“จะบอกอะไรพวกเจ้าไว้ วันนี้ใครกล้ามาขัดขวางการเข้าห้องหอของข้า ข้าจะจัดการคนผู้นั้น” น้ำเสียงที่ดุดันของหลิวหลีทำให้คนพากันตื่นตกใจ พระเจ้า เจ้าสาวจะใจร้อนเกินไปไหม อีกอย่างตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาโมโห ผู้อาวุโส ท่านช่างสมเป็นท่านผู้อาวุโสจริงๆ
“นังหนู เรื่องเข้าห้องหอรอก่อนได้ แต่ว่าวิบากสวรรค์รอเจ้าไม่ได้” เอ๋าเลี่ยเตือน นังหนูตัดสินใจแน่วแน่แล้วหรือว่าวันนี้จะเข้าห้องหอ ตวนมู่เหยาหาฤกษ์มงคลอย่างไรกัน หลอกกันชัดๆ ตวนมู่เหยาจามไปอีกหนึ่งที
“ใครจะไม่รู้ว่าวิบากสวรรค์ไม่รอใคร วันที่ข้าเลือก ช่างมีความหมายจริงๆ”
เมื่อหลิวหลีพูดจบ ทุกคนก็เงียบกริบ บวกกับวันนี้นางเป็นคนเลือกเอง แต่ตวนมู่เหยาต้องเป็นคนรับผิด เป็นถึงผู้นำหอพยากรณ์แต่โดนคนอื่นข่มขู่ ดูแล้วก็คงจะดูไม่ได้แม่นนัก ตวนมู่เหยานึกไม่ถึงว่าหลังจากที่หลิวหลีบรรลุเป็นเซียนไป หอพยากรณ์ของเขาก็ไม่ได้รับความสนใจอีกไปนาน
“นังหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าหญิงชายบำเพ็ญเพียรร่วมกันจะต้องใช้เวลานานเท่าไร” หลงซินเยว่พูดอย่างจนปัญญา ครั้งแรกของลูกสาวคนเล็กของนางกับลูกเขยใช้เวลาไปมากกว่า 36 วัน ลูกสาวคนโตของนางอย่างน้อยน่าจะต้องมากกว่า 81 วัน
“แค่คืนเดียวไม่ใช่หรือ ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่รบกวนการรับวิบากสวรรค์ในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน” หลิวหลีพูดออกมาในทันที หนานกงเวิ่นเทียนที่มองอยู่ก็หัวเราะออกมา นังหนูคนนี้ ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริง ๆ
“นังหนู ใครบอกเจ้าว่าชายหญิงบำเพ็ญร่วมกันใช้เวลาเพียงคืนเดียว” อยู่ๆหลงซินเยว่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่แม่อย่างสมบูรณ์ เอาเถอะ นางก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยนางก็ยังมีประสบการณ์มาจากลูกสาวคนเล็ก
“ไม่ใช่หรือ” หลิวหลีมารู้ทีหลังว่าตัวเองเหมือนจะเข้าใจผิดไป และเป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงเสียด้วย
“นังหนู ไม่ใช่อย่างนั้นจริงๆ” หนานกงเวิ่นเทียนลูบเรือนผมเจ้าสาว และได้เห็นหน้าบึ้งตึงของหลิวหลีได้สำเร็จ นางมองหนานกงเวิ่นเทียนด้วยความโมโห ได้แต่มองทำอะไรก็ไม่ได้ ทำไมถึงไม่มีใครบอกปัญหานี้กับนาง ทำให้นางจะต้องมานั่งมองสามีขาวเนียนน่ากินของตัวเองเฉยๆ หลิวหลีเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเวิ่นเทียน อ้อนสามีของตัวเอง รู้สึกเจ็บปวด ได้แต่มองแต่กินไม่ได้ หนานกงเวิ่นเทียนลูบผมของหลิวหลี
“นังหนู นังหนู” เอ๋าเลี่ยตะโกนต่อ
“ไม่ต้องตะโกนแล้ว ข้ารู้แล้ว แต่ข้าจะอยู่ในห้องหอ ไม่ต้องมากวนข้า” หลิวหลีอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเวิ่นเทียน แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“นังหนู เจ้าจะไม่ออกมาจริงๆหรือ” หากพลั้งพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร
