ณ ในโลกเซียน สระบรรลุเซียน หลายแสนปีมาแล้วที่ไม่มีผู้ที่บรรลุเป็นเซียน วันนี้สระบรรลุเซียนทั้ง 3 แห่งครื้นเครงเป็นอย่างมากจนตกเป็นจุดสนใจของคนจำนวนไม่น้อย
ครั้งนี้ซือเหลียงเป็นผู้ต้อนรับของวังนภาเพลิง ณ ดินแดนนภาเพลิง พวกเขารอมาหลายแสนปี ในที่สุดก็มีคนบรรลุเป็นเซียนแล้ว ดีจริงๆ ตนเองจะได้กลับไปรายงานเสียที
อยู่ๆสระบรรลุเซียนก็เกิดคลื่นกระเพื่อม ก็ปรากฏหญิงสาวในชุดแต่งงานสีแดง บนตัวมีแสงแห่งบารมีเปล่งประกายออกมา
“หญิงสาวผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตาอย่างแน่นอน มีแสงแห่งบารมีที่เปล่งประกายเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการแน่ ครั้งนี้กลับไป คงจะไม่ใช่แค่รายงาน แต่คิดว่าคงได้รางวัลอย่างงามด้วย” ซือเหลียงพูดอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นแสงแห่งบารมีที่เปล่งประกายบนตัวของหลิวหลี
ใช่แล้ว หญิงสาวผู้นี้ก็คือหลิวหลี นางบรรลุเป็นเซียนแล้ว ตอนนี้กำลังแช่อยู่ในสระบรรลุเซียนเพื่อเปลี่ยนพลังในร่างกายให้กลายเป็นพลังเซียน อาจเพราะพลังของนางค่อนข้างมากทำให้ใช้เวลามากกว่าคนทั่วไปที่บรรลุเซียนถึงสามเท่า กว่าจะออกมาจากสระบรรลุเซียน ปริมาณน้ำในสระบรรลุเซียนก็ลดลงไป 1 ใน 3 หากเวลาไม่ถึงหมื่นปีก็คงยากจะฟื้นฟูกลับมา ถึงแม้หลิวหลีจะยังไม่ได้ลืมตาขึ้น แต่บนหน้าผากก็ปรากฏแสงสีทองขึ้น ซือเหลียงตกใจ เพิ่งจะบรรลุเป็นเซียน พลังบำเพ็ญก็อยู่ขั้นเซียนสุขาวดี นางต้องได้เป็นเจ้าตำหนักแน่นอน ดีจริงๆครั้งนี้เขามีผลงานชิ้นใหญ่แล้ว
ณ สระบรรลุเซียนอีกฟาก ปิงอวี้มองดูชายหนุ่มในชุดแดงที่ดูดน้ำในสระบรรลุเซียนอย่างต่อเนื่อง ดีจริงๆครั้งนี้นางจะได้ผลงานชิ้นใหญ่แล้ว บนตัวชายหนุ่มคนนี้มีแสงแห่งบารมีด้วย และพลังบำเพ็ญเพียรก็ไม่เลว ซึ่งคนผู้นี้ก็คือหนานกงเวิ่นเทียน ออกจากสระบรรลุเซียนแล้ว พลังบำเพ็ญเพียรก็อยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภา บนหน้าผากปรากฏสัญลักษณ์สีทอง นี่.. ปิงอวี้ประหลาดใจเล็กน้อย คนผู้นี้มีคุณสมบัติเป็นเจ้าตำหนัก
ณ ดินแดนอสูรเทพ เหล่าอสูรเทพมองดูอสูรตัวน้อยทั้งสามตัวด้วยความเอ็นดู ใช่แล้ว ก็คืออสูรตัวน้อย เอ๋าเลี่ย อิงเสวี่ยกลับไปอยู่ในวัยเด็ก แต่จื่อฉีนั้นหนักกว่า เขากลับไปอยู่ในวัยทารก เป็นเด็กดีกันจริงๆ
