บทที่ 74.2 ทักษะสังเวยธาตุมืด (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

อย่างไรก็ตาม ผู้ชมที่เฉลียวฉลาดสามารถบอกได้ว่านี่อาจเป็นจุดจบของกลุ่มนักรบเหมี่ยวในงานประลองครั้งนี้ เจี่ยงเฟยวู่วามเกินไป เธอถึงกับใช้ทักษะสังเวยออกมาในงานประลองรอบแรก แม้ว่ามันอาจจะไม่สร้างความเสียหายให้กับตัวเองเท่ากับทักษะเปลวไฟแห่งชีวิต แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเพื่อพักฟื้นให้กลับมามีพลังเต็มที่ดังเดิม หากไม่มีพลังของเธอ กลุ่มนักรบเหมี่ยวจะไปถึงอันดับ 2 ของสายได้อย่างไร โดยเฉพาะงานประลองรอบนี้ที่พวกเขามีแนวโน้มว่าจะแพ้ด้วย

จู่ๆ ก็มีชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า เขาสวมเสื้อคลุมของสำนักกักเก็บทักษะ ทว่าบนศีรษะกลับมีมงกุฎสีม่วงทองประดับอยู่ เขาก้าวเดินกลางอากาศอย่างเนิบนาวราวกับกำลังเดินขึ้นบันไดบ้านตนเอง ไม่นานเขาก็ไปหยุดยืนอยู่บนเวทีการประลอง

ชายชรายกมือขวาขึ้น ใช้มือผลักอากาศลงไปที่เวที จากนั้นผู้ชมทั้งหลายต่างก็มองเห็นได้ชัดเจนว่าอากาศรอบๆกำลังบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงขณะที่แสงสีเงินสว่างวาบขึ้น ทันใดนั้นบนเวทีขนาดใหญ่ที่เคยมีสภาพเสียหายยับเยินก็สลายหายไปทั้งหลัง! ทั้งยังไม่มีแม้แต่ร่องร่อยเศษฝุ่นหลงเหลือไว้ให้เห็น

สมาชิกกลุ่มนักรบทุกๆ คนที่กำลังสนทนากันอยู่อย่างคึกคักก็เงียบเสียงลงทันทีเมื่อได้เห็นภาพนั้น ราวกับว่าลำคอของพวกเขาถูกบีบโดยมือที่มองไม่เห็น ทั้งจตุรัสตกอยู่ในความเงียบที่แสนแปลกประหลาด ผู้คนต่างจับตาดูชายชราด้วยความปลาบปลื้มใจ

จากนั้นชายในชุดเครื่องแบบสำนักกักเก็บทักษะจ้งเทียนหลายคนก็เดินออกมาพร้อมกับแบกหินเพชรก้อนใหญ่ออกมาด้วย เวลาผ่านไปเพียงชงชาร้อนได้ 1 กา แท่นเวทีหลังใหม่ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว

ชายชราที่ลอยตัวอยู่ในอากาศกล่าวอย่างเฉยเมย “ดำเนินการประลองต่อไปได้” หลังจากพูดจบก็ดูเหมือนว่าเขาจะก้าวเท้าเหยียบขึ้นไปกลางอากาศและหายตัวไปจากที่นั่นทันที

หากสังเกตให้ดีก็จะพบว่าบริเวณมุมแท่นนั่งของผู้ชมระดับสูงมีชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน

เย่เป่าเปากลืนน้ำลายและพูดอย่างยากลำบาก “นี่มันพลังระดับไหนกันแน่?”

โจวเหว่ยชิงถอนหายใจและพูดว่า “ทักษะธาตุมิติ…ถ้าข้าเดาไม่ผิดเขาน่าจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาที่มีทักษะธาตุมิติ อ๊าาา บ้าเอ้ย แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ไม่น่าแปลกใจที่เขาเล่าลือกันว่าหากมีมณีตั้งแต่ 9 ชุดเป็นต้นไปก็จะได้เหยียบย่างเข้าสู่โลกอีกใบโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับชายชราคนนั้น ข้าแน่ใจว่าเขาสามารถกำจัดพวกเราทั้ง 24 กลุ่มออกไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเสียเหงื่อสักหยด”

