ตอนที่ 122-1 ก่อนออกเดินทาง

ชายาเคียงหทัย

ความขัดแย้งเรื่องการพระราชทานงานสมรสระหว่างตำหนักติ้งอ๋องและคณะทูตจากแคว้นเป่ยหรงจบลงที่ต่างฝ่ายต่างทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น เมืองหลวงยังคงงดงามและวุ่นวายดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ที่เพิ่มมาก็เห็นจะมีเพียงชื่อเสียงเรื่องความบ้าบิ่นของพระชายาติ้งอ๋องเท่านั้น ถึงแม้คุณหญิงชนชั้นสูงจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันด้วยความดูแคลนและเยาะหยัน แต่ผู้ใดเลยจะกล้าปฏิเสธว่า เอาเข้าจริงตนมิได้มีความรู้สึกอิจฉาและริษยารวมอยู่ในนั้นด้วย

 

 

เยี่ยหลีไม่รับรู้รับฟังเรื่องราวที่ผู้คนพูดถึงกันที่ด้านนอกเลยแม้แต่น้อย นางยังคงจัดการเรื่องต่างๆ ภายในตำหนักติ้งอ๋องทุกวันตามปกติ หากพอมีเวลาว่างก็จะลอบออกนอกเมืองไปดูเหล่านายทหารที่ทำการฝึกอยู่

 

 

ชั่วพริบตา กำหนดวันเดินทางของคณะรับตัวองค์หญิงไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ก็มาถึง

 

 

ก่อนวันออกเดินทางหนึ่งวัน คู่สามีภรรยาที่ใกล้จะต้องแยกจากกันกลับไม่มีเวลาอยู่ร่วมกันตามลำพัง ภายในห้องหนังสือที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกกลับมีคนนั่งอยู่อย่างแน่นขนัดอย่างน้อยครั้งนักจะได้เห็น

 

 

ยามม่อซิวเหยาเดินพาเยี่ยหลีก้าวเข้ามาในห้องหนังสือนั้น ทุกคนต่างพากันอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนรีบลุกขึ้นทำความเคารพ

 

 

ม่อซิวเหยาโบกมือ “ช่างพิธีรีตองพวกนี้เถิด อาหลี คนเหล่านี้เจ้าโดยมากเจ้าคงรู้จักอยู่แล้ว ส่วนคนอื่นที่เหลือ คงเคยได้พบหน้ามาบ้างกระมัง”

 

 

เยี่ยหลีนั่งลงข้างม่อซิวเหยาด้วยท่าทีสงบนิ่ง อมยิ้มพร้อมพยักหน้า นางกวาดสายตามองไปรอบๆ ผู้ที่นั่งอยู่อย่างหัวหน้าพ่อบ้านม่อ เฟิ่งซาน เหลิ่งเฮ่าอวี่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี มีเพียงไม่กี่คนที่ดูไม่คุ้นตานัก นางหันมองไปทางม่อซิวเหยาด้วยความสงสัย

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “ท่านนี้คือท่านแม่ทัพจางฉี่หลัน เขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพตระกูลม่อในเมืองหลวงและบริเวณใกล้เคียง ท่านนี้คือซุนเยี่ยน เขาเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการทหารของหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ม่อหวา”

 

 

ม่อซิวเหยาแนะนำชายวัยกลางคนสองท่านที่ลักษณะท่าทางไม่ธรรมดาให้นางรู้จัก ก่อนเอ่ยเสียงต่ำเรียกชื่อหนึ่งขึ้น ชายในชุดสีเทาคนหนึ่งก็ทิ้งตัวลงมาจากคานห้องด้านบน ก้มหัวพร้อมเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ท่านอ๋อง พระชายา”

 

 

ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นี่คือม่อหวา เป็นหัวหน้าองค์รักษ์ลับ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ ให้ทั้งสามคน ทั้งสามคนนี้ต่างควบคุมกองกำลังและหัวใจสำคัญของตำหนักติ้งอ๋องอยู่ในมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งม่อหวา เยี่ยหลีเข้ามาอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องได้กว่าหนึ่งปีแล้ว จึงย่อมรู้ดี คนในตำหนักติ้งอ๋องที่ใช้แซ่ม่อ ต่างเป็นคนที่ม่อซิวเหยาเชื่อใจอย่างที่สุด พวกเขาต่างเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋องมาตั้งแต่สมัยม่อหลั่นอวิ๋น

 

 

จางฉี่หลันกับซุนเยี่ยนต่างรีบลุกยืนขึ้น “ข้าน้อยคารวะพระชายา”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คนกันเองทั้งนั้น ท่านแม่ทัพทั้งสองไม่ต้องมากพิธี”

 

 