“หากขืนยังพูดอีก ข้าจะปล่อยเพลิงอัคคีแล้วนะ” ไม่เชื่อใจนางหรือ ทั้งๆที่นางเป็นตัวอันตรายมากกว่า
พอเถอะ หากพูดต่อไปนังหนูคงจะโมโหหนักแน่
หลังจากมั่นใจว่าทุกคนไปแล้ว หลิวหลีที่หงุดหงิด มือน้อยๆของนางก็สัมผัสตัวหนานกงเวิ่นเทียนไม่หยุด
อยู่ๆนางก็กดตัวหนานกงเวิ่นเทียนลง สายตาของนางแฝงไปด้วยเจตนาร้าย เมื่อมองหลิวหลีที่ทำท่าห้าวหาญ หนานกงเวิ่นเทียนก็เกิดกลัวน้อยๆ นังหนู ท่าทีร้ายกาจของเจ้าทำให้คนอยากจะปฏิเสธ แต่ก็อดที่จะตามน้ำไปไม่ได้
“นังหนู เจ้าจะทำอะไร” ทั้งๆที่หนานกงเวิ่นเทียนรู้ว่านังหนูจะทำอะไร แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี
“ทำอะไร สาวน้อย วันนี้ยอมข้าเสียดีๆ” หลิวหลีทำท่าทางเจ้าเล่ห์ เอามือเชยคางหนานกงเวิ่นเทียนขึ้นมา
“ได้สิ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ” เมื่อหลิวหลีเห็นหนานกงเวิ่นเทียนให้ความร่วมมือขนาดนี้ก็เริ่มลงมือ มือของหลิวหลีที่กำลังจะถอดชุดแต่งงานตัวนอกของหนานกงเวิ่นเทียน อยู่ๆสีหน้าของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไป
“มีเนื้อแต่ไม่ได้กิน ขอชิมหน่อยก็ไม่ได้” จะเห็นนางกินเนื้อไม่ได้เลยใช่ไหม หนานกงเวิ่นเทียนดึงชุดกลับมาให้เรียบร้อย ทั้งสองเคลื่อนตัวออกไปไกลจากตำหนัก เอ๋าเลี่ย จื่อฉีกับเฟิ่งอิงเสวี่ยก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน จึงรีบตามออกไปหาพื้นที่โล่งกว้างกันตามลำดับ
เมื่ออสูรเทพทั้งสามตัวมาถึง ก็เห็นหลิวหลีในชุดแต่งงานสีแดงกับหนานกงเวิ่นเทียนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุด เพียงแต่สีหน้าของทั้งสองคนดูน่าสนใจ สีหน้าหลิวหลีบึ้งตึงจนไม่รู้จะตึงอย่างไร แต่หนานกงเวิ่นเทียนกลับหน้าแดงน้อยๆคงไม่ได้รบกวนเวลาดีๆของนังหนูใช่ไหม
“วิบากอัสนีบาต มีคนรับวิบากสวรรค์” เสวียนหั่วกำลังสนทนาอยู่กับหลงเหวินเซวียน อยู่ๆก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง
“เป็นพวกนังหนูหรือเปล่า” คนแรกที่หลงเหวินเซวียนนึกถึงก็คือพวกหลิวหลี
“เป็นไปได้อย่างมาก ไปกันเถอะ” เสวียนหั่วจับหลงเหวินเซวียนและรีบเดินตามไปทันที เป็นพวกหลิวหลีจริงๆ ชุดแต่งงานของหลิวหลียังไม่ทันได้เปลี่ยนเลย
“สีหน้าของนังหนูไม่สู้ดีนัก” หลงเหวินเซวียนมองดูหลานสาวที่มีสีหน้าบึ้งตึง ช่างเห็นได้ยากจริงๆ เรื่องที่หน้าตื่นเต้นอย่างการรับวิบากสวรรค์ ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น
“คงจะมีอะไรไม่ได้ดั่งใจ” อยู่ๆเสวียนหั่วก็พูดขึ้น หลงเหวินเซวียนที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจ ว่ากันว่าท่านปรมาจารย์เสวียนหั่วยังไม่แต่งงานไม่ใช่หรือ ทำไมจึงเข้าใจถึงเพียงนี้
เพียงไม่นาน ก็เริ่มมีคนสัมผัสได้ถึงวิบากอัสนีบาตอย่างต่อเนื่อง จึงรีบทยอยพากันเข้าไปหลบอยู่ในที่ปลอดภัย
“นังหนู วิบากอัสนีบาตจะมาแล้ว เจ้าทำหน้าบึ้งตึงไปก็ไม่มีประโยชน์” เอ๋าเลี่ยกล่าวเตือน ใครให้เจ้าเลือกวันมหามงคลนี้ล่ะ
