บทที่ 74.3 ทักษะสังเวยธาตุมืด (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ใจกลางเรือนพักอาณาจักรตันตุ้นปรากฏร่างของหญิงสาวผมยาวผู้งดงามอายุราว 18 ปีขึ้นผู้หนึ่ง แม้มีสีหน้าสงบนิ่งเฉย ทว่าใบหน้าของเธอกลับมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ และเธอก็ดูสงบนิ่งราวกับว่าไม่มีอะไรสามารถทำให้เดือนเนื้อร้อนใจได้

“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินคนพวกนั้นเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวมณีสวรรค์ระดับ 3 ชุดทั้ง 2 คนของพวกเขาก็น่าสนใจมากทีเดียว…คนหนึ่งมีความแข็งแกร่งทางกายภาพที่น่าประทับใจ ส่วนอีกคนหนึ่งมีทักษะการยิงธนูที่ยอดเยี่ยม ที่สำคัญคือคนผู้นั้นฉลาดเจ้าเล่ห์มาก นอกจากนี้ อาณาจักรเฟยหลี่อาจไม่ได้ส่งพวกเขามาแค่ 4 คน การประลองเพิ่งเริ่มและยังไม่มีอะไรแน่นอน น่าเสียดายที่ในการต่อสู้รอบอุ่นเครื่องพวกเราไม่ได้เห็นฝีมือการต่อสู้ของอาณาจักรจ้งเทียน อาณาจักรเป่าโป และอาณาจักรวั่นโซ่ว ถึงอย่างไรปีนี้เราไม่อาจรั้งอันดับ 4 ได้อีกต่อไป!”

เมื่อเด็กหนุ่มใบหน้าซีดเซียวได้ยินหญิงสาวผู้นั้นกล่าว สีหน้าของเขาแสดงความเคารพขณะที่เขาพูดว่า “หัวหน้า ท่านพูดถูก จากสิ่งที่พวกเราเห็นจนถึงตอนนี้ หากเราได้เป็นที่หนึ่งในสาย หลังผ่านการประลองของจาก 8 อันดับแรกไป เราอาจต้องพบกับกลุ่มนักรบอาณาจักรวั่นโซ่วในรอบ 4 อันดับสุดท้าย”

หญิงสาวขมวดคิ้วขณะที่เธอพูดว่า “กลุ่มนักรบวั่นโซ่ว…พวกเขานับเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ”

หลังจากผ่านรอบแรกไปอย่างราบรื่น โจวเหว่ยชิงและคนในกลุ่มต่างก็มีความสุขกันมาก ตอนนี้พวกเขาได้วันพักผ่อนสำหรับหลินเทียนอ้าวและสมาชิกที่ได้รับบาดเจ็บคนอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีก 3 วัน สำหรับกลุ่มที่พวกเขาจะได้พบในรอบที่ 2 ของสายก็ดูค่อนข้างอ่อนแอเนื่องจากพวกเขามาจากอาณาจักรเล็กๆ เช่นกัน ดังนั้นช่วงเวลาที่สำคัญจึงเป็นรอบที่ 3 รอบที่พวกเขาจะต้องต่อสู้กับกลุ่มนักรบป่ายต้านั่นเอง สำหรับกลุ่มตัวเต็งในสาย พวกเขาจะได้พบกับอาณาจักรตันตุ้นในรอบสุดท้าย นั่นนับว่าโชคดี แต่ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนัก เพราะหากพวกเขาได้พบกับกลุ่มนักรบป่ายต้าในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายได้ หลินเทียนอ้าวและสมาชิกที่ได้รับบาดเจ็บคนอื่นๆ ก็จะมีเวลาพักฟื้นได้อย่างเต็มที่ ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าโชคดีที่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องเจอกับอีกฝ่ายในรอบแรก

“มาเถอะ กลับไปรายงานหัวหน้ากับบอกข่าวดีที่เหลือกันเถอะ” โจวเหว่ยชิงยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้านขณะที่เขาพูดออกมา