หลังจากพูดจบ โจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืนและมุ่งหน้าไปที่เวที ในขณะที่อีกด้าน เด็กหนุ่มร่างอวบอ้วนจากกลุ่มนักรบเหมี่ยวก็เดินออกมาเช่นกัน

ผู้ตัดสินเองก็ถูกเปลี่ยนออกไป ไม่นานผู้ตัดสินคนใหม่ก็กล่าวขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม “กลุ่มนักรบเฟยหลี่กับกลุ่มนักรบเหมี่ยว การประลองแบบเดี่ยวรอบที่ 4 ผู้เข้าร่วมทั้งสองโปรดแนะนำตัวเอง”

“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ โจวเหว่ยชิง”

“กลุ่มนักรบเหมี่ยว หนอนน้อย”

เมื่อได้ยินชื่อของฝ่ายตรงข้าม โจวเหว่ยชิงก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา เขาคิดกับตัวเองว่า ดูจากขนาดร่างกายแล้ว เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่านหนอนน้อยอีกหรือ!? เจ้าควรจะเรียกตัวเองว่าหนอนเจ้าเนื้อมากกว่า!

“เริ่มได้”

ในขณะที่ผู้ตัดสินตะโกนออกไป การต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการและทั้งสองฝ่ายก็เริ่มลงมือทันที หนอนน้อยก้าวถอยหลังกะทันหันสองก้าว จากนั้นก็ยกแขนขึ้นพร้อมกับแสงสีเหลืองเข้มข้นที่ส่องประกายแวววาวออกมา ทันใดนั้นกำแพงดินก็ก่อตัวขึ้นสูงต่อหน้าเขาราวกับโล่ปราการขนาดมหึมา เขาขยับตัวอีกครั้งเพื่อผลักกำแพงกว้าง 3 หลา สูง 2 หลานี้พุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงพร้อมกับร่างของตัวเอง

ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? โจวเหว่ยชิงอดสงสัยไม่ได้ขณะที่ปลดปล่อยมณีสวรรค์ของตัวเองออกมาบ้าง

หนอนน้อยวิ่งค่อนข้างเร็ว ไม่นานกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าก็ก่อตัวขึ้นมาบนเวทีการประลอง ปิดล้อมโจวเหว่ยชิงไว้จากทั้งสองข้าง บีบให้เขาอยู่ในกรอบแคบๆ และจำกัดความเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้

เมื่อหนอนน้อยปลดปล่อยกำแพงดินของเขาออกมา โจวเหว่ยชิงก็มองเห็นมณียุทธ์ที่อยู่รอบๆ มือขวาของเขาทันที มันคือหยกน้ำแข็ง 3 ดวงที่เป็นประเภทความแข็งแกร่งคล้ายกับของเขา เรื่องนั้นเป็นไปตามที่โจวเหว่ยชิงคาดไว้ สมาชิก 3 คนแรกที่ปรากฏตัวขึ้นมาในแต่ละรอบถือว่าทรงพลังที่สุดในบรรดาสมาชิกกลุ่มนักรบเหมี่ยวแล้ว

เมื่อเฝ้ามองดูหนอนน้อยวิ่งผลักกำแพงดินเข้าหาเขา ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะทำแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวลูกศรของโจวเหว่ยชิงจึงใช้กำแพงดินเหล่านี้ป้องกันลูกศรและจำกัดการเคลื่อนไหวของเขาไปพร้อมๆกัน สำหรับการจู่โจมโดยการผลักกำแพงเข้าหาอีกฝ่ายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหมอนั่นกำลังจะใช้กำแพงดันเขาให้ตกจากเวทีประลอง แม้ว่าแผนนี้จะค่อนข้างแปลกประหลาดไปเสียหน่อย แต่ด้วยกฎของงานประลองที่ว่าใครหล่นจากเวทีคือแพ้ หากนำแผนนี้มาใช้กับนักธนูธรรมดาๆ มันก็ยังมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้จริงๆ เสียด้วย

อนิจจา โจวเหว่ยชิงไม่ใช่นักธนูทั่วๆ ไป และเขาก็ยังเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเขายังเหนือชั้นกว่าจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่งทั่วๆ ไปเช่นเดียวกับอู่หยา!

