ส่วนที่ 11 ลอยนวล ตอนที่ 7 ลอยนวล (7)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

“ผมเป็นแค่นักสืบคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ผมยังไม่มีหลักฐานอะไรที่สามารถยืนยันได้ว่าการตายของสวีจื่อหมิงเป็นการฆาตกรรมหรือเปล่า” เมื่อต้องมาเผชิญกับสีหน้าตื่นเต้นของซูหว่าน น้ำเสียงของเซี่ยวจินสงบมากขึ้น “แน่นอนว่าผมไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของทางตำรวจที่ว่าเขาตายด้วยอุบัติเหตุ” 

 

 

นี่มันหมายความว่ายังไง? 

 

 

ซูหว่านรีบเก็บของให้เสร็จแล้วถือเอาไว้ในมือ “คุณหมายความว่า คุณคิดว่าจื่อหมิงถูกลอบฆ่า แต่คุณยังหาหลักฐานอะไรไม่ได้เลย ใช่ไหมคะ?” 

 

 

เซี่ยวจินยักไหล่เบา ๆ “ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ เถ้าแก่สวีมั่นใจว่าลูกชายของตัวเองจะต้องถูกลอบฆ่าอย่างแน่นอน เพราะว่า…เฮ้อ เรื่องส่วนตัวบางอย่างของลูกค้าก็ไม่สามารถนำมาพูดได้ ต่อให้ครึ่งปีมานี้ผมจะไม่ได้หลักฐานข้อมูลอะไรเลย แต่ผมก็จะได้รับค่าจ้างจากตระกูลสวีตามกำหนดเสมอ อื้ม เงินพวกนี้เพียงพอที่จะให้ผมดำเนินการสำนักงานนักสืบของผมต่อไปได้ มันทำให้ผมบอกลาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผมเกลียดได้” 

 

 

ซูหว่าน “เหอะ ๆ” 

 

 

เมื่อเห็นซูหว่านมองตัวเองด้วยสีหน้าสงสัย เซี่ยวจินจึงยื่นมือไปรับข้าวของในมือของซูหว่านมาถือไว้เอง “ดูเหมือนว่าคุณจะสงสัยในความสามารถการทำคดีของผมอยู่นะครับ? สิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณก็คือ ฝานเคอเขาก็เคยพ่ายแพ้ให้ผมมาก่อน ตอนที่ผมยังอยู่ในทีมตำรวจ ผมนี่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักสืบเทวดาเชียวนะครับ” 

 

 

“งั้นหรอ? ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามคุณได้ไหมคะว่าทำไมถึงถูกไล่ออก?” 

 

 

เมื่อได้ฟังที่เซี่ยวจินพูดแล้ว ซูหว่านก็อดที่จะถามกลับไปไม่ได้ 

 

 

“เอ่อ…” 

 

 

สีหน้าของเซี่ยวจินมีความลำบากใจเล็กน้อย “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมถูกไล่ออก?” 

 

 

“ในนิยายสืบสวนสอบสวน นักสืบส่วนใหญ่ก็ถูกไล่ออกมากันทั้งนั้นแหละ” 

 

 

ซูหว่านทำท่ายักไหล่แบบไม่รู้เรื่องรู้ราว 

 

 

ให้ตายเหอะ ศิลปะนี่มันมีต้นตอมาจากชีวิตจริงสินะ 

 

 

เซี่ยวจินยิ้มแกน ๆ “ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่…เคยกักขังผู้ต้องสงสัยแบบผิดกฏหมาย อื้ม ยังเคยบุกรุกเข้าที่พักอาศัยของประชาชน แถมยัง…” 

 

 

“เอาล่ะ พอแล้วค่ะ” 

 

 

ซูหว่านมองหน้าเซี่ยวจินด้วยความหวาดระแวง “ถ้าอย่างนั้น วันนั้นที่โรงพยาบาลคนที่จับจ้องฉันก็คือคุณ? แล้วก็เป็นคุณที่ทำลายแผงวงจรไฟฟ้าของโรงพยาบาลด้วยใช่ไหมคะ?” 

 

 

สำหรับนักสืบที่ไม่มีลิมิตบางคนแล้ว เรื่องพวกนี้ก็เป็นแค่เรื่องจิ๊บ ๆ ไม่ใช่หรือไง? 

