บทที่ 254 แสงอรุณ

เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยฉิงเชินที่พูดถึงเฉินเฉียงนี้ทำให้หัวใจของฮั่นจุยราวกับถูกหินทุบ พร้อมกับใบหน้าที่คิดไปไกล

“เว่ยฉิงเชิน ตัวเจ้าเป็นถึงอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์ที่ร้อยปีจะมีสักคนเดียว”

“แล้วคนเช่นเจ้ากลับยอมละทิ้งเกียรติแห่งมนุษยชาติเพื่อเด็กไร้อนาคตเนี่ยนะ”

“ในตอนนี้มนุษยชาตินั้นอ่อนแอ และมีเจ้าที่เป็นอัจฉริยะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะแบกรับเอาไว้ได้ แต่เจ้ากลับคิดเอาแต่ใจแบบนี้รึ”

“นี่เจ้าคิดว่าเส้นทางของอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์เราเป็นอะไรกัน”

“ตัวเจ้าอายุเพียงพึ่งย่างเข้ายี่สิบปี แต่กลับอยู่ในระดับกึ่งราชาได้แล้ว ด้วยความสามารถของเจ้า หากได้วัตถุบ่มเพาะที่มากพอย่อมเปรียบได้กับดาวที่ส่องแสงเจิดจ้าในอนาคต”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือทุกคนในสภาสูงภาคกลางนั้นล้วนแล้วแต่เป็นราชาระดับจอมพล คำชี้แนะจากพวกเราย่อมเทียบเท่ากับการหาหนทางบ่มเพาะด้วยตัวเองนับสิบๆปี”

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว มันเป็นเรื่องการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์”

“ตราบใดที่ผู้การเว่ยยินยอม เจ้าจะต้องตามข้ากลับไปยังสภาสูงภาคกลางเพื่อรับการบ่มเพาะและฝึกฝน”

เมื่อพูดจบ ฮั่นจุยก็ได้หันไปมองเว่ยหยวนตี้

แน่นอนว่าเว่ยหยวนตี้ย่อมยินดียิ่งที่จะให้เว่ยฉิงเชินเข้าร่วมกับสภาสูง นั่นก็เพราะจะไม่เพียงเป็นประโยชน์กับตัวเธอเอง เขายังพลอยได้ประโยชน์ไปด้วย

และเมื่อได้ยินการมองประหนึ่งดั่งกำลังถามของฮั่นจุย เว่ยหยวนตี้ก็ไม่ลังเลที่จะเห็นด้วยในทันที “ผู้อาวุโสฮั่นอย่าได้กังวล มันเป็นเพียงลูกสาวข้านั้นไม่เคยออกไหนเพียงเท่านั้น นี่จึงทำให้นางนั้นคัดค้านหัวชนฝาขนาดนี้ อย่าได้ฟังนางและถือสาหาความแต่อย่างใด”

หลังจากนั้นเว่ยหยวนตี้ก็ได้เรียกลูกสาวของตนมาพูดคุย หลังจากบังคับขู่เข็ญตามด้วยใช้สิ่งของและการกระทำหลอกล่อแล้ว ในที่สุด เขาก็ได้ให้คำมั่นหนึ่งออกมา “ฉิงเชินไม่ต้องกังวลไป เมื่อใดก็ตามที่หลานชายเฉินเฉียงกลับมา ข้าจะให้เขาไปหาเจ้าในทันที เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสินะ”

ท้ายที่สุด เว่ยฉิงเชินเองก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงตอบตกลงไปเพียงเท่านั้น

เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ฮั่นจุยได้พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะยกมือขึ้น และนำเว่ยฉิงเชินเข้าสู่โลกใบเล็กของตน

“ผู้การร่วมทั้งสาม ต่อจากนี้พวกเจ้าต้องให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดในทันทีที่พวกเจ้ากลับไป”

“ด้วยการที่ได้เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิในครั้งนี้ พวกเรานั้นได้รับทรัพยากรจากการบ่มเพาะมามากมาย ข้าคาดไว้ว่ามันต้องทำให้อีกสองเผ่าพันธุ์มีความเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะร่วมมือกันเพื่อทัดทานกำลังของเผ่าพันธุ์เรา”

หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสทั้งสามก็ได้หายไปในทันที

และนี่ทำให้เรื่องของเขตแดนจักรพรรดิของทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นจบลงโดยการที่ต่างแยกย้ายกลับไปยังที่ของตน

ราชาสวรรค์ที่กลับมาก่อนใครนั้นก็ได้รีบศึกษาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเขตแดนจักรพรรดิที่หยานเสวี่ยนำกลับมาให้

“ท่านราชาสวรรค์ ท่านนั้นมีคำสั่งให้ข้าทาสผู้นี้คอยดูแลความปลอดภัยของเฉินเฉียงทุกเวลาและทุกสถานที่”

“แต่…..”

“ช่างมันเถอะ” ราชาสวรรค์ยกมือขึ้นห้ามปราม “หยานเสวี่ย เจ้านั้นได้ทำหน้าที่ของเจ้าอย่างดีที่สุดแล้ว อย่าได้โทษตัวเองในเรื่องนี้ หากจะโทษก็ต้องไปโทษไอ้เจ้าหลินไฮ่หวังที่คอยขัดแข้งขัดขาข้ามาโดยตลอด ความจริงก็ไม่คิดมาก่อนเหมือนกันว่ามันนั้นจะกล้าข่มเหงคนของข้าถึงขั้นไม่ให้ออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิ นี่แสดงว่าข้าเองก็ประมาทเกินไปเหมือนกัน”

“เอ่อออ… ท่านราชาสวรรค์ ที่ข้าทาสผู้นี้จะถามนั้นไม่ใช่เรื่องนั้น แต่…..”

หยานเสวี่ยได้ทำการคิดเรียบเรียงคำพูดเสียใหม่พร้อมกับที่จะพยายามสังเกตสีหน้ายามที่ราชาสวรรค์รับรู้เรื่องนี้

แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของราชาสวรรค์นั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอกไอดำ ทำให้เธอเองก็ไม่สามารถคาดเดาสิ่งใดได้

“โอ้ หากไม่ใช่เรื่องนี้แล้วเจ้าหมายถึงสิ่งใด”

เมื่อเห็นหยานเสวี่ยลังเลที่จะพูด ราชาสวรรค์ก็ยิ้มแล้วพูดออกมา “องครักษ์หยาน เจ้าเองก็ติดตามข้ามาเจ็ด…ไม่สิแปดปีเห็นจะได้ เจ้าเองก็ควรจะรู้ว่าข้านั้นเป็นคนเช่นไร หากไม่ใช่ความผิดของเจ้า มีหรือที่ข้าจะโทษเจ้าได้”

“ค่ะท่านราชา…”

หยานเสวี่ยได้เว้นช่วงการพูดไปเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยท่าทางที่จริงจัง “ท่านราชาสวรรค์ ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นในเขตแดนจักรพรรดิ ข้าทาสผู้นี้ได้ค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่ของเฉินเฉียง ว่าตัวเขานั้นว่าหาใช่มนุษย์กลายพันธุ์ แต่เขาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง”

เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยได้หยุดพูดก่อนที่จะสังเกตท่าทางของราชาสวรรค์

แต่ด้วยการที่เขามีหมอกไอดำปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง ทำให้เธออ่านอะไรไม่ได้เลยสักนิด

หลังจากผ่านไปสักพัก ราชาสวรรค์ที่มีท่าทีสงบนิ่งก็ได้ถามออกมา “หยานเสวี่ย สิ่งที่เจ้าพูดออกมาเป็นความจริงงั้นรึ แล้วเจ้ามีข้อพิสูจน์หรือไม่”

“มีค่ะ ท่านราชาสวรรค์ ในตอนแรกที่ข้าพบเจอเฉินเฉียงในเขตแดนจักรพรรดินั้น เขากำลังมีเรื่องขัดแย้งกับคนในกองกำลังของตนอยู่ ส่วนเหตุผลนั่นก็คือทุกคนต่างก็คิดว่าเฉินเฉียงเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

“และด้วยเหตุนี้เอง ข้าเองก็ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้วว่าเขานั้นไม่ได้มีแผ่นแก่นพลังงานในหัวแต่อย่างใด”

