ตอนที่ 122-2 ก่อนออกเดินทาง

ชายาเคียงหทัย

เฟิ่งจือเหยายืนยิ้มพัดพัดในมือด้วยท่าทีสบายๆ “ท่านแม่ทัพจางคิดมากเกินไปแล้ว พระชายามีความรู้ทั้งด้านบุ๋นบู๊และกลยุทธ์ทางการทหารอย่างหาตัวจับยาก เมื่อปีนี้ก็สามารถใช้ทหารเพียงสองสามหมื่นนายในการต้านทัพใหญ่ของหลีอ๋องจำนวนนับแสนนายและรักษาเมืองหย่งหลินไว้ได้ ทั้งยังสามารถกำจัดศัตรูไปได้หลายหมื่นนาย และถึงขั้นกำจัดกองทัพทางปีกซ้ายและขวาของหลีอ๋องได้อีก ผู้ใดกล้ากล่าวว่าพระชายาไม่เชี่ยวชาญด้านการทหารหรือ”

 

 

จางฉี่หลันชะงักไป เข้าย่อมเคยได้ยินเรื่องที่พระชายารักษาเมืองในเขตหย่งโจวไว้ได้ แต่ก็มิได้คิดว่าเป็นเรื่องจริง เพราะถึงอย่างไรยามนั้นก็มีมู่หรงเซิ่นประจำการอยู่ที่หย่งโจว อีกทั้งพระชายาก็เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งเท่านั้นอีกด้วย อีกทั้งในประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยมีสตรีที่ออกไปทำศึกมาก่อน จึงคิดเพียงว่าพระชายากับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่ที่เมืองหย่งหลินพอดี จึงได้ออกคำสั่งให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเข้าให้ความช่วยเหลือในการรักษาเมืองไว้เท่านั้น แต่เมื่อได้ยินเฟิ่งจือเหยาพูเช่นนี้ ก็ทำให้รู้ว่าเรื่องราวคงไม่เหมือนกับที่ตนคิดเอาไว้เสียแล้ว

 

 

ก่อนหน้านี้เฟิ่งจือเหยาเป็นผู้ดูแลหน่วยองครักษ์ลับและคอยสืบข่าวอยู่หลายปี ไม่มีทางพูดสิ่งใดออกมาโดยไม่รู้อย่างแน่นอน แม่ทัพทั้งหลายที่มีลูกน้องเป็นทหารจึงหันมองทางเยี่ยหลีอย่างสำรวจตรวจสอบ ตามปกติพวกเขาอยู่กันแต่ในค่ายทหาร โดยส่วนตัวจึงไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับเยี่ยหลีมาก่อน ย่อมไม่รู้จักนางดีเท่ากับเฟิ่งจือเหยาหรือเหลิ่งเฮ่าอวี่ ยามนี้เมื่อได้ยินเฟิ่งจือเหยาเอ่ยเช่นนี้ จึงเริ่มรู้สึกว่าที่ตนนึกสงสัยในการตัดสินใจของท่านอ๋องนั้นจะเป็นการเสียมารยาทเกินไปหรือไม่

 

 

เยี่ยหลีเก็บเครื่องประดับหยกกลับเข้าที่ ก่อนเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้กับท่านแม่ทัพทุกคนที่นั่งอยู่พร้อมเอ่ยว่า “ข้าอายุยังน้อย ยังขาดประสบการณ์อีกมาก ต่อไปคงต้องขอให้พวกท่านช่วยชี้แนะด้วย”

 

 

เยี่ยหลีพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบตามปกติ แต่ท่านแม่ทัพทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงความเฉียบคมและรังสีสังหารที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้อย่างชัดเจน คนที่ไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อนจะไม่มีทางมีรังสีเช่นนี้ อีกทั้งพระชายาที่อายุยังน้อยผู้นี้ยังสามารถสำรวมท่าทีเหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างมิดชิดอีกด้วย หากไม่ลองสังเกตดีๆ จริงๆ จะรับรู้ไม่ได้เลยแม้จนนิดเดียว จะรับรู้เพียงสตรีตรงหน้าเป็นเพียงหญิงสาวที่ใสซื่ออย่างที่ตาเห็นเท่านั้น

 

 

ทุกคนต่างนึกใจสั่น ก่อนพากันก้มศีรษะลงพร้อมเอ่ยว่า “ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยากวาดตามองทุกคนด้วยความพอใจ พยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ดีมาก เมื่อข้าไปจากเมืองหลวงแล้ว งานทุกอย่างของตำหนักติ้งอ๋องให้พระชายาให้ผู้ตัดสินใจ คำสั่งของพระชายาก็คือคำสั่งของข้า เข้าใจหรือไม่”

 

 

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนเอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน

 

 

การพูดคุยอย่างลับๆ ภายในห้องหนังสือดำเนินต่อไปจนถึงกลางดึก จนเมื่อส่งทุกคนกลับไปแล้ว ทั้งสองจึงได้เดินจับจูงกันออกมาจากห้องหนังสือ เห็นเพียงพระจันทร์เสี้ยงที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าเท่านั้น

