมองเย่เทียนเฉิน

“ไม่ปลอดภัย? มอเตอร์ไซค์ของพี่ชายจะไม่ปลอดภัยได้ไง? มันปลอดภัยมากเลยนะ!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ไม่ พวกเธอไปกินข้าวกันเถอะ ฉันจะไปแล้ว!”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ครั้งนี้เสี้ยวหยาดูเหมือนว่าจะไม่ยอมไปด้วยกันกับเย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋น พูดจบก็รีบร้อนจากไป เตรียมจะไปนั่งรถสาธารณะ เย่เทียนเฉินและหลิงอวี่สวิ๋นที่เห็นดังนั้นก็ชะงักไป

“หยาเอ๋อร์เป็นอะไรไป?” เย่เทียนเฉินถามด้วยความสงสัย

“ตัวเธอก็มีความเคารพในตนเองอยู่ คงไม่เต็มใจที่จะรับความช่วยเหลือจากพวกเรามากจนเกินไป และคิดที่จะยืนด้วยลำแข้งของตนเอง!” หลิงอวี่สวิ๋นมองแผ่นหลังของเสี้ยวหยาแล้วพูดขึ้น

เสี้ยวหยาและหลิงอวี่สวิ๋นเป็นผู้หญิง ที่สามารถกลายเป็นเพื่อนสนิทกันได้อย่างมีความสุขขนาดนี้ ประการแรกเป็นเพราะทั้งสองต่างก็เป็นคนสวยและเป็นคนจิตใจดี ในส่วนลึกของจิตใจต่างก็คิดแต่เรื่องดีๆ ประการที่สอง หลิงอวี่สวิ๋นนับถือเสี้ยวหยามาก นับถือที่เธอสามารถอยู่ในสังคมที่สกปรกเช่นนี้และสามารถรักษาความไร้เดียงสาของตนเองเอาไว้ได้ ไม่ว่าสุขภาพร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงรักษาความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณเอาไว้ได้ นี่ไม่ใช่อะไรที่จะใช้เงินและอำนาจแลกมาได้ บนโลกแห่งนี้หากต้องการที่จะหาผู้หญิงเหมือนเสี้ยวหยาเกรงว่าจะไม่ง่าย

“แย่แล้ว สมุดของหยาเอ๋อร์ยังอยู่ที่ฉัน พรุ่งนี้อาจารย์ที่ปรึกษาจะตรวจด้วย…” หลิงอวี่สวิ๋นมองไปยังสมุดในมือ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น

“ฉันจะเอาไปให้เอง เธอรอฉันอยู่ที่นี่เถอะ!”

เย่เทียนเฉินหยิบสมุดไปจากในมือของหลิงอวี่สวิ๋น จากนั้นจึงเดินไปหาเสี้ยวหยา วิ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็ว เมื่อเห็นแผ่นหลังของเย่เทียนเฉิน จู่ๆ หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ในใจของเธอก็เกิดความรู้สึกขมขื่น เพราะเย่เทียนเฉินไม่มีความรู้สึกระหว่างหญิงชายต่อเธอเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่มีให้ก็คือเพื่อนที่ดีเท่านั้น เป็นความรู้สึกของเพื่อนสมัยเด็กที่ดี

“หยาเอ๋อร์เป็นคนสวย ใจดี ไร้เดียงสา บางทีเย่เทียนเฉินอยู่ด้วยกันกับเธอคงจะเหมาะสมที่สุดแล้ว!” มุมปากของหลิงอวี่สวิ๋นปรากฏรอยยิ้มขมขื่นขึ้น พูดพึมพำกับตัวเอง

ความจริงแล้ว จนถึงตอนนี้หลิงอวี่สวิ๋นก็รู้สึกตกใจกับตัวเอง ตั้งแต่ได้พบกับเย่เทียนเฉินอีกครั้ง เธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาในวัยเด็กที่เล่นด้วยกันอย่างมีความสุข บางทีหากจะพูดเช่นนี้คงไม่มีใครเชื่อ คนเราเมื่อเติบโตขึ้นมาแล้ว ช่วงเวลาในวัยเด็กจะยังจำได้อย่างไร? ต่อให้จำได้ ก็คงไม่ติดใจอะไรขนาดนั้น แต่หลิงอวี่สวิ๋นไม่อาจควบคุมตนเองได้จริงๆ หลายวันนี้ในสมองต่างก็มีภาพของเย่เทียนเฉิน

ยิ่งไปกว่านั้นเย่เทียนเฉินที่เคยฉี่รดที่นอนคนนั้น ในตอนนี้ก็เติบโตขึ้นมาแล้ว เป็นผู้ชายที่มีความกล้าหาญคนหนึ่ง มีฝีมือไม่ธรรมดา มีความหล่อเหลามาดเท่ เป็นคนที่มีนิสัยอันธพาลจนทำให้คนอื่นต้องร้องไห้โดยไร้น้ำตา

ชั่วขณะที่หลิงอวี่สวิ๋นเหม่อลอยอยู่นั้น หญิงชราคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ข้างกายของหลิงอวี่สวิ๋น ให้ความรู้สึกว่ากระทันหันเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย

“คุณหนู คนเมื่อกี้นี้คือเย่เทียนเฉินเหรอคะ?” หญิงชรามองหลิงอวี่สวิ๋นแล้วถามขึ้น

“ย่าขู่ ยะ ย่ามาได้ยังไงคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะถามออกไปอย่างตกตะลึง

“ดูแล้วคนคนนี้คงจะเป็นเย่เทียนเฉิน คุณหนู นายท่านให้ดิฉันมาบอกคุณว่า อย่าได้ใกล้ชิดกับเย่เทียนเฉินมากเกินไป เขาไปหาเรื่องยุ่งยากมากมาย คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน!” หญิงชราเอ่ยปากด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“อะไรนะ? ย่าขู่ หนูรู้ว่าเย่เทียนเฉินไปล่วงเกินตระกูลเซวียนเยวี๋ยนและตระกูลโอวหยาง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ให้คุณพ่อออกหน้าช่วยเขาจัดการไม่ได้เหรอคะ?” หลิงอวี่สวิ๋นมองย่าขู่ด้วยสายตาขอร้อง

ย่าขู่ไม่มองหลิงอวี่สวิ๋น เธอเป็นคนเก่าแก่ในตระกูลหลิง ทำงานให้ตระกูลหลิงตั้งแต่รุ่นของคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋น ไม่แต่งงานตลอดชีวิต มีใจภักดีซื่อสัตย์ต่อตระกูลหลิง ไม่ว่าจะเป็นหลิงอวี่สวิ๋น หรือกระทั่งคุณพ่อของหลิงอวี่สวิ๋น ต่างก็เป็นคนที่ย่าขู่เห็นการเติบโตขึ้นมากับตา ดังนั้นถึงแม้ว่าย่าขู่จะเป็นคนในบังคับบัญชาของตระกูลหลิง แต่ก็มีตำแหน่งที่สำคัญ เคยมีข่าวลือว่า ย่าขู่คล้ายจะมีรักลึกซึ้งต่อคุณปู่ของหลิงอวี่สวิ๋น ดังนั้นจึงไม่แต่งงานมาตลอดชีวิตและทำงานให้กับตระกูลหลิง ความรู้สึกที่ทำให้ซาบซึ้งใจนี้ ทำให้ทุกคนต้องหวั่นไหว

ดังนั้น หลิงอวี่สวิ๋นจึงเห็นย่าขู่เป็นเหมือนญาติที่แท้จริงของตนเอง มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน และมีความเคารพยำเกรง เป็นความเคารพที่มีต่อผู้อาวุโส แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยปฏิบัติตัวต่อย่าขู่เหมือนบ่าวไพร่

“ไม่ได้หรอกค่ะ ครั้งนี้เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่จะต้องตาย ยังเป็นไปได้มากกว่าจะเกี่ยวพันไปถึงตระกูลเย่ คงจะถูกฆ่าล้างตระกูล เพราะว่าคนที่เขาไปล่วงเกินก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง คนคนนี้ไม่เพียงแต่มีอำนาจยิ่งใหญ่ แต่ตัวเขาเองก็ยังเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง มีความสามารถลึกล้ำไม่อาจคาดเดา…” ในตอนที่ย่าขู่พูดถึงคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“นี่…”

เมื่อได้ยินคำพูดของย่าขู่ หลิงอวี่สวิ๋นก็ตกตะลึงไป ตระกูลหลิงของเธอไม่ใช่ตระกูลเล็ก โดยเฉพาะในด้านการค้า มีตำแหน่งที่สำคัญมาก ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณและเรื่องเกี่ยวกับคนที่มีฝีมือแข็งแกร่ง หลิงอวี่สวิ๋นก็ได้สัมผัสมาตั้งแต่เด็กแล้ว สำหรับย่าขู่ เมื่อปีนั้นก็นับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ ฉายานางฟ้ามีดบิน มีฝีมือร้ายกาจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงอวี่สวิ๋นเห็นย่าขู่พูดถึงความสามารถของคนอื่นและมีท่าทางเข้มงวดถึงเพียงนี้ออกมาให้เห็น ท่าทางคุณชายใหญ่จะแข็งแกร่งมากจริงๆ

“อย่าคิดอีกเลย ไปเถอะ เย่เทียนเฉินช่วยไม่ได้แล้ว!” ย่าขู่พูดอย่างจริงจัง

“ไม่…ย่าขู่ ตระกูลหลิงของพวกเรากับตระกูลเย่ เมื่อก่อนก็มีความสัมพันธ์ไม่เลวต่อกัน ตอนนี้ถึงกับเห็นคนจะตายแต่ไม่ยอมช่วยเหลือ เย่เทียนเฉินไม่ใช่คนเลวอะไร ช่วยเขาหน่อยเถอะค่ะ!” หลิงอวี่สวิ๋นพูดอ้อนวอน