“ในตอนแรก ข้าเองก็คิดจะพาเข้ากลับมาด้วยเรื่องนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าแผนการของข้าจะถูกทำลายลงด้วยคนของหลินไฮ่หวัง”

“ไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์จริงๆรึ ในเมื่อไม่มีแผ่นแก่นพลังงานแล้วทำไมเขาถึงใช้พลังเหนือมนุษย์ได้กัน….หึหึหึ ช่างน่าสนใจโดยแท้”

รชาสวรรค์ได้พูดออกมาเบาๆพลางเดินวนเวียนไปรอบห้อง จากห้องหนึ่งไปห้องหนึ่งแล้วเดินกลับมา หากมีคนที่ได้พบเห็นก็คงไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่

ในฐานะที่เป็นคนใต้อาณัติที่ซื่อสัตย์ของราชาสวรรค์ แน่นอนว่าหยานเสวี่ยนั้นย่อมไม่ปิดบังสิ่งใดต่อนายของตน

อย่างไรก็ตาม หยานเสวี่ยเองนั้นก็ไม่ได้มั่นใจว่าเรื่องเหล่านี้หากเล่าไปจนหมดแล้วจะดีจริงรึเปล่า

ถึงแม้ว่าราชาสวรรค์จะตีค่าเฉินเฉียงไว้อย่างสูงล้ำ แต่ยังไงซะ เฉินเฉียงเองก็มาโดยปกปิดฐานะของตนเองเอาไว้ แล้วราชาสวรรค์จะให้อภัยเขาในเรื่องนี้ได้ยังไง

ยิ่งไปกว่านั้นคือราชาสวรรค์ยังไม่รู้ว่าเฉินเฉียงนั้นมีเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร

หรือว่าเขานั้นคิดจะตั้งตนเป็นศัตรูกับราชาสวรรค์ในอนาคตกัน

นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ว่าราชาสวรรค์ไม่อาจจะควบคุมเฉินเฉียงได้ แล้วเขาจะปล่อยคนใต้อาณัติที่ควบคุมไม่ได้นี้ไปได้ยังไงกัน

หยานเสวี่ยในตอนนี้ทำเพียงจับจ้องไปที่ทุกการกระทำของราชาสวรรค์ในทุกย่างก้าว แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะขัดการกระทำของราชาสวรรค์แต่อย่างใด

ในที่สุด ราชาสวรรค์ก็ได้กลับมานั่งที่ของตน ก่อนที่จะเคาะนิ้วกับโต๊ะแล้วพูดออกมา “หยานเสวี่ย ตอนที่เจ้ากับเฉินเฉียงอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิ เจ้ารับรู้ได้หรือไม่ว่าเขาเพ่งเล็งเป้าหมายใดเป็นพิเศษอย่างไล่เข่นฆ่ามนุษย์ ฆ่าล้างสัตว์ประหลาด หรือมุ่งเน้นเก็บทรัพยากรอะไรเถือกนั้น”

“เอ่อออออ เฉินเฉียงตอนที่ข้าพบนั้นใช้พลังเหนือมนุษย์พันหน้าตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นไม่ให้เห็นตัวจริงของเขา”

“แต่กระนั้นแล้ว ตลอดเวลาที่เขาอยู่กับกองกำลัง ทุกคนแม้จะรับรู้แต่ก็ยังร่วมงานกันดี โดยส่วนใหญ่แล้วเขามุ่งเน้นในการฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาด แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาได้พลั้งมือฆ่าคน และนั่นทำให้กองกำลังของเขาฆ่านักรบมนุษย์ไปหนึ่งกองกำลัง”

“การฆ่าสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์นั้นถือได้ว่าเขาอยู่ในฝั่งมนุษย์ แต่ไอ้ที่เจ้าว่าพลั้งมือฆ่าคนจนเป็นเหตุให้กองกำลังมนุษย์ถูกฆ่าไปหนึ่งกองนี่มันยังไงกัน”