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองบุรุษรูปงามที่ยืนอยู่ข้างกาย อดนึกหวิวในใจไม่ได้ ความรู้สึกไม่อยากแยกจากค่อยๆ เข้าครอบคลุมจิตใจของนาง

 

 

“อาหลี เป็นอันใดหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบา

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า สลัดความขุ่นมัวในใจออกไป ส่งยิ้มให้เขาพร้อมเอ่ยว่า “ท่านต้องเดินทางไปเป่ยหรง อย่างไรข้าก็ไม่วางใจนัก ข้าเลือกคนไว้สองสามคน ท่านนำพวกเขาไปเป่ยหรงด้วยเถิด”

 

 

ม่อซิวเหยาระบายยิ้ม เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “คนเก่งเช่นใดกัน อาหลีถึงได้วางใจเช่นนี้ หรือว่ายังมียอดฝีมือที่ข้าไม่รู้อยู่อีกหรือ”

 

 

เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ “หากเป็นไปได้ข้าไม่ก็อยากให้พวกเขาไปกับท่านหรอก เพราะการฝึกของพวกเขายังต้องผ่านการทดสอบที่ยังไม่เรียบร้อยดี แต่ครานี้ฝ่าบาทจะต้องไม่ยอมให้ท่านนำคนของตำหนักติ้งอ๋องติดตามไปด้วยมากนักเป็นแน่ องครักษ์ที่จะนำไปด้วยได้คงมีจำกัด ท่านนำพวกเขาไปด้วยก็แล้วกัน”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ในเมื่ออาหลีมีความมั่นใจเช่นนี้ ข้าก็ชักอยากเห็นผลงานในช่วงหนึ่งเดือนกว่ามานี้เสียหน่อยแล้ว”

 

 

เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ ก่อนยกมือขึ้นปรบเบาๆ สองที

 

 

ม่อซิวเหยามองสำรวจโดยรอบอย่างระมัดระวัง ดวงตาเป็นประกายพร้อมเอ่ยว่า “องครักษ์ลับระวังตัว!”

 

 

ภายในความมืด เกิดเสียงความเคลื่อนไหวขึ้นเบาๆ เพียงครู่ ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ไม่นานก็มีเงาคนกระโดดลงมาจากต้นไม้บ้าง กำแพงบ้าง หลังคาบ้าง ก่อนมายืนเรียงแถวกันอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างเอ่ยเสียงขรึมว่า “เชิญคุณชายสั่งการขอรับ”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดูออกว่าเป็นข้าหรือ ดูท่าหลินหานคงจะสอนพวกเจ้าได้ไม่เลวนัก ท่านอ๋อง เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ม่อซิวเหยาได้แต่ส่ายหน้า “ดูท่าองครักษ์ลับควรได้รับการฝึกใหม่ทั้งหมดเสียแล้ว” คนพวกนี้ดูท่าทางมิได้มีวิทยายุทธสูงส่งเท่าไรนัก แต่กลับสามารถลักลอบเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋องได้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้ แล้วยังสามารถล้มศัตรูที่เป็นรุ่นพี่พวกเขาถึงสองรุ่นได้อีก ไม่อาจไม่ยอมรับว่าความสามารถของพวกเขาช่างน่าตกใจยิ่งนัก บางทีหลายปีมานี้องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องคงจะภูมิใจในตนเองมากจนเกินไปเสียแล้ว

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องนึกหัวเสียไป ที่พวกเขาสามารถเข้ามาได้โดยไร้ซุ่มเสียงเช่นนี้ ก็ด้วยเพราะรู้ถึงการอารักขาภายในตำหนักมาก่อน และอันที่จริงการวางกำลังอารักขาของตำหนักติ้งอ๋องก็มิได้มีรูรั่วที่ใหญ่โตมากนัก”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “อาหลีไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก และข้าก็จะไม่โทษพวกเขาด้วย องครักษ์ภายในจวนไปอยู่ที่ใดกันหมด”

 

 

ไม่นาน องครักษ์ลับและองครักษ์จำนวนสิบกว่าคนก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าหดหู่ บรรดาองครักษ์ลับต่างก้มหน้าก้มตาด้วยความอับอาย ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขาถือว่าตนเองเป็นองครักษ์ที่เก่งกาจที่สุดในตำหนักติ้งอ๋อง แต่กลับปล่อยให้คนนอกเล็ดลอดเข้ามาได้อย่างไร้ซุ่มเสียง หากเป็นศัตรูที่คิดเข้ามาลอบทำร้าย และเกิดอันใดขึ้นกับท่านอ๋องและพระชายา ต่อให้พวกเขาต้องตายเป็นหมื่นครั้งก็คงชดใช้ความผิดนี้ไม่หมด

 

 