 

 

“ไม่จริงครับ จะเป็นไปได้ยังไง ผมไม่ได้เป็นคนทำ” 

 

 

เซี่ยวจินมองไปที่ซูหว่านอย่างจริงจัง ใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้นมองดูแล้วน่าเชื่อถือมาก แต่น่าเสียดาย ซูหว่านที่มองเห็นธาตุแท้ของนักสืบอย่างเขาเข้าให้แล้ว ไม่มีทางเชื่อถือลมปากของเขาอีกเป็นอันขาด 

 

 

“โอเค จะเป็นคุณหรือไม่ก็ช่างเถอะ ฉันถึงบ้านแล้ว คุณไม่ต้องไปส่งแล้วล่ะ” 

 

 

เดินมาถึงคอนโด ซูหว่านก็แย่งของที่อยู่ในมือของเซี่ยวจินมาถือไว้เองทั้งหมด 

 

 

“เอ่อ คือ …คุณจะไม่เชิญผมขึ้นไปนั่งข้างบนหน่อยหรอครับ?” 

 

 

เซี่ยวจินส่งยิ้มให้ซูหว่านเต็มใบหน้า 

 

 

“ฉันขอปฏิเสธค่ะ” 

 

 

พูดเพียงเท่านี้ ซูหว่านก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปอย่างไม่ลังเล 

 

 

เฮ้อ 

 

 

ค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วง ลมเย็นพัดมาเบา ๆ เซี่ยวจินยืนมองดูร่างของซูหว่านเดินหายลับไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าต่างห้องของเธอที่มีแสงไฟส่องสว่างขึ้น เขายิ้มแล้วส่ายหัวไปมา ในขณะที่หมุนตัวเดินออกมา เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือสีดำของตัวเองออกมากดส่งข้อความไปให้ซูหว่าน หลังจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องที่เอาไว้ใช้สำหรับทำงานออกมาและต่อสายตรงหาฝานเคอ 

 

 

“ตอนนี้ฉันยุ่งมาก มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา” 

 

 

น้ำเสียงของฝานเคอดูรีบร้อนมาก 

 

 

“ช่วยฉันตรวจสอบรถยนต์คันหนึ่งหน่อย” 

 

 

เซี่ยวจินแจ้งหมายเลขทะเบียนรถยนต์ให้กับฝานเคอไป ก่อนที่จะกดวางสายเขาใช้น้ำเสียงเนิบช้าพูดไปอีกประโยคหนึ่ง “เมื่อกี้นี้ ซย่าอวี่ซานเกือบจะถูกรถชนอีกแล้ว” 

 

 

“อะไรนะ? มันเกิดขึ้นได้ยังไง? ที่ไหน…? ” 

 

 

“ตู๊ด…ตู๊ด…” 

 

 

ยังไม่ทันที่ฝานเคอจะถามจบ เซี่ยวจินก็กดตัดสายไปเสียก่อน ให้ตายเถอะ ใครใช้ให้นายพูดจาไม่ดีกับฉัน อย่างนี้ฉันคงช่วยนายไม่ได้แล้วล่ะ 

 

 

สำนักงานตำรวจ — 

 

 

“ให้ตายเหอะ! เซี่ยวจินนายแน่มาก!” 

 

 

ฝานเคอเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างแรง จากนั้นก็รีบเร่งลุกขึ้นยืน “เสี่ยวจาง มานี่หน่อย รีบติดต่อไปที่ทีมจราจรเดี๋ยวนี้ ให้เขาช่วยดึงข้อมูลของรถยนต์คันนี้มาให้ผมหน่อย ผมต้องการข้อมูลของเจ้าของรถคันนี้ทั้งหมด ด่วน!” 

 

 

“รับทราบ” 

 

 

เสี่ยวจางที่อยู่ด้านข้างรีบรับเลขทะเบียนรถยนต์คันนั้นมาจากมือของฝานเคอและรีบเร่งไปติดต่อทีมจราจรในทันที… 

 

 

เมืองฝ่านจิ่นเทียน คอนโดชั้น 12  

 

 

ซูหว่านกลับมาถึงคอนโดก็จัดการจัดของเข้าตู้เย็น จากนั้นก็กลับมาที่ห้องรับแขก เธอเดินไปยืนมองที่บานหน้าต่างอยู่ชั่วครู่ ก่อนจัดการดึงม่านมาปิดอย่างไม่ลังเล 

 

 

ใช้ให้นายแอบดูเนี่ย ตาบ้าชอบแอบดูคนอื่น 

 

 

เซี่ยวจิน “…” 

 

 

นั่นมันก็เป็นเพราะงานของเขาไง! 