เฟิ่งจือเหยากับเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่นั่งอยู่อีกด้านลอบสบตากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นแววตาประหลาดใจและมั่นใจอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย

 

 

เมื่อทุกคนต่างกลับลงนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ม่อหวาก็หายตัวไปจากห้องหนังสืออีกครั้ง เยี่ยหลีผินหน้าไปมองมุมลับตามุมหนึ่งภายในห้องหนังสือพร้อมยิ้มบางๆ ม่อหวามีความไม่พอใจนางอยู่บ้าง หรือจะว่าอีกอย่างก็คือเขาไม่เคารพนางซึ่งนางสามารถสัมผัสได้ เพียงแต่เรื่องนี้มิใช่ปัญหาที่จะต้องมาแก้ไขในยามนี้

 

 

“ท่านอ๋อง เส้นทางไปยังเป่ยหรงนั้นช่างยาวไกลนัก ไปครานี้อย่างไรก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนอย่างแน่นอน ท่านอ๋องเดินทางไปเองเพียงลำพังเช่นนี้จะเป็นการดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” จางฉี่หลันเป็นนายทหาร และเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา ในใจคิดเช่นไรก็เอ่ยเช่นนั้น

 

 

คนอื่นๆ ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้จะรู้ดีว่าเรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วนั้นมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ก็ตาม

 

 

ซุนเยี่ยนเอ่ยแสดงความเห็นว่า “ท่านอ๋อง เราควรทูลขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้กองทัพตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเดินทางอารักขาองค์หญิงและท่านอ๋องไปยังเป่ยหรงด้วยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างมีท่าทีเห็นด้วย แคว้นเป่ยหรงกับตำหนักติ้งอ๋องมีความแค้นฝังลึกกันประหนึ่งมหาสมุทร ท่านอ๋องเดินทางไปเป่ยหรงเพียงคนเดียวเช่นนี้ อย่างไรพวกเขาก็มิอาจวางใจได้

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ พร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทไม่มีทางเห็นด้วยอย่างแน่นอน อย่าว่าแต่ฝ่าบาทเลย เป่ยหรงเองก็คงไม่เห็นด้วยเช่นกัน”

 

 

หากให้กองทัพตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเดินทางอารักขาคณะส่งตัวเจ้าสาวไปด้วย เกรงว่าแม้แต่ชายแดนของเป่ยหรงก็คงเข้าไปไม่ได้ ความเป็นอริที่เป่ยหรงมีต่อกองทัพตระกูลม่อนั้นมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากองทัพตระกูลม่อเลยแม้แต่น้อย

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ทุกท่านไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเกินไปนัก ข้าเชื่อว่าคนเป่ยหรงคงใจไม่กล้าพอจะลงมือกับท่านอ๋องโดยตรงหรอก อย่างไรกองทัพตระกูลม่อกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็คงร่วมคณะไปด้วยไม่ได้แน่แล้ว แต่หากพาองครักษ์ลับสักสองสามคนไปด้วยคงไม่มีผู้ใดว่าอันใด” ส่วนเรื่องจะพาไปได้กี่คนนั้นก็ให้พวกเขาเป็นคนตัดสินใจก็แล้วกัน

 

 

เสียงพูดคุยภายในห้องหนังสือเงียบไป ทุกคนต่างหันมองไปทางม่อซิวเหยา ถึงแม้หลายปีมานี้ตำหนักติ้งอ๋องจะอยู่เงียบๆ มาโดยตลอด แต่เมื่อปีนั้นท่านอ๋องได้ประคับประคองตำหนักติ้งอ๋องที่ใกล้จะล้มครืนให้กลับฟื้นคืนมาอีกครั้งได้ด้วยร่างกายอันอ่อนแอและพิกลพิการ พวกเขาควรเชื่อมั่นว่า ในเมื่อรับปากฮ่องเต้ว่าจะเดินทางไปยังเป่ยหรงไว้แล้ว ท่านอ๋องก็ย่อมคิดวางแผนไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

 

 

ม่อซิวเหยายื่นมือไปกุมมือเยี่ยหลีไว้ หัวเราะเบาๆ พร้อมเอ่ยว่า “ในเมื่อข้าต้องไปเป่ยหรงก็ย่อมต้องมีแผนการเตรียมไว้หมดแล้ว ยามนี้เรื่องที่ต้องกังวลเป็นเรื่องหลังจากข้าไปจากเมืองหลวงเสียมากกว่า”

 

 

ทุกคนต่างอึ้งไป เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ท่านอ๋องสงสัยว่าเมื่อท่านไปจากเมืองหลวงแล้วจะมีคนคิดเล่นงานตำหนักติ้งอ๋องหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “กว่าพวกเขารอจนสบโอกาสให้ข้าเดินทางออกจากเมืองหลวงไปไกลๆ นั้นไม่ง่าย คงยากที่อีกฝ่ายจะไม่ลงมือ เมื่อข้าไปจากเมืองหลวงแล้ว ให้ทุกคนฟังคำสั่งจากพระชายา”