ม่อซิวเหยามองทั้งแปดคนที่ยืนตัวตรงอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาใคร่รู้ เมื่อเทียบกันแล้ว เขารู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ดูไม่เหมือนกองทัพตระกูลม่อ หน่วยเฮยอวิ๋นฉีหรือองครักษ์ลับเอาเสียเลย แต่เขารู้ดีว่า คนเหล่านี้ก็เป็นคนที่ได้รับคัดเลือกมาจากสามหน่วยนั้นจริง ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงสองเดือนก็สามารถสลัดคราบเก่าทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นคนละคนได้เช่นนี้ คงต้องยอมรับว่าชายารักของเขา เก่งกาจด้านการฝึกฝนคนจริงๆ “อาหลี พวกเขาคงมิได้เชี่ยวชาญเฉพาะการลอบทำร้ายเท่านั้นกระมัง”

 

 

เยี่ยหลีเชิดคางขึ้นเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจว่า “แน่นอนว่ามิใช่ หากไม่ใช้กำลังภายในและอาศัยเพียงร่างกายแล้ว พวกเขาแต่ละคน อย่างน้อยสามารถล้มทหารยอดฝีมือสิบห้านายได้อย่างสบายๆ พวกเขาแต่ละคนสามารถใช้อาวุธสงครามทุกประเภทได้อย่างคล่องแคล่ว และไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว การโจมตีแบบหมู่คณะ การรบยามค่ำคืน การรบทางน้ำ การลอบฆ่า การแทรกซึมหรือการลอบโจมตียามดึก ก็ล้วนสามารถทำได้ทั้งสิ้น นอกจากนี้พวกเขายังสามารถทำอันใดได้อีก พวกเจ้าพูดให้ท่านอ๋องฟังเองก็แล้วกัน”

 

 

นายทหารคนที่ยืนอยู่หัวแถวเริ่มเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก “เรียนท่านอ๋อง เดิมข้าน้อยอยู่กองทัพตระกูลม่อ เชี่ยวชาญด้านการลอบสังหาร และการแทรกซึม และข้าน้อยยังพูดภาษาเป่ยหรงและหนานจ้าวได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ข้าน้อยเดิมอยู่หน่วยเฮยอวิ๋นฉี เชี่ยวชาญด้านการยิงธนูและมวยปล้ำพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ข้าน้อยเดิมเป็นองครักษ์ลับ เชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉม กำลังภายในและศาสตร์ยาพิษขอรับ…”

 

 

“…”

 

 

เมื่อฟังรายงานของพวกเขาจบ ถึงแม้จะเป็นม่อซิวเหยา ก็ยังอดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้ “อาหลีช่างเก่งกาจเสียจริง คนพวกนี้ให้ข้าจริงๆ หรือ”

 

 

เยี่ยหลีปรายตามองเขา เอ่ยอย่างไม่เห็นขันว่า “หรือคิดว่าข้าจะนำมาให้ท่านอิจฉาเล่นอย่างนั้นหรือ” พูดจบนางก็ไม่สนใจท่าทีของม่อซิวเหยาอีก หันมองทุกคนที่อยู่ในลานแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในทหารที่เข้ารับการฝึกเป็นรุ่นแรก และดูเหมือนพวกเจ้าจะฝึกฝนการฝึกในช่วงแรกได้สำเร็จก่อนกำหนดเวลา เดิมทีพวกเจ้ายังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนในการเรียนรู้ทักษะอื่นๆ แล้วค่อยรับการทดสอบ แต่ยามนี้จำเป็นต้องให้พวกเจ้ารับภารกิจก่อนล่วงหน้า ข้าขอโทษด้วย”

 

 

คนที่อยู่หัวแถวเอ่ยขึ้นว่า “การได้รับใช้ท่านอ๋องและพระชายาถือเป็นเกียรติของพวกเราพ่ะย่ะค่ะ พระชายาได้โปรดออกคำสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ดีมาก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะเป็นองครักษ์ติดตามตัวท่านอ๋อง จนกว่าท่านอ๋องจะกลับมาจากเป่ยหรง ดังนั้น ภารกิจแรกของพวกเจ้าก็คือการอารักขา ยามนี้ ข้าต้องการให้ท่านอ๋องกลับมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ทำได้หรือไม่”

 

 

“ข้าน้อยรับบัญชา ข้าน้อยขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งหมดเอ่ยขึ้นพร้มกัน

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดีมาก ครานี้มิได้เป็นเพียงภารกิจ แต่ถือเป็นบททดสอบของพวกเจ้าด้วย และเพราะนี่เป็นภารกิจแรกของพวกเจ้า ข้าจะให้หลินหานติดตามไปด้วย เขาไม่ได้เป็นเพียงหัวหน้าของพวกเจ้า แต่จะเป็นคนทดสอบพวกเจ้าด้วยเช่นกัน ทุกท่าน ขอให้เดินทางปลอดภัย”

 

 

“ขอบพระคุณขอรับคุณชาย”