หยานเสวี่ยได้นำเมิ่งน้อยออกจากอ้อมแขนเพื่อไม่การสนทนาของเธอและราชาสวรรค์ไปทำร้ายจิตใจของมัน หลังจากนั้นหยานเสวี่ยได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณให้ราชาสวรรค์ บอกเล่าเรื่องราวที่เฉินเฉียงพลั้งมือฆ่าคนเพียงเพราะต้องการช่วยแม้ของเมิ่งน้อยให้คลอดมันออกมา

“ท่านราชาสวรรค์ ข้าทาสผู้นี้เข้าใจความคิดของเฉินเฉียงที่ร่วมมือกับคนในกองกำลังของเขาแล้วเป็นศัตรูกับมนุษย์กลายพันธุ์ รวมถึงเรื่องที่เขานั้นยอมสังหารนายพลของฝั่งมนุษย์เพื่อเมิ่งน้อย นี่หมายความว่าตัวเขานั้นมีสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรมประจำใจ”

“อีกทั้ง….อีกทั้งเขา…เขายังช่วยชีวิตข้าทาสผู้นี้ไว้หลายครั้ง ข้า….ข้าขอบังอาจถามว่าท่านคิดจะจัดการกับเฉินเฉียงเช่นไร”

เมื่อนึกถึงเรื่องเฉินเฉียงช่วยชีวิตเธอไว้แล้ว นี่ทำให้หยานเสวี่ยอดเป็นห่วงเฉินเฉียงไม่ได้จริงๆ

“อ่า… ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ท่านราชาสวรรค์ เมื่อตอนที่เฉินเฉียงได้เข้าร่วมการประลองสี่สำนักนั้น เขาได้ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งเอาไว้ เขาคนนั้นชื่อเจิ้งยี่”

“ในตอนนั้นข้าทาสคนนี้เองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน แต่เมื่อเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดินั้นข้ากลับพบว่าจริงๆแล้วนั้น ข้ากลับพบว่าเจิ้งยี่คนนี้เองก็เป็นหนึ่งในมนุษย์กลายพันธุ์”

“แต่ที่หน้าประหลาดก็คือ เฉินเฉียงนั้น ทั้งๆที่รู้ ไม่สิ เขารู้อยู่ตั้งแต่เริ่มเลยด้วยซ้ำว่าเจิ้งยี่คือมนุษย์กลายพันธุ์ แต่เขาก็ยังคิดช่วยชีวิตเจิ้งยี่เอาไว้”

“แถมในตอนนี้ คนในกองกำลังทั้งหมดต่างก็รับรู้ว่าเจิ้งยี่นั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังยอมรับในตัวตนของเจิ้งยี่ได้ราวกับไม่ยากเย็น”

“หลังจากนั้นเฉินเฉียงยังกล้านำเรื่องนี้มาบอกเล่า แล้วนำมากล่าวอ้างว่าเป็นผลงานเสียอีก”

“และนี่คือเหตุผลที่ข้าทาสคนนี้ก็รับรู้มาว่าทำไมเฉินเฉียงถึงช่วยเจิ้งยี่ไว้ในครานั้น”

ราชาสวรรค์ได้นั่งรับฟังการบอกเล่าของหยานเสวี่ยในเรื่องของเฉินเฉียงที่เกิดขึ้นในเขตแดนจักรพรรดิ แต่ดูเหมือนว่าราชาสวรรค์จะไม่สนใจที่จะถามอะไรมากมายเกี่ยวกับเจิ้งยี่และเมิ่งน้อย ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่ใส่ใจเลยสักนิดถึงจะถูก นี่ช่างเหนือกว่าความคาดหมายของหยานเสวี่ยมากนัก

หากจะให้พูดกันตรงๆแล้ว ราชาสวรรค์นั้นไม่ควรจะปล่อยเรื่องนี้ไปตั้งแต่เรื่องที่เฉินเฉียงปิดบังสถานะเอาไว้แล้ว…..หรือเขาไม่ใส่ใจพวกมันกันแน่

“หยานเสวี่ย เจ้าทำได้ดีมาก”

ราชาสวรรค์กล่าวชมออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนที่จะยืนขึ้นและเริ่มเดินวนรอบห้องอีกครั้ง