“สวรรค์เจ้าเล่ห์ อย่าให้ข้าได้ขึ้นไป ข้าจะต้องไปจับเข่าคุยกับเทพที่ดูแลอัสนีบาตเสียหน่อยแล้ว” หลิวหลีมองดูเมฆที่กำลังจะปล่อยสายฟ้า ก็พูดคำพูดที่ชวนขนลุกออกมา
“พี่สาว เรื่องนี้จะโทษวิบากอัสนีบาตไม่ได้ พี่เป็นคนเลือกวันเองชัดๆ” จื่อฉีออกตัวบอกว่านางทำตัวเองทั้งนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าวันถัดมาต้องรับวิบากสวรรค์ ก็ยังเลือกวันก่อนหน้าวิบากอัสนีบาตหนึ่งวัน
“ยังจะมาพูดอีก เป็นคู่พันธสัญญาของข้ากลับไม่รู้ว่าพวกเราเป็นร่างเดียวกัน เวลารับวิบากสวรรค์ก็ต้องรับด้วยกัน” หลิวหลีส่งสายตาตำหนิให้จื่อฉี เป็นคู่พันธสัญญาของนางทำไมไม่ทำหน้าที่ให้ดี นึกออกตอนไหนไม่นึก แต่กลับมาบอกให้หยุดตอนที่นางกำลังจะได้กินเนื้ออยู่แล้วเชียว
“เพราะตื่นเต้นมากน่ะ นึกไม่ถึงเลยว่าในที่สุดวันนี้ก็มาถึง” เอ๋าเลี่ยพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจน้อยๆ
“พี่สาว ข้ายังเด็ก ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่” จื่อฉีรีบปฏิเสธว่าตัวเองไม่รู้
“อย่ามาบอกว่าเจ้าไม่รู้ เจ้านั่นแหละที่เป็นคนห้าม” หลิวหลีมองจื่อฉีแวบหนึ่ง
“ใกล้แล้วล่ะ วิบากอัสนีบาตกำลังจะมาแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนพูดพลางมองท้องฟ้าแล้วมองคนทั้งสามที่กำลังเถียงกัน
ผู้ชมที่อยู่รอบข้างเพิ่งเคยเห็นคนรับวิบากสวรรค์อย่างมั่นใจขนาดนี้เป็นครั้งแรก ถึงขนาดพูดคุยกันทำราววิบากอัสนีบาตไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานวิบากอัสนีบาตครั้งแรกก็ฟาดลงมา มนุษย์ 2 คนกับอสูร 3 ตัวที่มีร่างกายแข็งแกร่งไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร แม้รับไปสิบกว่าครั้งแล้วก็ยังนิ่งเฉย
“ไม่สามารถเทียบกับคนผู้นี้ได้เลย ดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อนั่นสิ แข็งแรงยิ่งกว่าอาวุธล้ำค่าเสียอีก”
“ร่างกายของคนที่มักจะใช้วิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ในการฝึกฝนร่างกายก็จะมีความแตกต่างเช่นนี้แหละ ดูสิ ขนาดรับวิบากอัสนีบาต หน้าก็ยังไม่เปลี่ยนสีเลย”
“เพียงแต่หลงหลิวหลีจะไม่เปลี่ยนชุดหน่อยหรือ ดูแล้วดูน่ากลัวอย่างไรไม่รู้”
“พูดอะไรคิดบ้างไหม สวยมากเลยต่างหาก”
“หนานกงเวิ่นเทียนก็เหมือนกัน นึกไม่ถึงเลยว่าหนานกงเวิ่นเทียนจะแข็งแรงเช่นนี้”
“ทุกคนต่างก็รู้ว่า ตอนที่หลิวหลีหายตัวไป หนานกงเวิ่นเทียนเป็นคนคุมสถานการณ์บริเวณชายแดนมาโดยตลอด พลังการต่อสู้ก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ก่อนมักจะนึกว่าเป็นชายหนุ่มที่ต้องรอการปกป้องจากหลิวหลี พอเห็นอย่างนี้ก็พบว่าที่จริงเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก”
“โถ่ เจ้านึกว่าเขาเกาะผู้หญิงกินหรือ หนานกงเวิ่นเทียนเป็นยอดฝีมือที่ทำพันธสัญญากับหงส์เหมันต์ในตำนาน เป็นผู้ถูกเลือกอันดับสาม อีกทั้งยังอยู่ในสามอันดับแรกของการจัดอันดับผู้โหดร้ายอีกด้วย”