เมื่อหลิวหลีลืมตาขึ้นก็พบว่าหนานกงเวิ่นเทียนที่ตนเองจับมือไว้แน่นหายไป สีหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก ขนาดจับมือไว้ก็ยังต้องแยกออกจากกัน จะให้ใช้ชีวิตแต่งงานอย่างมีความสุขไม่ได้เลยใช่ไหม
“ศิษย์น้องผู้นี้ ข้าคือศิษย์ของจักรพรรดินภาเพลิงแห่งดินแดนนภาเพลิง ศิษย์น้องมีคุณสมบัติโดดเด่น เจ้าตามข้ากลับไปที่วังนภาเพลิง ไปเป็นเจ้าตำหนักได้หรือไม่” ซือเหลียงเห็นว่าศิษย์น้องผู้นี้ฟื้นขึ้นมาแล้ว จึงพูดขึ้นด้วยท่าทีนอบน้อม
“ดินแดนนภาเพลิง ที่นี่ยังมีดินแดนอื่นอีกงั้นหรือ” หลิวหลีกล่าวถามขึ้น
“มี สุวรรณ พฤกษา ธารา เพลิง พสุธา ดินแดนนภามาร ดินแดนอสูรเทพ แล้วก็ยังมีดินแดนรกร้างอีกแห่งหนึ่ง ดินแดนรกร้างเป็นดินแดนที่ไว้เนรเทศคนที่ทำความผิดจากดินแดนต่าง ๆ” ซือเหลียงอธิบายด้วยความอดทน
“แบ่งตามแกนวิญญาณที่ใช้บำเพ็ญเพียรใช่หรือไม่” หลิวหลีลองคิดตามดู
“ใช่แล้ว ศิษย์น้องน่าจะเป็นแกนวิญญาณอัคคี”
“อืม รบกวนศิษย์พี่ช่วยบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าดินแดนนภาธาราไปอย่างไร” หลิวหลีถามขึ้นอย่างมีมารยาท
“ดินแดนนภาธารา เจ้าจะไปดินแดนนภาธาราหรือ?” ซือเหลียงทำหน้าแปลกๆขึ้นในทันที
“เจ้าค่ะ” สามีของนางเป็นแกนวิญญาณเหมันต์ แน่นอนว่าจะต้องอยู่ที่ดินแดนนภาธาราแน่
“ศิษย์น้อง เจ้าอาจจะยังเพิ่งมา จึงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ตอนนี้ถึงดินแดนต่างๆพอมองหน้ากันติด แต่ไม่ได้มีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดินแดนนภาเพลิงกับดินแดนนภาธาราก็มองหน้ากันไม่ติด ในใจยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากสนทนากันทั่วไปแล้ว ก็ห้ามให้มีการไปมาหาสู่กันระหว่างดินแดน แล้วศิษย์น้องจะไปดินแดนนภาธาราเพื่อตามหาคน หรือว่าเจ้ามีครอบครัวอยู่ที่นั่น” ซือเหลียงอธิบายอย่างใจเย็น
“เรียกข้าว่าหลิวหลีเถอะ ความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนนภาธารากับดินแดนนภาเพลิงไม่ดีหรือ” ข่าวที่ได้ยินทำให้นางรู้สึกกังวลใจอย่างมาก
“ไม่ถูกกันราวกับน้ำกับไฟ”
ส่วนฟากหนานกงเวิ่นเทียนที่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ดินแดนนภาธารา และยิ่งเย็นชามากขึ้นเมื่อพบว่ามือที่จับหลิวหลีอยู่ถูกแยกออก ทำให้ปิงอวี้ที่ฝึกเคล็ดวิชาเหมันต์ยังรู้สึกหนาวเหน็บ
“ดังนั้น ศิษย์น้อง เจ้ากลับไปที่ตำหนักนภาธารากับข้าก่อนดีกว่า ด้วยคุณสมบัติของเจ้า ต้องได้เป็นเจ้าตำหนักแน่นอน” ปิงอวี้กล่าวเตือนศิษย์น้องที่เย็นชา รู้สึกกดดันมากจริง ๆ