“นั่นเป็นสมัยก่อน ตอนนี้ตระกูลเย่และตระกูลหลิงไม่ใช่ตระกูลที่อยู่ในระดับเดียวกันมานานแล้ว ตระกูลเย่ตกต่ำจนไม่อาจทําอะไรได้ ลูกชายทั้งสามคนเย่หย่วนซานก็ไม่เอาไหน ไม่มีทางค้ำจุนตระกูลเย่ได้ ส่วนเย่เทียนเฉิน มีความกล้าและเด็ดเดี่ยวจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ทำได้เพียงแค่รนหาที่ตายเท่านั้น!” ย่าขู่พูดพลางส่ายหน้า

ความจริงแล้ว ตระกูลหลิงก็เป็นเช่นเดียวกับตระกูลเย่ ไม่ใช่ตระกูลใหญ่โตอะไรในเมืองหลวง แต่มีแนวโน้มว่าทั้งสองตระกูลจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปอย่างช้าๆ ได้ จนกระทั่งตอนนี้ตระกูลหลิงกลายเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนเศรษฐกิจภายในประเทศได้ แต่ตระกูลเย่กลับตกต่ำลง ตกต่ำลงจนสามารถพูดได้ว่าเละไม่เป็นท่า  ตกต่ำจนถึงระดับที่ไม่สามารถช่วยได้แล้ว

หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาเมืองหลวง ทุกเรื่องที่กระทำต่างก็ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน มีคนที่มองตะกูเย่ในแง่ดี คิดว่าบางทีตระกูลเย่อาจจะรุ่งเรืองขึ้นมาได้เพราะการกลับมาของเย่เทียนเฉิน แต่คำพูดของย่าขู่กลับทำให้หลิงอวี่สวิ๋นเป็นห่วงขึ้นมา ตระกูลเย่ไม่มีที่พึ่งใหญ่อะไรจริงๆ หากมีที่พึ่งพิง เมื่อมีปัญหา ก็จะสามารถทำให้เรื่องสงบลงไปได้ และรุ่งเรืองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว หากไม่มีที่พึ่งพิงเมื่อมีปัญหาขึ้นมา ก็คงจะมีเพียงเส้นทางแห่งความตายให้เดินเท่านั้น

“แต่ว่า…” หลิงอวี่สวิ๋นยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ อดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องของเย่เทียนเฉินและตระกูลเย่

“ไปกันเถอะค่ะคุณหนู เรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่คุณจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้…อย่าทำให้เกี่ยวพันไปถึงตระกูลหลิงเลย ไม่งั้นคุณจะกลายเป็นคนที่ทำผิดต่อตระกูลหลิง!” ย่าขู่พูดพลางจับมือของหลิงอวี่สวิ๋น เดินไปทางรถซีดานที่อยู่ด้านข้าง

“ไม่…หนูไม่อาจทนเห็นเขาตายได้ หนู…” ทันใดนั้นหลิงอวี่สวิ๋นคิดถึงฉากหนึ่งขึ้นมา คิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เย่เทียนเฉินถูกฆ่าตาย เธอรับไม่ได้จริงๆ ต่อให้จะไม่ได้ตกหลุมรักเย่เทียนเฉินเข้าจริงๆ แต่ด้วยความรู้สึกอันงดงามในสมัยเด็ก เธอก็ไม่อาจมองอยู่เฉยๆ ได้

ในตอนนี้ ขณะที่หลิงอวี่สวิ๋นและย่าขู่กำลังถกเถียงกันอยู่นั้น เย่เทียนเฉินก็ได้ตามเสี้ยวหยามาแล้ว ทั้งสองค่อยๆ เดินไปข้างหน้าด้วยกัน เย่เทียนเฉินเดินมาเพื่อส่งเสี้ยวหยาขึ้นรถสาธารณะ เขารู้ว่าเสี้ยวหยามีความเคารพในตนเองอย่างมาก เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้กล่าวอะไรมาก หากช่วยเหลือเธอจนมากเกินไป คงจะทำให้เธอลำบากใจ

“หยาเอ๋อร์ ความจริงพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน การช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแนะนำเสี้ยวหยาด้วยรอยยิ้ม

เสี้ยวหยามองเย่เทียนเฉินครั้งหนึ่ง ตั้งแต่เหตุการณ์ในซอยแคบ หลังจากที่ทั้งสองผ่านความเป็นตายมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางใกล้ชิดกันมากขึ้น

“เทียนเฉิน ฉันรู้ว่าเธอกับพี่อวี่สวิ๋นเป็นคนดี ต่างก็ต้องการช่วยเหลือฉันด้วยความจริงใจ แต่ฉันก็ต้องเรียนรู้ที่จะพยายามด้วยตัวเอง ไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นไปได้ทุกเรื่องหรอก ยิ่งไปกว่านั้นฉันคิดจะบอกนายว่า พี่สวิ๋นอวี่ชอบนาย วันหน้านายก็อย่าทำท่าทางแบบนั้นต่อเธอเลย ฉันจะให้โอกาสพวกเธอสองคนได้อยู่ด้วยกันตามลำพังไง?” เสี้ยวหยาพูดพลางยิ้มให้เย่เทียนเฉิน

………………………..