 

 

เธอดึงม่านปิดเรียบร้อยเพื่อจะไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองถูกคนจับตามองอีกต่อไป ซูหว่านถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอก เธอรีบหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องนอน หยิบอัลบั้มรูปที่ตัวเองดูเมื่อตอนกลางวันออกมา เธอรีบเปิดดูรูปภาพในอัลบัมอย่างรวดเร็ว กระทั่งเปิดมาถึงรูปภาพใบหนึ่ง ซูหว่านก็หยุดชะงักลงทันที เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้ววางโทรศัพท์มือถือเอาไว้ข้าง ๆ รูปถ่ายใบนั้น 

 

 

นี่เป็นรูปถ่ายเซลล์ฟี่ที่ถ่ายริมทะเล ซย่าอวี่ซานส่งยิ้มให้กล้องอย่างร่าเริง และสวีจื่อหมิงที่กำลังยืนหันหลังให้กับเธอ เขามองไปยังท้องทะเลที่อยู่เบื้องหน้า 

 

 

แผ่นหลัง นี่คือแผ่นหลังของสวีจื่อหมิง และก็เป็นภาพแผ่นหลังใบเดียวของสวีจื่อหมิงที่มีอยู่ในอัลบัมภาพถ่ายนี้ 

 

 

ซูหว่านมองดูรูปถ่ายใบนั้นอยู่นานมาก ในที่สุดเธอก็ย้ายสายตาของตัวเองไปดูที่โทรศัพท์มือถือ บนหน้าจอของโทรศัพท์มือถือก็เป็นภาพแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่ง แต่ว่า… 

 

 

ไม่ใช่สวีจื่อหมิง! 

 

 

แผ่นหลังอันนั้น… 

 

 

ซูหว่านหลับตาลง นึกถึงภาพเงาร่างที่เธอเพิ่งเห็นเพียงแค่แวบเดียวตรงมุมถนน 

 

 

ภาพแผ่นหลังนั้นค่อย ๆ ซ้อนทับเข้ากับภาพแผ่นหลังของชายหนุ่มที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอ สุดท้ายแล้ว มันแมตช์กันได้พอดีมาก! 

 

 

ถ้าหากว่าวันนั้นคนที่จับตามองตัวเองที่โรงพยาบาลคือเซี่ยวจิน ถ้าอย่างนั้นแล้วคนที่หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเธอไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตล่ะ คนนั้นคือใครกัน? 

 

 

เขากับซย่าอวี่ซาน มีความสัมพันธ์อย่างไรกัน? 

 

 

เขามีส่วนกับการตายของสวีจื่อหมิงหรือไม่? 

 

 

ซูหว่านจ้องเขม็งไปที่โทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น ในตอนนั้นเอง สายเรียกเข้าจากหมายเลขโทรศัพท์ * ในมือถือก็ดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง 

 

 

ใช่…เขาหรือเปล่า? 

 

 

ซูหว่านรีบกดรับสายอย่างรวดเร็ว 

 

 

เหมือนกับครั้งที่แล้ว ปลายสายมีเสียงลมหายใจที่หนักหน่วง หายใจเข้าหายใจออก ถี่เร็วและตื่นเต้น 

 

 

“ใช่คุณหรือเปล่า?” 

 

 

ซูหว่านพยายามปรับน้ำเสียงของตัวเองให้ฟังดูเคร่งขรึมมากที่สุด 

 

 

ได้ยินเสียงลมหายใจสะดุดไปจากปลายสาย 

 

 

“ตุ๊ดตุ๊ดตุ๊ด” 

 

 

สายถูกตัดไปอย่างอย่างไร้เยื่อใยอีกครั้ง 

 

 

เป็นเขา 

 

 