อสูรเทพทั้งสามตัวฟื้นขึ้นมาพบว่าตนเองกลับไปเป็นเด็กก็รู้สึกปวดใจ จะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรจึงจะโต สระบรรลุเซียนมีประสิทธิภาพทำให้กลับไปเป็นเด็กหรือ
“เด็กน้อยทั้งสามตัว ไม่ต้องเป็นห่วง ปู่ทวดกับย่าทวดจะดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างดี หลายแสนปีแล้วที่ดินแดนอสูรเทพของข้าไม่มีอสูรตัวน้อยบรรลุเป็นเซียน แม้แต่ที่กำเนิดขึ้นใหม่ก็ไม่มี พอมีทีเดียว 3 ตัว มีความสุขมากจริงๆ”
พวกอสูรทั้งสามตัวรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองต้องมีแต่ความวุ่นวายแน่นอน ไม่รู้ว่านังหนูกับเจ้าหนุ่มนั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง
“ศิษย์น้อง ทำไมเจ้าถึงต้องไปดินแดนภาธารา” ซือเหลียงไม่รู้จะพูดอะไรเมื่อมองใบหน้าบึ้งตึงของศิษย์น้องที่เข้ามาใหม่
“สามีของข้าอยู่ที่ดินแดนนภาธารา ข้าควรจะตามไปอยู่กับสามีของข้าที่ดินแดนนภาธาราไม่ใช่หรือ” หลิวหลีพูดจามีเหตุผล สามีของข้าเป็นคนในดินแดนนภาธารา ข้าควรจะตามสามีของข้าไป ดูเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลขนาดไหน ไม่เห็นหรืออย่างไรว่านางยังไม่ชุดแต่งงานของนางด้วยซ้ำ
“ศิษย์น้อง ดูเหมือนว่าจุดพรหมจรรย์ของเจ้ายังอยู่” ซือเหลียงพบว่าเมื่อตัวเองพูดจบ หลิวหลีมีสีหน้าบึ้งตึงหนักกว่าเดิม โดยเฉพาะชุดแดงที่อยู่บนตัวของนาง ดูเหมือนจะเป็นชุดแต่งงาน ศิษย์น้องผู้นี้คงจะไม่ได้โชคร้ายถึงขนาดว่าเพิ่งจะแต่งงานก็จะต้องเข้ารับวิบากอัสนีบาตเลยใช่หรือไม่ ชุดแต่งงานยังไม่ทันได้เปลี่ยน ก็บรรลุเป็นเซียนแล้ว เขาพูดไม่ออกเลยจริงๆจะพูดว่าโชคร้ายหรือ ช่างเถอะ สีหน้าของศิษย์น้องบึ้งตึงมากกว่าเดิม
“ใช่ ต้องไปรับวิบากอัสนีบาตตอนกำลังจะเข้าหอ ศิษย์พี่นำทางเถอะ ข้าจะไปวังนภาเพลิง” หลิวหลีพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึง ไปหาเสี่ยวเทียนก็ไม่ได้ ต้องเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรก่อนน่าจะดีที่สุด
“ศิษย์น้อง ทางด้านนี้” ในที่สุดก็คิดได้แล้ว ดีจริง ๆ
“ศิษย์พี่ ฮูหยินของข้าอยู่ที่ดินแดนนภาเพลิง ข้าจะไปหานาง” กว่าจะได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่าย แค่บรรลุเป็นเซียน ก็ต้องแยกจากกันอีกแล้ว การจะอยู่ด้วยกันทำไมจึงยากเย็นถึงเพียงนี้