“พูดมาถึงตรงนี้ หลงหลิวหลีก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงในการจัดอันดับผู้โหดร้ายเหมือนกัน ระเบิดเพลิงอัสนีที่นางทำขึ้นมีพลังทำลายล้างสูงมาก น่าเสียดาย ไม่มีใครรู้ว่าทำอย่างไร มีคนทำวัตถุดิบขึ้นมาได้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะมีวัตถุดิบอย่างหนึ่งที่ถูกหลิวหลีทำลายไป”
“ถึงระเบิดเพลิงอัสนีจะมีพลังทำลายล้างสูง แต่หลิวหลีรู้สึกว่ามันเป็นของฝืนธรรมชาติ ดังนั้นนางก็เลยตัดสินใจไม่บอกวิธีในการทำระเบิดเพลิงอัสนี”
“พวกเจ้าทนดูต่อได้หรือไม่ นี่เป็นวิบากอัสนีบาตครั้งที่ 40 แล้ว หลังจากนี้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น”
ในขณะรับวิบากอัสนีบาต หลิวหลีก็ยังคงทำสีหน้าบึ้งตึง หนานกงเวิ่นเทียนทำสีหน้าเย็นชา อสูรเทพทั้งสามตัวก็ยังดีหน่อย แต่ดูเหมือนมีแววว่าจะกลับคืนสู่ร่างเดิม
ในที่สุดหลังจากวิบากอัสนีบาตครั้งที่ 60 ผ่านไป จื่อฉีกรีดร้อง แล้วกลับไปเป็นราชากิเลนม่วง ต่อจากนั้น เฟิ่งอิงเสวี่ยก็กลายเป็นหงส์เหมันต์ เอ๋าเลี่ยทนอีกสามครั้ง ก็เปลี่ยนไปเป็นมังกรโลหิต และใช้ร่างเดิมในการรับวิบากอัสนีบาต
วิบากอัสนีบาตครั้งที่ 70 หนานกงเวิ่นเทียนหยิบลูกกลมๆสีดำออกมา มีคนสายตาแหลมคมจำได้ว่าคือระเบิดเพลิงอัสนี หลงหลิวหลีเป็นปีศาจที่บ้าปกป้องสามีจริง ๆ
วิบากอัสนีบาตครั้งที่ 78 หลิวหลีปล่อยเพลิงอัคคีดวงแรกออกมา พอถึงครั้งที่ 80 ก็ปล่อยเพลิงอัคคี 5 ดวงออกมา
เมฆกำลังเตรียมจะปล่อยวิบากอัสนีบาตครั้งสุดท้ายลงมา ร่างเดิมของอสูรเทพทั้งสามตัวบาดเจ็บไม่น้อย หลิวหลีมอบยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 9 ให้อสูรเทพทั้งสามตัวใช้ หนานกงเวิ่นเทียนก็กินไปจำนวนหนึ่ง ผู้ชมที่ดูอยู่ต่างพากันรู้สึกอิจฉา นั่นคือยาศักดิ์สิทธิ์ระดับ 9 เชียวนะ
ในที่สุดวิบากอัสนีบาตครั้งสุดท้ายก็ฟาดลงมา แสงสว่างสาดส่องใส่ผู้ชมรอบๆ หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก หลิวหลีใช้เพลิงอัคคี 3 ดวงสร้างโล่เพลิงให้กับอสูรเทพทั้งสอง หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน เขาใช้เพลิงบุปผาเหมันต์ในตัวเขาทำเป็นโล่เพลิง ตัวเองก็โยนกระดานค่ายกลออกมาด้วย แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจากวิบากอัสนีบาตอยู่ดี
หลังจากวิบากอัสนีบาตผ่านไป เมฆครึ้มสลายหายไป เสียงสวรรค์ดังขึ้น แสงสว่างสาดส่องไปทั่ว มนุษย์สองคนกับอสูรสามตัวถูกแสงปกคลุม ร่างกายฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนลืมตาขึ้น รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งร่างกาย อสูรเทพทั้งสามตัวก็กลายร่างกลับมาเป็นคน
“ทุกคนรักษาตัวด้วย ไว้เจอกันที่โลกเซียน” หลิวหลีกล่าว
ท่ามกลางแสงจากฟ้า หลิวหลียกเลิกพันธสัญญากับเอ๋าเลี่ยและจื่อฉีตามสัญชาตญาณ หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน