บทที่ 255 เขตแดนประหลาด
ในตอนที่เขตแดนจักรพรรดิได้ปิดตัวลง เฉินเฉียงได้นั่งลงกับพื้น พร้อมจ้องมองไปยังวัตถุรูปตัว Y ที่มีสีเทา พร้อมพื้นผิวที่ราวกับกระดูกในมือ ในตอนนี้พลางขมวดคิ้วแน่น
ในวันนั้นที่บนชั้นที่อยู่ตรงปลายบันได เฉินเฉียงและนายพลคนอื่นนั้นได้พยายามแทบเป็นแทบตายในการหาความหมายของเสาทั้งสี่ต้น แต่หลังจากผ่านไปสามเดือนแล้วก็ยังไม่มีใครได้อะไรเลยแม้แต่น้อย
แต่เป็นตอนนั้นที่เขาได้พบว่าเสาทั้งสี่นั้นมีความเชื่อมโยงกันอย่างน่าประหลาด และเมื่อได้ยินคำพูดของหยานเสวี่ย ทำให้เขานั้นนึกถึงตอนเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิ และนี่ทำให้เมื่อเฉินเฉียงลองใช้ทักษะเคลื่อนย้ายในพริบตา เขาก็พบว่าตัวเองเข้าไปในเขตแดนประหลาดเรียบร้อยแล้ว
แต่หลังจากสำรวจอยู่นานสองนานอย่างตื่นเต้นยินดี ด้วยเหตุที่ว่าเขานั้นโชคดีที่เป็นคนแรกที่ได้พบเจอความลับที่แท้จริงของบันไดสู่สรวงสวรรค์
แต่หลังจากนานวันไปเข้า ยิ่งเขาสำรวจ เขาก็พบว่าในเขตแดนนี้ไม่มีสมบัติแต่อย่างใด นี่ทำให้เฉินเฉียงนึกสิ้นหวังขึ้นมาอย่างช้าๆ
แต่เดิม เฉินเฉียงนั้นวางแผนไว้ว่าจะทำการบ่มเพาะเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรข้างในเขตแดนนี้เพื่อเพิ่มระดับพลังจิตของเขาให้แข็งแกร่ง แต่นั่นกลับทำให้เขานั้นสิ้นหวังกว่าเดิม เพราะเขากลับพบว่าเขตแดนแห่งนี้ไร้จุดสิ้นสุด และนี่ทำให้เขานั้นได้รับความกดดันอย่างที่สุดเช่นกัน เขาสิ้นหวังถึงขั้นที่ว่าร้องไห้สะอื้นออกมาเพราะไร้สิ้นซึ่งหนทาง
ท้ายที่สุด เฉินเฉียงก็ล้มเลิกที่จะยอมแพ้ เขาได้พักจนหนำใจแล้วก็มุ่งหน้าหาทางออกจากเขตแดนแห่งนี้อย่างบ้าคลั่ง
แต่ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม หลังจากบินอยู่นาน เขาก็ยังไม่พบร่องรอยของจุดสิ้นสุดของเขตแดน
เป็นเพียงตอนที่เฉินเฉียงหมดกะจิตกะใจที่จะหาทางออกนั้นเอง เสียงกระซิบหนึ่งก็ได้ดังขึ้นมาจนเขาได้ยินอย่างชัดเจน
ถึงมันจะเป็นเสียงที่หวีดแหลมอย่างน่าหลอกหลอน แต่ด้วยการที่เฉินเฉียงในตอนนี้ตัดใจเรื่องทางออกไปแล้ว เขาจึงเลือกที่จะหาที่มาของเสียงแทนเสียอย่างงั้น
หลังจากผ่านไปห้าวัน ระดับการมองเห็นของเฉินเฉียงลดต่ำลงเรื่อยๆ แม้แต่ระยะกระแสจิตของเฉินเฉียงที่บ่มเพาะไปแล้วก็ยังหดสั้นลง ท้ายที่สุด ทั้งการมองเห็นของเขาและระยะพลังจิตของเขาก็สั้นอย่างที่สุดราวกับคนตาบอดที่เสียประสาทการรับรู้ไปเลยอย่างสมบูรณ์
แต่กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกสบายใจอยู่บ้าง เพราะว่าเขานั้นยังได้ยินเสียงหวีดนี้ใกล้เขาเข้ามาบ้างแล้ว
และด้วยการที่ทั้งกระแสจิตและการมองเห็นของเขาใช้ไม่ได้ เขาไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงเดินตามเสียงนั้นไป
และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใด เฉินเฉียงนอกจากจะอาบร่างด้วยเกราะพลังงานแล้ว เขายังเคลือบร่างด้วยเกราะเหล็กไหลไปอีกชั้นหนึ่ง เผื่อต้องพบเจออันตรายอย่างไม่ทันตั้งตัว
ด้วยการที่ที่นี่เป็นเขตแดนที่ไม่รู้จัก เขาจึงได้คิดไว้ก่อนว่ามีภัยอันตรายที่พร้อมจะเล่นงานเขาได้ทุกเมื่อ และด้วยการที่เขานั้นไม่อยากมาตายแบบไร้เหตุผลในสถานที่แบบนี้ เขาจึงเลือกเดินต่อไปอย่างช้าๆราวกับคนตาบอด
แต่ของมันจะโดน ระวังยังไงมันก็ต้องโดนอยู่ดี
เพียงแค่เขาเดินตามเสียงไปได้เพียงอีกเล็กน้อยเท่านั้น เขาถูกอะไรบางอย่างราวกับจะโฉบกระชากเขาไป จนทำให้เขาต้องร่วงลงไปกองกับพื้นในทันที
ยังดีที่ในตอนนี้เขาเองนั้นอยู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง ด้วยแรงที่ทรงพลังขนาดนี้ ต่อให้เขาแค่ล้มลง ก็ต้องเจ็บไม่น้อยจากแรงกระทบเลยทีเดียว
แต่หลังจากที่เขาได้พยายามลุกขึ้นยืนนั้น เขากลับพบว่ามีอะไรบางอย่างที่มีสีดำที่ทำให้รู้สึกว่าราวกับเขาถือกระดูกชิ้นโตอยู่ในมือ
แล้วไอ้มือที่เขาถืออยู่นั้นดันกลายเป็นมือขวาเสียอีก
ติ้ง
ตรวจพบวัตถุที่ย่อยสลายได้
ดูดซับซากร่างของราชานรกเสร็จสมบูรณ์
เจ้าของระบบ: เฉินเฉียง
ระดับ: นักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง
การหลอมรวมทักษะ: 1
การคัดเลือกทักษะ : 7
ค่าพลังงาน:4,884,500
ค่าการใช้ประโยชน์:1
ค่าความอดทน:550
ค่าความแข็งแกร่ง:576
ค่าความเร็ว:422
ค่าพลังจิต:804
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: …..
…..
ทักษะ: กลืนกินเลือดปีศาจ
……
สายเลือด: โกลาหลแรกกำเนิด?(โกลาหลขั้นต้น?)
ซากศพ….ของราชานรก….เหรอ
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฉียงเคยได้ยินชื่อสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ จากความทรงจำของเขานั้นนับแต่ที่เขาเข้ามาอยู่ในโลกใบนี้ยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับราชานรกแต่อย่างใด หรือนี่จะหมายความว่า นอกจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์แล้วนั้น….ยังมีเผ่าพันธุ์ที่สี่อยู่อีกอย่างนั้นเหรอ
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขาเพียงดูดซับซากศพที่ถูกทิ้งไว้มานานกี่ปีมาแล้วก็ไม่รู้ แต่กลับทำให้เขาต้องใช้พลังงานไปถึงสิบล้านหน่วยอีก
นอกจากค่าความอดทนและค่าความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมากมายแล้ว ทักษะที่เขาได้รับมานั้นก็มีเพียงทักษะที่เรียกว่ากลืนกินเลือดปีศาจ นี่ทำให้เขานั้นรู้สึกสูญเสียขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หากว่าเขาได้รับทักษะนี้มาก่อนหน้านี้ล่ะก็ เขาคงจะทดลองใช้มันดูในทันที แต่ในตอนนี้มันแตกต่างกันออกไป
เพราะเขาไม่รู้ว่าจะใช้ทักษะกลืนกินเลือดปีศาจนี้กลืนกินสิ่งใด
แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือไอ้เครื่องหมายคำถามที่มันขึ้นอยู่บนชื่อสายเลือดของเขาในตอนนี้มันหมายความว่ายังไงกัน
หรือนี่จะแสดงได้ว่าสายเลือดโกลาหลแรกกำเนิดของเขานั้นพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้ว
เฉินเฉียงที่ไม่อาจหาคำตอบจากเรื่องที่พึ่งจะเกิดขึ้นนี้ได้นั้นทำได้เพียงเก็บแท่งกระดูกนี้ลงในแหวนเก็บของ เพื่อที่ว่าจะได้นำมาศึกษาทีหลัง
แต่เพียงตอนที่เฉินเฉียงได้ใช้มือดันพื้นเพื่อที่จะยืนขึ้น เขาก็พบว่ามีกระดูกอีกนิดหน่อยอยู่ แต่ในคราวนี้ค่าสถานะของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด นั่นก็เพราะเหมือนว่าค่าพลังงานของเขาจะไม่เพียงพอ
และยิ่งรู้สึกตัวในเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้เฉินเฉียงนั้นไม่คิดที่จะดูดซับจากสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักนี้อีก จึงทำเพียงเก็บพวกมันทั้งหมดที่คว้าเจอใส่ในแหวนเก็บของเพียงเท่านั้น หากว่าไอ้ซากร่างของสิ่งที่มีชีวิตที่เรียกว่าราชานรกนี้มีประโยชน์กับเขาจริง ต่อให้ต้องดูดซับทีหลังมันก็ยังไม่สาย
หลังจากเก็บกวาดโดยรอบเท่าที่พบเจอแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ยืนขึ้นแล้วเดินตามเสียงต่อไป
ในคราวนี้ ไม่เพียงเสีงหวีดหวิวเท่านั้นที่เขาได้ยิน เขาเริ่มที่จะรับรู้ได้ว่าไอ้เสียงหวีดๆนั่นกับกลายเป็นเสียงที่แหบพร่าแต่เขาก็พอจะจับใจความได้บ้าง
“ฮู่ววววว สาม….สิบ….ปี…..”
“อืออออสามมมมสิบปี…..ช่างยาวนานและเหนื่อยล้ายิ่งงงงงงงง”
“อืออออฮื้ออออออ ข้า…ทำดีที่สุดแล้ววววววว”
“วูซินนนนนน สำนึกผิดดดด”
“โว่ววววว พี่ชายยยยย”
ทันทีที่ได้รับรู้เสียงนี้ การมองเห็นของเฉินเฉียงก็กลับมากระจ่างชัด อย่างน้อยๆเขาก็มองเห็นทุกสิ่งรอบตัวในระยะสิบเมตรแล้ว
และเมื่อได้เห็นที่มาของเสียงที่หวีดหวิวและแหบพร่านั้นเองยิ่งทำให้เฉินเฉียงงงงวยหนักขึ้นยิ่งกว่าเดิม หลังจากเดินไปมาอยู่อีกสักพัก ในที่สุดเขาก็เห็นร่องรอยของเขตแดนอื่น
ในโครงสร้างของเขตแดนนี้ทำให้เขาได้รับรู้ว่ามันมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีพื้นที่ประมาณห้าสิบตารางเมตร ภายในนั้นมีสามร่างได้หันหลังมาทางเฉินเฉียง มีร่างหนึ่งอยู่ตรงกลางโดยจับมือของอีกสองร่างเอาไว้ส่วนมือที่เหลือของอีกสองร่างนั้นได้แตะไปที่กำแพงของเขตแดนอีกที
ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นอยู่ห่างจากทั้งสามร่างเพียงแค่เจ็ดเมตร นี่ทำให้เฉินเฉียงค่อนข้างมั่นใจว่าไอ้เสียงแหลมเล็กและแหบพร่านั่นมาจากปากของทั้งสาม
“ผู้อาวุโส….”
“ผู้อาวุโสทั้งสาม….”
เฉินเฉียงได้ลองเรียกเบาๆก่อนที่จะเดินตรงเข้าไป
“อุ๊บ”
แต่เมื่อเขาได้เห็นใกล้ๆแล้ว นี่ก็ทำให้เฉินเฉียงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เป็นตอนนี้ที่เขาถูกอะไรบางอย่างโฉบกระแทกจนล้มลงไป
แต่ในทันทีที่เขาพยายามจะลุกขึ้นมานั้น ในตอนนี้เขาก็ได้พบกับบันได ราวกับจะเป็นการบ่งบอกว่าหากเขาจะเข้าไปหาทั้งสามร่างนั้นจะต้องก้าวขึ้นไปบนบันไดสามขั้นที่อยู่ตรงหน้าเขา
เป็นเพียงตอนที่เฉินเฉียงไม่คิดจะก้าวขึ้นไปนั้น อยู่ๆมือขวาของเขาก็มีบางสิ่งปรากฏอยู่
เมื่อเขาลองยกมือขวาขึ้นมาดูก็พบแผ่นป้ายสีเงินเทาที่มีรูปร่างเป็นตัว Y
เจ้าสิ่งนี้มีความหนาวเย็นจับจิต เมื่อเฉินเฉียงได้ส่งพลังสายเลือดเข้าไปแล้วนั้น เจ้าสิ่งรูปตัวYนี้ก็ไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใด
เมื่อไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใดแล้ว เขาก็ทำได้เพียงเก็บมันเข้าไปในแหวนเก็บของ หลังจากนั้นเขาก็ได้ยืนขึ้นและตรงไปยังทั้งสามร่าง
ถึงแม้เฉินเฉียงจะเข้าไปใกล้ขนาดนี้แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งสามร่างก็ไม่รับรู้การมาถึงของเฉินเฉียงแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงรับรู้ได้ว่าพลังของทั้งสามร่างที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นสูงล้ำจนเขาเองก็ไม่อาจจะคาดคำนวนได้ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งนั้นหรือกำแพงเขตแดนที่ทั้งสามกำลังส่งพลังงานเข้าไปนั้น เขาก็รับรู้ได้ว่ามันราวกับมีลอยบุ๋มของกำแพงเขตแดน ราวกับว่าเคยมีอะไรบางอย่างอยู่ตรงช่างว่างระหว่างกำแพงและฝ่ามือของผู้อาวุโสทั้งสอง
“ท่านผู้อาวุโส….ท่านผู้อาวุโส”
เฉินเฉียงลองเรียกดูอีกสองครั้ง แต่ทั้งสามก็ยังไม่ตอบสนองแต่อย่างใด
หรือว่าพวกเขาตกตายจนหมดแล้ว
เฉินเฉียงได้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันใด
นั่นก็เพราะพลังที่ผู้อาวุโสทั้งสามที่ในตอนนี้กำลังสอดประสานส่งผ่านไปยังกำแพงเขตแดนตรงหน้านั้นแข็งแกร่งเกินกว่าคนที่เขารู้ว่าแข็งแกร่งที่สุดอย่างฮั่นจุยอย่างไม่อาจจะเทียบเคียง
และด้วยการที่เขตแดนแห่งนี้อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิ หากว่าเขาเข้าใจไม่ผิด ทั้งสามคนนี้คือ ผู้อยู่ในระดับราชา จักรพรรดิเทพสงครามสามคน
เมื่อเขาคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา นี่ทำให้เฉินเฉียงถึงกับหยุดหายใจ
นักรบระดับราชาจักรพรรดิเทพสงครามสามคนเลยนะ
ในโลกใบนี้นั้น แต่ละคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของเส้นทางบ่มเพาะ และเมื่อเขานำไปเทียบกับฮั่นจุยที่เป็นราชาจอมพลแล้วนั้นราวกับว่าฮั่นจุยเป็นเด็กฝึกหัดการบ่มเพาะไปเลยทีเดียว
และจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ทั้งสามคนนี้คือราชาจักรพรรดิที่ไม่ได้ถูกพบเห็นมานานนับร้อยปี
หากว่าเขาสามารถดูดซับพลังงานจากทั้งสามร่างนี้ได้ล่ะก็ คงไม่ใช่ว่าเขา…..