“ศิษย์น้อง จุดพรหมจรรย์ของเจ้ายังอยู่ เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้ามีฮูหยินแล้ว” ปิงอวี้ถามขึ้นด้วยความสงสัยแล้วก็เห็นสีหน้าที่เย็นชากว่าเดิมของหนานกงเวิ่นเทียน ช้าก่อนชุดแดงทั้งตัวเหมือนจะเป็นชุดมงคล ศิษย์น้องผู้นี้คงจะไม่ได้โชคร้ายถึงขนาดว่าเพิ่งจะแต่งงานยังไม่ได้เข้าห้องหอ ก็ต้องรับวิบากอัสนีบาตบรรลุเป็นเซียนเลยใช่ไหม เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ปิงอวี้ก็รู้สึกสงสารศิษย์น้องผู้โชคร้ายของตัวเองขึ้นมาจับใจ
“อืม กำลังเตรียมจะเข้าหอ ก็ต้องรับวิบากอัสนีบาต ศิษย์พี่พาข้าไปที่วังนภาธาราเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนสูดหายใจเข้าลึก คงทำได้เพียงเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรก่อน แล้วค่อยไปหาหลิวหลี ฮูหยินของข้า หลิวหลี เจ้าจะต้องรอข้าก่อนนะ
ทั้งสองคนเอาแต่คิดถึงกันและกัน จนลืมการมีอยู่ของสกุลไปเสียสนิท
ณ วังนภาเพลิง ซือเหลียงนำทางศิษย์น้องที่แผ่รังสีอำมหิตออกมาตลอดทางอย่างระมัดระวัง ทั้งๆที่มีใบหน้าชวนให้ใจสั่น แต่กลับเย็นชาจนทำให้คนไม่อาจเข้าใกล้ ศิษย์น้องผู้นี้เป็นคนที่ศัตรูส่งตัวมาใช่หรือไม่
“ศิษย์น้องที่นี่” ซือเหลียงชี้ไปที่วังแห่งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“ท่านผู้อาวุโสชิว”
“ซือเหลียงนี่เอง ถึงตาของเจ้าเฝ้าสระบรรลุเซียนแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมจึงได้กลับมาเร็วเช่นนี้ แล้ว คนข้างๆเจ้าคือ” ผู้อาวุโสชิวมองหลิวหลีที่ใบหน้าเย็นชา
“ท่านผู้อาวุโสชิว วังนภาเพลิงของข้ามีเรื่องที่น่ายินดี ศิษย์น้องผู้นี้มีนามว่าหลิวหลี นางเพิ่งจะบรรลุเป็นเซียน ท่านผู้อาวุโสชิว ท่านลองดูที่หน้าผากของนางสิ” ซือเหลียงเจอผู้อาวุโสชิวสีหน้าก็กลับเป็นปกติ
“เซียนสุขาวดีเพิ่งจะบรรลุเป็นเซียน บนตัวยังมีกลิ่นอายของสระบรรลุเซียน ดีเหลือเกิน” ผู้อาวุโสชิวก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นเดียวกัน มือทั้งสองข้างทำท่าทางซับซ้อน แล้วก็มียันต์เซียนลอยออกไป
เพียงไม่นาน ผู้อาวุโสชิวก็ได้รับการตอบกลับ
“หลิวหลีใช่ไหม เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น ยินดีจะมาเป็นเจ้าตำหนักคนที่ 9 ของวังนภาเพลิงหรือไม่” ผู้อาวุโสชิวทำสีหน้าเช่นนั้น
“เจ้าตำหนัก?” นี่คือชื่อเรียกอะไร