“เรื่องข้าทำยังไงกับเฉินเฉียงนั้น เอาเป็นว่าเราค่อยมาพูดถึงกันหลังจากได้พบเจอเขาก็แล้วกัน”

“สิ่งที่ทำให้ข้าเบาใจอย่างที่สุดนั้นไม่ใช่สถานการณ์ของเฉินเฉียง แต่เป็นเจ้าที่เมื่อรับรู้ว่าเฉินเฉียงไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ แต่เจ้าก็ยังปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมและอย่างที่สุดโดยไม่กระด้างกระเดื่อง นี่จึงเป็นสิ่งที่หายากอย่างแท้จริง”

“หยานเสวี่ยได้ยืนขึ้นมาและตอบกลับอย่างเต็มภาคภูมิ “ท่านราชาสวรรค์ ท่านไม่เพียงจะช่วยชีวิตข้าทาสคนนี้แล้ว ท่านยังเป็นผู้เปิดหนทางใหม่ให้แก่ข้า ข้าย่อมยินดีสละชีวิตเพื่อท่านได้”

“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ข้าทาสคนนี้จะจงรักภักดีต่อท่าน ยอมทำทุกอย่างหากทำให้ท่านคลายกังวลได้ แน่นอนว่าข้านั้นย่อมไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ”

“ชีวิตของข้าทาสผู้นี้ขอยอมตายเพื่อท่านได้ตลอดเวลา”

“เฮ้ออออ เจ้านี่น้า….ราชาผู้นี้บอกไปตั้งมากมายหลายหนแล้วว่าชีวิตของเจ้าก็เป็นของเจ้าเอง ต่อให้เจ้าอยากจะออกไปจากเกาะนี้ เพียงแค่บอกข้ามา ข้าย่อมยินดีส่งเสริม ไม่คิดฉุดรั้งเจ้าไว้”

“ว่าแต่ เจ้าบอกว่าเฉินเฉียงนั้นจะปรากฏตัวที่ทะเลแดนใต้ในอีกหนึ่งเดือนให้หลังนี่ หากเวลานั้นมาถึงจึง เจ้าเองก็คอยจับตาดูเขาไว้ก็แล้วกัน”

“ราชาผู้นี้อยากจะรู้จริงๆว่าเฉินเฉียงนั้นจะสามารถฝ่าขอบเขตแดนจักรพรรดิที่แม้แต่ราชาทั้งหลายก็ยังต้องปวดหัวนั่นได้ยังไง หึหึหึ..”

….

หลังจากฮั่นจุย ผู้อาวุโสสูงอีกสองคน และเว่ยฉิงเชินแยกตัวออกไป เรือมังกรดำก็ได้บินไปถึงตึกจอมพลเขตกันหนันอย่างปลอดภัย พร้อมกับเหล่านายพลของทั้งสามตึกจอมพล

ในการเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิในครั้งนี้ กองกำลังร่วมที่มาจากตึกจอมพลภาคกลางของจ้าวลี่นั้นไม่ได้รับสิ่งใดที่โดดเด่นกลับไปแม้แต่น้อย ไม่สิ ต้องบอกว่าด้วยเรื่องของเฉียวกัง ทำให้เขานั้นได้รับหน้าที่แหกยับกลับไปแทน นี่ทำให้ก่อนที่เว่ยหยวนตี้ ในฐานะเจ้าภาพทำการเลี้ยงฉลองใหญ่ จ้าวลี่ได้นำคนของตนกลับไปยังตึกจอมพลภาคกลาง

หากเป็นก่อนหน้านี้ เว่ยหยวนตี้เองจะพูดฉุดรั้งเอาไว้อย่างที่สุด

แต่ในครั้งนี้ต่างกันออกไป

ในการเข้าไปในเขตแดนในครั้งนี้นั้น ด้วยความสำเร็จและชัยชนะของกองกำลังเทียนเว่ยที่ถึงแม้จะมีเพียงสิบสองคน แต่กลับเทียบได้กับกองกำลังเผ่าพันธุ์มนุษย์จากอีกสองตึกจอมพลรวมกันเสียอีก นี่ทำให้เว่ยหยวนตี้นั้นมีใบหน้าที่ใหญ่โต แม้แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสแห่งภาคกลาง