ครั้งนี้ซูหว่านแน่ใจแล้วว่าจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน ผู้ชายที่อยู่ปลายสายจะต้องเป็นเจ้าของเงาร่างที่เธอเห็นในคืนนี้อย่างแน่นอน และเขาก็คือ…ผู้ชายที่อยู่ในหน้าจอโทรศัพท์มือถือของซย่าอวี่ซาน 

 

 

โลกใบนี้ยิ่งอยู่ยิ่งน่าสนุกขึ้นมาแล้วสิ 

 

 

มือของซูหว่านค่อย ๆ ลูบไปที่ใบหน้าของซย่าอวี่ซานในภาพถ่าย อันที่จริงแล้ว เธอเองก็เป็นคนที่มีความลับเหมือนกันนะเนี่ย 

 

 

บนโลกใบนี้ ทุกคนต่างก็มีความหลังที่ไม่ค่อยสวยงามเท่าไรนัก และแน่นอน ทุกคนต่างก็มีความลับที่ไม่อยากให้คนอื่นได้รับรู้… 

 

 

เป็นคืนที่สามแล้วที่ซูหว่านมาถึงยังโลกใบนี้ เธอนอนหลับสนิทได้อย่างไม่น่าเชื่อ 

 

 

นอนหลับสนิทจนถึงตอนเช้า เมื่อซูหว่านลืมตาตื่นขึ้นมา เธอรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งเนื้อทั้งตัว เธอกวาดมือควานหาโทรศัพท์ไปทั่วอย่างสลึมสลือ ปรากฏว่ามือของเธอไปแตะเข้ากับแก้วน้ำที่วางอยู่ 

 

 

ความง่วงงุนของซูหว่านหายไปในทันที เธอเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จ้องมองไปยังแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างหัวเตียงอย่างไม่ละสายตา ในแก้วใบนั้นบรรจุน้ำต้มสุกเอาไว้ 

 

 

เมื่อคืนนี้ก่อนจะเข้านอน เธอวางโทรศัพท์มือถือเอาไว้ตรงนี้อย่างแน่นอน 

 

 

ทำไมถึง… 

 

 

ซูหว่านดึงมือของตัวเองกลับมา ไม่กล้าที่จะแตะต้องแก้วใบนั้น 

 

 

แล้วโทรศัพท์มือถือล่ะ? 

 

 

เธอลองค้นหาโทรศัพท์มือถือในห้องนอนของตัวเอง มันจะหายไปได้ยังไงกัน? หรือว่ามันมีขาเดินหายออกไปเองได้หรือไง? 

 

 

ซูหว่านวิ่งไปที่ห้องรับแขกทั้งชุดนอน เธอรีบเปิดม่านออก จากนั้นก็โบกมือไปมาอย่างสุดแรงอยู่ตรงบานหน้าต่าง 

 

 

เพียงไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้อง 

 

 

“ซย่าอวี่ซานเปิดประตูเดี๋ยวนี้ ผมเซี่ยวจินเอง!” 

 

 

ขอบคุณสวรรค์ คุณพระเอกมักจะมาไวกว่าตำรวจเสมอสินะ จุดนี้น่ากดไลค์ให้ 32 ไลค์เลย 

 

 

ซูหว่านวิ่งเท้าเปล่าไปเปิดประตูอย่างรีบร้อน “เซี่ยวจิน เร็วเข้า รีบเข้าไปที่ห้องนอนของฉันเร็ว แก้วน้ำใบนั้น แก้วน้ำใบนั้น…” 

 

 

เซี่ยวจินเห็นว่าตอนนี้จิตใจของซูหว่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เขาจึงวางมือลงบนไหล่ของซูหว่านอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็รีบเร่งเดินเข้าไปในห้องนอนของซูหว่าน มองเห็นแก้วน้ำที่ตั้งอยู่บนตู้ข้างหัวเตียง เซี่ยวจินก็รีบหยิบถุงมือสีขาวในกระเป๋าเสื้อออกมาทันที หลังจากที่สวมถุงมือเรียบร้อยแล้ว เขาก็ค่อย ๆ เดินที่ไปที่เตียงนอนและหยิบแก้วใบนั้นขึ้นมาลองดมดู ไม่มีกลิ่นอะไรผิดสังเกต 

 

 

แต่ว่าสัญชาตญาณการเป็นนักสืบของเขาบอกเขาว่า แก้วใบนี้ผิดปกติ ผิดปกติอย่างมากเลยล่ะ