เฉินเฉียงเองก็แทบจะไม่กล้าจะนึกต่อไปในสิ่งที่เขานั้นกำลังคิดอยู่
ที่ผ่านมานั้น เขาวิงวอนต่อสวรรค์มาโดยตลอดว่าขอให้ได้ดูดซับพลังงานจากซากร่างของผู้อยู่ในระดับราชา อย่างน้อยๆราชานักรบก็ยังดี แต่มาในตอนนี้นึกไม่ถึงว่าตรงหน้าเขานั้นจะมีซากร่างของราชาจักรพรรดิอยู่ถึงสามร่าง
นี่มันเรื่องราวบ้าบออะไรกัน
ไม่แปลกใจเลยจริงที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์ทั้งมนุษย์ สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์ต่างพยายามค้นหาความลับของเขตแดนนี้ต่อให้ตัวตายก็ไม่เสียดาย
แล้วในตอนนี้ โชคที่ทุกคนพยายามที่จะไขว่คว้าอย่างที่สุด ได้มาตกอยู่ตรงหน้าเขาเสียอย่างนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขานั้นไม่ต้องถึงขั้นตัวตายก็ได้พบเจอ
ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผู้อาวุโสทั้งสามตรงหน้าเขานี้คือผู้อยู่ในระดับราชาจักรพรรดิตามตำนานเรื่องเล่าของโลกใบนี้
ถึงแม้ว่าซากร่างเหล่านี้จะสูญเสียค่าพลังงานมากมายในการดูดซับ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น เขาต้องแน่ใจว่าทั้งสามนั้นตกตายไปแล้วจริงๆ
ถึงแม้ภาพที่ปรากฏต่อสายตาเขานั้น ทั้งสามจะไม่มีพลังงานแห่งชีวิตแล้วแต่อย่างใด แต่ด้วยคลื่นพลังที่ทั้งสามปล่อยผ่านฝ่ามือของพวกเขานั้นกลับสูงล้ำเกินกว่าที่ใครบางคนจะยอมรับได้ว่าทั้งสามตกตายไปแล้ว
แต่…..หากว่าคนที่ตายไปแล้วยังมีพลังมากมายขนาดนี้ล่ะก็ ตอนที่พวกเขามีชีวิตอยู่จะทรงพลังขนาดไหนกัน
ด้วยความค้างคาใจนี้เองทำให้เฉินเฉียงได้ค่อยๆก้าวเดินไปตรงหน้าของผู้อาวุโสทั้งสามอย่างเชื่องช้า
และเป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้เห็นรูปลักษณ์ของทั้งสามอย่างชัดเจน
คนที่อยู่ตรงกลางที่ราวกับคอยถ่ายทอดพลังให้นั้น เขามีเคราที่ยาวเหยียด คนที่อยู่ด้านซ้ายของเฉินเฉียงในตอนนี้ถึงแม้จะดูเหมือนมนุษย์ แต่ร่างของเขากลับมีขนรุงรังเต็มตัวแต่กลับสูงโปร่ง ส่วนคนสุดท้ายนั้น เขาพึ่งจะดูราวกับคนที่อายุสามสิบไม่ก็สี่สิบปีเพียงเท่านั้น แต่ผมของเขานั้นกลับขาวโพลนและทั่วทั้งร่างราวกับหลอมรวมไปกับปรอทเลยทีเดียว
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงรู้สึกได้ว่าใบหน้าของทั้งสามน้ำดำคล้ำราวกับห้วงน้ำที่ลึกสุดหยั่ง ปากของพวกเขาปิดสนิท พร้อมผิวหนังที่แห้งกรังราวกับจะติดกระดูก นี่หมายความว่าไอ้เสียงเบาๆที่ดังหลอนประสาทก่อนหน้านี้นั้นมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณของพวกเขาทั้งสาม
ในที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าทั้งสามตายไปแล้วนั้นนั่นก็คือเส้นสีดำที่มีความยาวประมาณสองเซนติเมตร ที่งอกออกมาตรงหว่างคิ้ว
ร่างที่จะมีเส้นนี้ปรากฏขึ้นมาได้นั้นจะต้องเป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่ตกตายไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นเป็นแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงก็ไม่ได้ที่จะลอบถอดถอนลมหายใจออกมายาวๆ ก่อนที่เขาจะทุบอกตัวเองด้วยมือข้างหนึ่งรัวๆ ก่อนที่จะก้มหัวแล้วพูดออกมาอย่างเคารพ