ตอนนี้กำแพงของหนอนน้อยอยู่ห่างจากตัวเขาไปไม่ถึง 10 หลา ทว่าในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจะตอบสนอง จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกกดลงข้างล่างด้วยแรงดันบางอย่าง ทั้งเวทีดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังแปลกประหลาดที่ดึงดูดร่างของเขาให้ทรุดแนบลงไปที่พื้นและขัดขวางการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาเอาไว้

นี่มันคืออะไรกัน? ทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงงั้นรึ? โจวเหว่ยชิงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เพราะถึงอย่างไรในบรรดาทักษะธาตุดินทั้งหมด ทักษะนี้ก็เป็นทักษะระดับ 9 ดาวที่ทรงพลังมาก มณีที่เพิ่มขึ้นแต่ละดวงสามารถเพิ่มแรงโน้มถ่วงขึ้นได้ 1 เท่าตัว เนื่องจากหนอนน้อยมีมณี 3 ชุด เขาจึงสามารถเพิ่มแรงโน้มถ่วงได้ถึง 3 เท่า แม้ว่าทักษะนี้จะเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ไปเป็นจำนวนมหาศาลและยังเป็นทักษะที่ให้ผลกระทบวงกว้าง แต่ก็ยากมากที่จ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณีเพียง 3 ชุดจะมีทักษะเช่นนี้ได้ ทุกคนย่อมเห็นพลังของมันจากแสงสีเหลืองที่เรืองรองอยู่รอบเท้าของโจวเหว่ยชิง

เมื่อเขาเปิดใช้งานทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงนี้ หนอนน้อยก็เร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหันโดยการระเบิดพลังของพลังของตนออกมาอย่างเต็มที่ หวังว่าจะใช้โอกาสนี้ผลักโจวเหว่ยชิงออกจากสนามประลองให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ช่างเป็นทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงที่น่าประทับใจจริงๆ! โจวเหว่ยชิงชื่นชมด้วยหัวใจ เห็นได้ชัดว่าหนอนน้อยรู้ว่าเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่งเช่นกัน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงรู้ว่าการใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเข้าปะทะกับเขาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะจัดการกับโจวเหว่ยชิงได้ ดังนั้นเขาจึงใช้ทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงนี้เป็นการจู่โจมกะทันหันอีกทาง

อย่างไรก็ตาม เป็นอีกครั้งที่วลี ‘แผนการช่างยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่มาพบกับคนอย่างโจวเหว่ยชิง’ ถูกนำมาใช้

โจวเหว่ยชิงพยายามฝืนยกไหล่ของตนเอาไว้เพื่อรั้งไม่ให้เขาล้มลง เขาก้าวไปข้างหน้า 1 ก้าวอย่างอดทนและเตรียมที่จะปะทะกับกำแพงโดยตรง แม้ว่าจะอยู่ภายใต้ผลของแรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้น แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังสามารถฝืนตั้งท่ารับการโจมตีของอีกฝ่ายได้

*ตูม* เกิดเสียงดังก้องไปทั่วจตุรัสขณะที่หนอนน้อยใช้พลังทั้งหมดของตนกระแทกกำแพงดินเข้าที่ไหล่ของโจวเหว่ยชิงอย่างโหดเหี้ยม อย่างไรก็ตาม กำแพงกลับยังคงนิ่ง ไม่สามารถขยับต่อไปอีกแม้แต่นิ้วเดียว

อีกด้านหนึ่งของกำแพงดิน หนอนน้อยได้ออกแรงจนสุดกำลังแล้ว แต่ก็เขากลับพบว่าตนไม่สามารถดันกำแพงต่อไปได้อีก ด้านโจวเหว่ยชิง เขาดูมีความแน่วแน่และตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อราวกับว่ากำลังประสบกับช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ทว่าก็ยังคงต้องอดกลั้นต่อไป