ยังไม่รวมถึงเรื่องลูกสาวสุดที่รักอย่างเว่ยฉิงเชินที่ฮั่นจุยผู้อยู่ในฐานะผู้อาวุโสสูงแห่งสภาสูงภาคกลางดึงตัวไป เพียงเท่านี้ก็ถือว่าความสำเร็จที่ไม่สิ้นสุดของเธอแล้ว

ดังที่กล่าวไว้ว่าหากผู้ใดก็ตามที่เลือกเส้นทางที่ถูกต้อง ต่อให้เป็นหมูหมากาไก่ก็สามารถทะยานขึ้นฟ้าได้อย่างสูงลิ่ว

จากนี้เป็นต้นไป จ้าวลี่คงไม่กล้าเสนอหน้าต่อหน้าเว่ยหยวนตี้ผู้นี้อีกต่อไป

ส่วนหลิวตันนั้น ชายคนนี้วางตัวเป็นกลางและแสดงตัวออกมาอย่างเที่ยงธรรม แม้เขาจะเสียดายที่เห็นจ้าวลี่ต้องดับแสง แต่เขาก็ยังมาดื่มฉลองอย่างใหญ่โตกับเว่ยหยวนตี้อยู่ดี

ถึงแม้ว่าผู้การสูงแห่งตึกจอมพลกันหนันนั้นจะยุ่งมากจนไม่มีเวลามาร่วมฉลองด้วยก็ตาม แต่เขาก็ยังส่งคนมาแสดงความยินดีด้วยเช่นกัน

นี่เป็นครั้งแรกที่ตึกจอมพลกันหนันมีเรื่องดีๆได้ถึงขนาดนี้นับแต่มีการจัดให้มีการสำรวจเขตแดนจักรพรรดิ แน่นอนว่าผู้การสูงเองย่อมมีความสุข แถมเขายังแนะนำให้เว่ยหยวนตี้มอบรางวัลพิเศษให้กับนักรบผู้สร้างชื่อเสียงให้กับตึกจอมพลด้วยซ้ำ

นี่ทำให้ในระหว่างงานเลี้ยง เว่ยหยวนตี้จึงเรียกจางหยวนให้มาหา

“จางหยวน ในการสำรวจเขตแดนจักรพรรดิครั้งนี้นั้น กองกำลังของเจ้านั้นสามารถพูดได้ว่าสร้างชื่อเสียงได้อย่างน่าตกตะลึงพรึงเพริดอย่างที่สุด”

“หากว่าผู้การสูงท่านมาเองได้ ท่านต้องเอ่ยปากยกบางส่วนของตึกจอมพลแห่งเมืองกันหนันนี้เป็นที่มั่นของกองกำลังของเจ้าก็เป็นได้”

“….ก็ดีนะ ว่าไง สนใจจะเข้าร่วมกับตึกจอมพลกันหนันรึเปล่าล่ะ”

“ถึงแม้ว่าในตอนนี้พวกเจ้าจะมีเพียงนักรบระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงแปดคนด้วยกัน แต่ข้าเชื่อว่า ด้วยชื่อเสียงของพวกเจ้าในครั้งนี้จะทำให้กองกำลังเล็กๆของเจ้านั้นขยับขยายอย่างแน่นอน”

“ขอขอบคุณท่านเว่ยที่เอ่ยปากชมพวกเรา” จางหยวนได้กล่าวขอบคุณออกมาในประโยคแรก ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและพูดออกมาราวกับจะเสียดาย “เรียนท่านเว่ย ตัวข้าก็เป็นเพียงรองกัปตันที่ทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่เพียงเท่านั้น แน่นอนว่าพวกเราต้องรอฝังคำสั่งของกัปตัน เพื่อวางแนวทางในอนาคตอีกครั้งหนึ่ง”

“แต่กับการเข้าร่วมกับตึกจอมพลแห่งกันหนันนั้น ข้าเองก็พอจะตอบแทนหัวหน้าได้คร่าวๆอยู่บ้าง”

“กองกำลังเทียนเว่ยของพวกเรานั้นก่อตั้งขึ้นที่ตึกจอมพลเหมันต์จันทรา นับแต่เริ่มจนจบ พวกเราก็จะขออยู่คู่ที่นั่น ท่านเว่ย ต่อให้กองกำลังของพวกเราแม้อาจจะไม่คงอยู่ แต่สมาชิกทุกคนนั้น อย่างน้อยๆก็ขอดับสูญไปพร้อมกับตึกจอมพลเหมันต์จันทราครับ”

“หึหึหึ ดี”

เว่ยหยวนตี้นั้นไม่ได้มีท่าทีต่อการปฏิเสธของจางหยวนแต่อย่างใด เขายังพูดต่ออีก “หากเป็นอย่างนั้นล่ะก็ จางหยวน เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายกล่าวชื่นชมเจ้าและกองกำลังของเจ้า แล้วเจ้าก็ถือมันไปให้หลินเฟิงก็แล้วกัน แล้วเขาจะมอบรางวัลที่คู่ควรกับชื่อเสียงที่ทำให้กับพวกเรา”

“ขอขอบคุณท่านผู้การเว่ย”

กองกำลังเทียนเว่ยตอบกลับอย่างพร้อมเพรียง

หลังจากการเข้าสู่เขตแดนจักรพรรดิในครั้งนี้จบลง กว่ามันจะเปิดให้เข้าอีกครั้งก็เป็นเวลาสิบปี และนี่ทำให้เขาเอเวอเรสต์แห่งนี้กลับสู่ความสงบ อย่างที่มันควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม ที่จุดกึ่งกลางระหว่างตีนเขาฝั่งเหนือและใต้นั้น ในตอนนี้มีรอยเท้าหนึ่งได้ถูกทิ้งไว้ จนเผยให้เห็นถึงสถานที่หนึ่งว่ามีผู้เดินผ่านเข้าไปเมื่อไม่นานมานี้

ที่ยอดเขาที่จุดที่สูงราวๆแปดพันเมตรเห็นจะได้ มีบางสิ่งได้ยืนท้าลมหนาวอยู่สี่ตน

“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าที่ฮั่นจุยและหลี่กวงพูดเป็นความจริงรึเปล่า”

“เรื่องที่ว่ามีไอ้หนูทักษะพิเศษพบเจอร่องรอยบางอย่างในเขตแดนจักรพรรดินั่น”

“แต่กับเรื่องนี้ ในช่วงสี่ร้อยปีมานี้ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลยสักครั้ง”

“นั่นน่ะสิ พี่ใหญ่ หากเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ ข้าว่าเราควรจะเข้าไปหาไอ้เด็กนั่นสักหน่อยไหม”

“ยังไงซะพวกเราก็ไม่อยากจะรอถึงห้าสิบปีอย่างแน่นอน แทนที่จะรอขนาดนั้นไม่สู้ว่าเราเปิดกันเองแล้วเข้าไปหาจะไม่ง่ายกว่ารึไงกัน”

“เหตุผลที่พวกเรายอมให้สามเผ่าพันธุ์นั่นเข้าไปเองก็เป็นเพราะว่าเราหวังจะให้ใครบางคนคลี่คลายความลับของเขตแดนจักรพรรดิอยู่แล้ว ในเมื่อมีคนพบเจอร่องรอยแล้วเราก็ควรจะรีบติดตามร่องรอยนั่นไปไม่ใช่รึ”

“ไม่ น้องสอง น้องสาม น้องสี่ ต่อให้มันจริงล่ะก็ แม้แต่พวกเราเองก็ไม่อาจจะผิดกฎได้”

“ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า น้องสาม น้องสี่ พวกเจ้าทั้งสองรออยู่ที่นี่สักครึ่งปี หากมีใครในสามเผ่าพันธุ์ที่กล้าจะแหกกฎแล้วฝ่าฝืนจะเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ ก็ทำให้มันฝันค้างไป ณ ตรงนั้นไปเลยแล้วกัน ไม่ต้องสอบถามเรื่องราวแต่อย่างใด”

“ส่วนน้องสองกับข้าจะกลับวังใต้ดินไปก่อน”

หลังจากพูดจบ ร่างทั้งสองก็ได้หายไปราวกับไม่เคยคงอยู่ เหลือไว้เพียงอีกสองร่างที่ยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ไหวติง