 

 

ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างอึ้งไป หันมองสตรีที่นั่งสงบนิ่งอยู่ข้างกายม่อซิวเหยาโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้สิ่งที่พระชายาทำมาตลอดกว่าหนึ่งปีนี้จะทำให้พวกเขานึกเลื่อมใสอยู่มาก แต่การให้เด็กสาวอายุเพียงสิบหกปีมามีอำนาจควบคุมตำหนักติ้งอ๋องทั้งหมดเช่นนี้ อย่างไรพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกข้องใจในความสามารถของนาง

 

 

ซุนเยี่ยนขมวดคิ้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ความหมายของท่านคือ…”

 

 

ม่อซิวเหยามิได้ตอบคำถามเขาในทันที แต่กลับหันมองท่านเยี่ยหลีแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อาหลี เครื่องประดับหยกที่ข้าให้เจ้าไว้เมื่อหลายวันก่อน ยังอยู่หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนนึกขึ้นได้ว่าที่ม่อซิวเหยาเอ่ยหมายถึงเรื่องใด นางก้มลงหยิบเครื่องประดับหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าในแขนเสื้อ ก่อนแบออกให้เขาดู ทุกคนหันมองด้วยความใคร่รู้ ก่อนอดสูดหายใจด้วยความตกใจไม่ได้

 

 

ในมือเยี่ยหลีเป็นหยกมันแพะสีขาวชั้นดี หยกประเภทนี้ไม่เหมาะเป็นเครื่องประดับสตรีนัก ตามปกติเยี่ยหลีจึงเพียงพกติดตัวไว้มิได้นำออกมาประดับติดตัว หยกชิ้นนั้นแกะสลักเป็นลวดลายมังกรหยาจื้อที่ดูสมจริงประหนึ่งมีชีวิต

 

 

หยาจื้อ ลูกมักรตัวที่สอง หัวเป็นมังกร ลำตัวคล้ายสุนัข มีรังสีสังหาร และชื่นชอบการสงคราม เพียงแต่ สิ่งนี้เป็นตราทหารที่แท้จริงของตำหนักติ้งอ๋อง กองทัพตระกูลม่อกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนั้นไม่มีตราทหารที่ใช้เป็นของตนเอง กองทัพทั้งหมดมีเพียงติ้งอ๋องผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถบัญชาการได้ แต่นั่นก็มีข้อยกเว้น นั่นคือพระชายาติ้งอ๋องที่ถือเครื่องปรับดับหยกหยาจื้อไว้ในมือ จะมีอำนาจเทียบเท่ากับตัวท่านติ้งอ๋อง และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ทุกคนต่างเข้าใจกันไปว่าชายาติ้งอ๋องสามารถสั่งการกองทัพตระกูลม่อกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้เช่นเดียวกับติ้งอ๋อง แต่อันที่จริงแล้วชายาติ้งอ๋องในประวัติศาสตร์ที่มีอำนาจในมือเช่นนี้มีอยู่เพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น เหตุผลก็คือชายาติ้งอ๋องคนอื่นๆ มิได้มีหยกชิ้นนี้อยู่ในครอบครองนั่นเอง

 

 

“ท่านอ๋อง…พระชายายังเด็กเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ จะไม่…” จางฉี่หลันเอ่ยด้วยความเป็นกังวล ท่านอื่นๆ ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปาก แต่สีหน้าของพวกเขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเห็นด้วยกับคำพูดของเขา

 

 

พระชายามีความสามารถที่โดดเด่นเหนือผู้อื่นนั้นจริงอยู่ หากได้ขัดเกลาและฝึกปรืออีกสักสองสามปีอาจสามารถรับหน้าที่นี้ได้ แต่พระชายาในยามนี้ อายุเพิ่งสิบหกปี และเพิ่งเข้ามาเป็นนายหญิงของตำหนักได้เพียงหนึ่งปี จึงทำให้ผู้คนอดรู้สึกวางใจไม่ลง

 

 

เฟิ่งจือเหยาอมยิ้มลุกยืนขึ้น ก่อนหันมาคารวะเยี่ยหลี “เฟิ่งจือเหยาเคารพคำสั่งของท่านอ๋อง จะเชื่อฟังคำสั่งพระชายาเป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนลุกยืนขึ้นตามเฟิ่งจือเหยา “ข้าจะเชื่อฟังคำสั่งของพระชายาเป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เฟิ่งซาน เหลิ่งเอ้อร์ พวกเจ้า…” จางฉี่หลันหันมาถลึงตาใส่เด็กหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งสองคนด้วยความร้อนใจ