ย้อนกลับไปในเรือนพัก อู่หยาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ปิงเอ๋อร์ ผู้ชายของเจ้ารู้จักแสดงละครดีจริงๆ” ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงกำแพงดินและคู่ต่อสู้ที่มีมณี 3 ชุดเท่านั้น เขาจะต้องทำสีหน้าอดกลั้นขนาดนั้นเชียว? ถ้านั่นคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาล่ะก็ ก่อนหน้านี้เธอคงไม่แพ้เขาแน่!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ส่วนเย่เป่าเปาก็พยักเพยิดไปทางอื่นพลางพูดว่า “น้องอู่หยา นี่เป็นกลยุทธ์น่ะ เพราะถึงอย่างไรกลุ่มนักรบเหมี่ยวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเราอยู่ดี เจ้าไม่ได้มีแผนซุกซ่อนพลังที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ด้วยหรือ ข้าไม่เห็นเจ้าปลดปล่อยมณีธาตุออกมาด้วยซ้ำ”

แม้ทั้ง 2 คนบนเวทีดูเหมือนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่สมาชิกคนอื่นๆ ของกลุ่มนักรบเหมี่ยวกลับกำลังมีสีหน้าน่าเกลียด ท้ายที่สุดแม้ว่าทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะกำลังดิ้นรนต่อสู้อย่างเต็มที่ แต่ก็เห็นชัดเจนว่าการใช้ทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงและกำแพงดินทำให้หนอนน้อยต้องสูญเสียพลังปราณสวรรค์ไปอย่างมหาศาล สถานการณ์ดังกล่าวกำลังบอกใบ้ว่าเขาได้พ่ายแพ้ให้แก่โจวเหว่ยชิงแล้ว ความจริงแล้วความสามารถในการต่อสู้ของหนอนน้อยก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นตั้งแต่แรก ทว่าเนื่องจากเขาโชคดีที่กักเก็บทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงมาได้ นั่นจึงทำให้เขาได้รับตำแหน่งสมาชิกหลักในกลุ่ม

ตามที่คาดไว้ เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ คนทั้งคู่ที่ตกอยู่ในสถานะการณ์จนมุมเหมือนกันก็เริ่มมีสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะออกแรงมากเกินไป แรงผลักของหนอนน้อยค่อยๆ อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ ในขณะที่แรงต่อต้านของโจวเหว่ยชิงก็ลดลงในอัตราที่ใกล้เคียงกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งคู่จึงคงยันกันเอาไว้ได้อย่างไม่มีใครยอมใคร!

เพื่อชัยชนะครั้งนี้ หนอนน้อยทุ่มเททุกอย่างที่มี เกือบจะถึงขั้นยอมสละชีวิตด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่บางครั้งหัวใจอาจมุ่งมั่น แต่ร่างกายกลับไม่ยอมตอบสนอง ในที่สุดพลังปราณสวรรค์ของเขาก็หมดลง เมื่อถึงเวลานั้น เขาไม่สามารถคงรูปทักษะกำแพงดินและทักษะเพิ่มแรงโน้มถ่วงได้อีกต่อไป ไม่นานหนอนน้อยก็ล้มลงก้นจ้ำเบ้า หอบหายใจหนักหน่วงขณะที่เหงื่อไหลท่วมไปทั้งตัว

การแสดงของโจวเหว่ยชิงนั้นยอดเยี่ยมเหมือนเช่นเคย เมื่อทักษะของฝ่ายตรงข้ามสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว เขาก็แกล้งสะดุดไปข้างหน้าอย่าง “แทบจะทรงตัวไม่อยู่” และหอบหายใจเข้าออกอย่างไร้เรี่ยวแรงเหมือนฝ่ายตรงข้าม อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงยืนอยู่พร้อมกับเอามือเท้าเอวด้วยท่าทางที่คล้ายกับจะบอกว่า “ข้าก็เกือบจะล้มคว่ำไปเหมือนกันนั่นแหละ แต่เผอิญรั้งตัวเองเอาไว้ได้น่ะ!”