“ผู้อาวุโส โปรดอย่าได้โทษข้าเลย”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่ายามที่พวกท่านยังคงอยู่นั้นท่านอาจจะสู้กันจนเป็นตายตามเรื่องเล่าหรือไม่ก็ตาม”
“แต่ในตอนนี้ เมื่อเห็นว่าพวกท่านทั้งสามได้ละทิ้งความเกลียดชังแล้วสานสัมพันธ์ฉันเพื่อนสนิทได้ก่อนที่จะตกตายแบบนี้ ข้ารู้สึกว่าพวกท่านได้พบหนทางสงบแล้ว”
“แต่ด้วยการที่รุ่นเยาว์ผู้นี้มีการบ่มเพาะที่อ่อนด้อย แต่บังเอิญหลุดเข้ามาในสุสานของพวกท่านได้นั้น โปรดอย่าได้ถือสาในเรื่องนี้”
“แล้วถ้าหากท่านทั้งสามได้กลายเป็นดวงวิญญาณอยู่ในสรวงสวรรค์ล่ะก็ ผู้น้อยคนนี้ก็จะขอให้ท่านผู้อาวุโสทั้งสามโปรดฟังคำขอของรุ่นเยาว์ผู้นี้ให้ได้หยิบยืมพลังของพวกท่านที่หลงเหลือไว้ในซากร่างของท่านทั้งสาม ขอให้ท่านทั้งสามโปรดรับฟังคำขอของข้าด้วยเถิด”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ลืมตาขึ้นมา ก่อนที่จะล้วงเข้าไปหยิบแผ่นแก่นพลังงานออกมาห้าแผ่นจากแหวนเก็บของของเขาเพื่อเพิ่มค่าพลังงานให้ได้สามสิบล้านหน่วย
เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วกระมัง
ตัวเขานี้คงไม่มีปัญหาหากจะดูดซับผสมพลังงานจากจักรพรรดิทั้งสามตรงหน้า ต่อให้เขานั้นจะไม่ได้ไปถึงระดับราชา จักรพรรดิเทพสงครามในทันที แต่อย่างน้อยๆก็คงจะเพิ่มสูงกว่าระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงช่วงต้นอย่างแน่นอน
แล้วหากว่าเขาทำสำเร็จจริงล่ะก็ เขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ก็คงถือได้ว่าเป็นเขตแดนส่วนตัวของเขาสินะ
เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว เฉินเฉียงได้ทำตัวใจกล้า ก่อนที่จะค่อยๆยื่นมือขวาเหยียดออกไปข้างหน้าเพื่อแตะเข้าที่ร่างของราชาสัตว์ร้ายก่อนเป็นร่างแรกเพื่อเป็นการลองเชิง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มือขวาของเขานั้นจะได้สัมผัสร่างของราชาสัตว์ร้าย เขากลับถูกหยุดไว้โดยชั้นพลังบางอย่างที่รอบตัวของราชาผู้นี้
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือเขากลับพบว่าร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามนั้นกลับจ้องมองเขม็งมาที่เขาอย่างเป็นตาเดียวกัน
“วิ้งงงงงง”
ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้ทำอะไรต่อไป ราชาจักรพรรดิก็ได้ปลดปล่อยพลังงานบางอย่างออกมาจากร่าง ส่งให้ร่างของเฉินเฉียงนั้นบินลอยละลิ่วอย่างรวดเร็วราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ หรือก็คือเฉินเฉียงนั้นถูกเตะโด่งออกไปด้วยพลังที่เหนือล้ำ
เฉินเฉียงรับรู้ได้ในทันทีเมื่อยามที่เขาถูกส่งบินลอยละลิ่วออกมาว่าพลังนี้ช่างสูงล้ำและทรงพลังเสียยิ่งกว่าเคลื่อนย้ายพริบตาของเขาอย่างมากมายนัก ถึงแม้จะไม่ทำให้เขาบาดเจ็บ แต่พลังนี้กลับส่งเขาทะลุผ่านเขตแดนของสามราชาลอยตรงออกมาจากเขตแดนลับจนออกมาอยู่ตรงชั้นปลายบันไดของบันไดสู่สรวงสวรรค์อีกครั้ง
และนี่ก็คือประสบการณ์ของเฉินเฉียงภายในเขตแดนจักรพรรดิที่ไม่เคยมีใครได้ประสบพบเจอมาก่อน
ถึงแม้เขาจะออกมาสู่ข้างนอกอย่างปลอดภัย แต่นั่นก็ทำให้เขานั้นยังอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