“เจ้าตำหนักหลิวหลี กรุณาตามข้ามา ข้าจะเดินไปแล้วก็อธิบายรายละเอียดให้ท่านฟังไปด้วย” ผู้อาวุโสชิวทำท่าทีนอบน้อม พอบรรลุเซียนก็ข้ามขั้นขึ้นไปไกล นางต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นของโลกเซียนในอนาคตแน่นอน
“วังนภาเพลิงของข้ามีจักรพรรดิหนึ่งองค์ มีผู้อาวุโส 10 ท่าน มีเจ้าตำหนัก 10 คน ล้วนแต่เป็นผู้ถูกเลือกทั้งนั้น” ผู้อาวุโสชิวหยุดไปครู่หนึ่ง
“ตอนนี้มีเจ้าตำหนักอยู่ 8 ท่าน ตอนนี้ก็จะมี 9 ท่านแล้ว” ผู้อาวุโสชิวพูดพลางมองหลิวหลี เพียงแต่ทำไมเจ้าตำหนักท่านนี้จึงได้มีสีหน้าเย็นชาเสมอ
“ที่นี่ก็คือตำหนักของท่าน เชิญตั้งชื่อ” ผู้อาวุโสชิวกล่าว
หลิวหลีปัดมือหนึ่งครั้ง ตำหนักเวิ่นเทียนก็ปรากฏขึ้นบนแผ่นป้ายชื่อตำหนัก
“ตำหนักเวิ่นเทียน ชื่อไม่เลว” มือของผู้อาวุโสชิวไม่นิ่งเฉย แผ่นป้ายโบราณแผ่นหนึ่งปรากฏคำว่าตำหนักเวิ่นเทียน
“นายท่านเก็บไว้ให้ดี นี่คือแผ่นป้ายหลักของตำหนักเวิ่นเทียน ต่อไปหากท่านเจอคนถูกใจ สามารถรับมาเป็นทหารสวรรค์ส่วนตัวได้ นอกจากนี้แผ่นป้ายน้อยๆ 3 แผ่นนี้ สามารถรับขุนนางเซียนเพื่อช่วยท่านดูแลตำหนักได้”
ส่วนฟากหนานกงเวิ่นเทียนที่ปิงอวี้พากลับไปก็ได้รับการต้อนรับแบบเดียวกัน เพียงแต่มีบางอย่างที่แตกต่างกันเล็กน้อย วังนภาธารามีเจ้าตำหนักที่เป็นผู้หญิง 9 คน หนานกงเวิ่นเทียนเป็นเจ้าตำหนักที่เป็นผู้ชายคนแรกในรอบร้อยปี ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี หนานกงเวิ่นเทียนตั้งชื่อตำหนักว่า ตำหนักหลิวหลี
จนสุดท้ายเมื่อทั้งสองพบกัน ทุกคนจึงเข้าใจว่า ทั้งสองคนใช้ชื่อฝ่ายตรงข้ามในการตั้งชื่อ
ส่วนฟากผู้อาวุโสชิวก็ยังพาหลิวหลีเยี่ยมชมตำหนักเวิ่นเทียน แนะนำทุกสิ่งภายในตำหนักโดยละเอียด คนภายในวังนภาเพลิงได้ยินว่ามีเจ้าตำหนักคนที่ 9 จึงพากันสงสัยและมาแอบดู ส่วนวังนภาธาราครึกครื้นกว่า เพราะอย่างไรเสียเขาเป็นเจ้าตำแหน่งคนแรกที่เป็นผู้ชาย เซียนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทันได้เห็นเขาก็แอบชอบเขาแล้ว ส่วนในดินแดนอสูรเทพ อสูรเทพทั้งสามตัวได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ถูกอสูรเทพทุกตัวใช้ลิ้นเลียหน้าไปตัวละหนึ่งรอบ
จนผู้อาวุโสชิวกลับไป หลิวหลีที่นั่งอยู่ในตำหนักเวิ่นเทียนอย่างเงียบเหงา หนานกงเวิ่นเทียนก็เช่นกัน เฮ้อ นังหนู พวกเราจะได้เจอกันเมื่อไหร่ แต่หลิวหลีคิดมากกว่านั้น ไม่รู้ว่าความบริสุทธิ์ของเสี่ยวเทียนจะสามารถรักษาไว้ได้ไหม
หลิวหลีถอนหายใจเสร็จก็เตรียมตัว รับคนมาก่อนก็แล้วกัน