ตั้งแต่งานประลองมณีสวรรค์เริ่มต้นมาจนถึงตอนนี้ อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการประลองที่แปลกประหลาดที่สุด อู่หยาผู้ลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมเหลือเชื่อ ทักษะสังเวยธาตุมืด สงครามผลักกำแพง…การต่อสู้แต่ละครั้งนั้นดูจะ…เอ่อ…แปลก…ประหลาดมาก…

ผู้ตัดสินมองผู้เข้าร่วมประลองที่กำลังหอบเหนื่อยทั้ง 2 คนอย่างหมดคำจะกล่าว ก่อนจะประกาศผลในท้ายที่สุด “การประลองครั้งที่ 4 ชัยชนะตกเป็นของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ สายที่ 3 การประลองชุดแรก กลุ่มนักรบเฟยหลี่ชนะกลุ่มนักรบเหมี่ยว”

โจวเหว่ยชิงยกมือขึ้นอย่างสุภาพ ก่อนจะยื่นมือเข้าไปช่วยหนอนน้อยอย่างใจกว้าง และถอนหายใจอย่างเห็นอกเห็นใจ “พี่ชาย นี่นับเป็นการต่อสู้ที่สูสีมาก ช่างเป็นการประมือที่ยอดเยี่ยมจริงๆ! ขอให้ท่านโชคดีในการประลองครั้งต่อไป” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ลงจากเวทีและกลับไปที่เรือนพักทันที

บนแท่นนั่งของผู้ชมระดับสูง จักรพรรดิซ่างกวนเทียนซินแห่งอาณาจักรจ้งเทียนมองไปยังซ่างกวนหลงหยินที่นั่งข้างๆ เขา ยิ้มจางๆ พลางพูดว่า “หลงหยิน เจ้าคิดยังไงกับอันธพาลตัวน้อยนั่น?”

ซ่างกวนหลงหยินกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เขาใช้ทักษะธาตุมิติและทักษะธาตุสายฟ้า เมื่อรวมกับธนูศาสตรามณียุทธ์ เขาต้องมีบางอย่างที่น่าสนใจแน่นอน ทักษะธาตุมิตินั้นมาจากจักรพรรดิสีเงินและข้าก็ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้สำนักกักเก็บทักษะเฟยหลี่สามารถจับมาได้ตัวหนึ่ง …แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาทำอย่างไรให้จ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดผู้นี้กักเก็บทักษะจากจักรพรรดิสีเงินได้สำเร็จ”

ซ่างกวนเทียนซินยิ้มและพูดว่า “ข้ารู้สึกว่าอันธพาลน้อยผู้นี้ไม่ได้เป็นอย่างที่คนภายนอกเห็น ก่อนหน้านี้สาวน้อยจากอาณาจักรเหมี่ยวก็สูญเสียการควบคุมร่างกายไปอย่างลึกลับ…จากสิ่งที่ข้าเห็น นั่นต้องมีความเกี่ยวข้องกับเขาแน่”

การแสดงออกของซ่างกวนหลงหยินเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิ้วของเขาโค้งขึ้นทันที “ฝ่าบาททรงช่างสังเกตจริงๆ ข้าจะจับตาดูเขาให้ละเอียดในการประลองรอบต่อๆ ไป มาดูกันว่าเขาจะมีอะไรซุกซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อบ้าง”

ณ เวลานี้ ทั้งสองด้านของเรือนพักกลุ่มนักรบเฟยหลี่ สมาชิกของกลุ่มตัวเต็งต่างก็กำลังมีสีหน้าดูถูกเหยียดหยามพวกเขา

เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าซีดเซียวและดูอ่อนแอกล่าวว่า “กลุ่มนักรบเฟยหลี่ปีนี้มีพลังอยู่ในระดับแค่นี้เองหรือ? จากสมาชิก 3 คน 2 คนมีมณี 3 ชุด ส่วนอีกคนก็มีมณี 4 ชุด พลังของพวกเขาอ่อนแอกว่ากลุ่มที่มาในประลองครั้งที่แล้วด้วยซ้ำ ดูเหมือนปีนี้พวกเขาจะไม่อาจรักษาอันดับที่ 5 ไว้ได้เสียแล้ว เช่นนั้นปีนี้อาณาจักรป่ายต้าคงจะได้ขึ้นไปข้างบนพร้อมกับพวกเราแทน”