แล้วยิ่งได้พบว่าผู้คนมากมายได้จับจ้องและไล่ล่าเขาแล้วนั้น ยิ่งทำให้เขาตื่นตกใจไปเป็นการใหญ่
ยังดีที่เขานั้นมีท่าเท้าที่ผู้คนในเขตแดนจักรพรรดิไม่อาจทัดเทียมได้ เขาจึงสามารถหลุดพ้นจาการไล่ตามของผู้ที่รับรู้การกระทำของเขาไปได้ในที่สุด
แต่สิ่งสองสิ่งที่เขาเก็บได้ในเขตแดนลับของเขตแดนจักรพรรดินั้นก็ได้ติดตามเขาออกมาด้วยเช่นกัน
มาในตอนนี้ทำให้เขาเข้าใจได้เป็นอย่างดีถึงเหตุผลที่ผู้คนมากมายต่างก็ไล่ตามเขา นั่นก็เพราะคนเหล่านั้นต้องการรับรู้ความลับที่แท้จริงของเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้จากปากของเขา
หรือก็คือทุกคนต่างก็ถือว่าตัวเขานั้นคือคนที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดที่จะไขกุญแจในความลับของเขตแดนจักรพรรดิได้นั่นเอง
มันก็อาจจะใช่ แต่ปัญหาคือเขานั้นยังสับสนในสิ่งที่ได้ประสบพบเจอและรับมา
ทำไมถึงมีเขตแดนลับอยู่ในบันไดสู่สรวงสวรรค์
แล้วอะไรที่ทำให้ราชาจักรพรรดิของทั้งสามเผ่าพันธุ์ต้องร่วมมือกัน แล้วไหนจะไอ้ซากร่างของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่หลงเหลือไว้อยู่ในนั้นอีก
ไม่ใช่ว่าเรื่องเล่าได้บอกไว้ว่าราชาของทั้งสามเผ่าพันธุ์สู้รบกันจนตัวตายไปไม่ใช่รึไงกัน
หรือสถานที่แห่งนั้นไม่ใช่พื้นที่สู้รบของราชาจักรพรรดิจากทั้งสามเผ่าพันธุ์อย่างที่ทุกคนเข้าใจ
ไหนจะเรื่อง…..เจ้าสิ่งที่ราชาจักรพรรดิทั้งสามที่ร่วมแรงร่วมใจกันสู้นั่นอีก มันยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า หรือมันตกตายจนเป็นซากร่างที่เขาได้เห็น
คำถามเหล่านี้ได้วนเวียนอยู่ในจิตใต้สำนึกของเฉินเฉียงไปมา และนี่ทำให้ความคิดของเขานั้นพลุ่งพล่านจนไม่อาจจะสงบจิตใจลงได้อยู่นาน
หลังจากเล่นกับสิ่งที่มีรูปร่าง Y ที่ตกมาอยู่ในมือของตนอยู่นาน ในที่สุด เขาก็ได้หันกลับไปมองยังทิศทางที่บันไดสู่สรวงสวรรค์ตั้งอยู่อีกครั้ง ก่อนที่จะถามตัวเองขึ้นมาในใจอะไรบางอย่าง
แต่หลังจากคิดถึงความทรงพลังจากราชาสัตว์ร้ายแล้วนั้น ไหนจะสายตาที่น่าสะพรึงของทั้งสามก่อนที่จะส่งตัวเขาออกมานั่นอีก นี่ทำให้เฉินเฉียงเลิกคิดที่จะกลับไปในที่สุด
ยังไม่ต้องพูดถึงการถามคำถามที่ค้างคาใจเขา หากว่าหนึ่งในผู้อาวุโสทั้งสามผู้ที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตกตายไปจริงๆรึยังนั้น หากเขาถูกพลังจากทั้งสามตบเข้าไปสักเปรี้ยงล่ะก็ เขาบอกได้เลยว่าหากไม่ตายล่ะก็ เขาคงใช้โชคทั้งหมดไปแล้วจริงๆอย่างแน่นอน
จะดีกว่าที่ไม่ไปกวนราชาจักรพรรดิทั้งสาม
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว เฉินเฉียงก็เก็บความลึกลับของเขตแดนลับและกระดูกสีดำที่เขาได้ติดไม้ติดมือนี้ไว้ในใจ และในตอนที่เขาจะยืนขึ้นมา เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกจนลามไปทั่วทั้งตัว ราวกับเขากำลังโดนเข็มเล็กๆทิ่มแทงไปทั่วทั้งร่าง
นี่ทำให้เฉินเฉียงหอบหายใจอย่างหนัก เขาได้นั่งลงกับพื้น ขัดสมาธิ และใช้กระแสจิตตรวจสอบเข้าไปในร่างกาย และนี่ทำให้เขานั้นหน้าซีดเผือดจนกระตุกอย่างไม่หยุดยั้ง