เย่เป่าเปากล่าวแทรกขึ้นมาว่า “พวกเราไม่ต้องอยู่คอยดูกลุ่มอื่นหรอกเหรอ? โดยเฉพาะอาณาจักรป่ายต้า?”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ไม่ อย่าเลยดีกว่า ถ้าหากพวกเราอยู่ดู พวกเราอาจจะเผลอเข้าใจผิดได้ง่ายๆ อย่างไรพวกเขาก็เป็นเหมือนกับพวกเรา นักรบป่ายต้าจะปฏิบัติกับเราในฐานะคู่ต่อสู้หลักของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะยั้งมือและซุกซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้ในการประลองครั้งนี้แน่นอน ดังนั้นพวกเราจึงไม่ต้องอยู่ดู เมื่อการต่อสู้ของเรามาถึง เราก็ทำเพียงต่อสู้อย่างสุดความสามารถก็พอแล้ว นอกจากนี้อีก 3 วันก็ยังมีงานประลองให้เราได้ชมอีกรอบ พวกเราแทบไม่มีโอกาสได้มาที่เมืองจ้งเทียนแห่งนี้เลย ข้าจึงจะไปเดินเล่นกับปิงเอ๋อร์เสียหน่อย พวกเราต้องจริงจังบ้างเที่ยวเล่นบ้าง ชีวิตจะได้มีสมดุลที่ดี ฮิฮิ ถ้าพวกท่านไม่อยากเดินไปเดินมาก็สามารถกลับไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อแจ้งข่าวให้หัวหน้าทราบก่อนได้เลย”

เย่เป่าเปาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ข้าไม่เคยเห็นใครใจเย็นไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับปัญหาเท่าเจ้ามาก่อน เอาล่ะ เจ้าสองคนไปเถอะ ข้าจะกลับไปรายงานหัวหน้าเอง อู่หยา แล้วเจ้าล่ะ?”

อู่หยายิ้มและพูดว่า “เมื่อวานข้าเห็นอาหารอร่อยๆ มากมายขายอยู่ใกล้ๆ โรงเตี๊ยม ข้าอยากไปพักผ่อนหาความสำราญให้ตัวเองเสียหน่อย รู้สึกว่าช่วงนี้น้ำหนักข้าลดลงไปมาก เฮ้อ…เมื่อไหร่น้ำหนักจะเกินพันจินนะ!”

โจวเหว่ยชิงและคนอื่นๆ จ้องมองอู่หยาอย่างทำอะไรไม่ถูก พันจิน…สมาชิกเผ่าอีกาทองพวกนี้เป็นมนุษย์จริงๆหรือ?!

ถึงตอนนี้การประลองก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งบนเวทีแล้ว แต่หลายกลุ่มก็ยังคงสังเกตเห็นสมาชิกทั้ง 4 ของกลุ่มนักรบเฟยหลี่เดินปลีกตัวออกไป แม้ว่าทุกคนจะมีอิสระ สามารถจากไปหลังการประลองของตัวเองสิ้นสุดลงได้ แต่กลุ่มอื่นๆ ส่วนใหญ่ต่างก็ยังอยู่เพื่อชมการต่อสู้ของกลุ่มอื่นๆ โบราณเคยกล่าวไว้ว่า “รู้จุดแข็งของตัวเองและศัตรูคือหนทางนำไปสู่ชัย ชนะ” ทว่ากลุ่มนักรบเฟยหลี่กลับเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ออกจากจตุรัสไป

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ไม่มีใครรู้สึกว่าพวกเขายกตนข่มท่านอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะชนะในรอบที่แล้ว แต่พลังที่พวกเขาแสดงออกมาก็ไม่ได้ทรงพลังมากจนเกินไปและพวกเขาก็แพ้ไป 1 ครั้งด้วยซ้ำ ในสายตาของคนอื่นๆ ชัยชนะส่วนใหญ่ของกลุ่มเฟยหลี่ล้วนเป็นเพราะโชคช่วย และบางทีนั่นอาจจะเป็นสัดส่วนที่มากกว่าการใช้ความสามารถจริงๆ ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของโจวเหว่ยชิงกับหนอนน้อย เห็นได้ชัดว่าโจวเหว่ยชิงชนะไปได้อย่างหวุดหวิดเนื่องจากพลังปราณสวรรค์ของคู่ต่อสู้ถูกใช้จนหมด ด้วยเหตุนี้ กลุ่มนักรบเฟยหลี่จึงทิ้งภาพลักษณ์เช่นนั้นเอาไว้ในใจของทุกคน กลุ่มอื่นๆ จึงไม่ได้จัดพวกเขาอยู่ในรายชื่อกลุ่มที่ต้องจับตาดู ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจพวกเขามากนัก แม้แต่กลุ่มอื่นๆ ที่อ่อนแอกว่าก็ยังถูมือด้วยความยินดี คิดในใจว่าพวกเขามีโอกาสเอาชนะกลุ่มเฟยหลี่ได้แล้ว สำหรับกลุ่มนักรบป่ายต้า พวกเขายิ่งดีใจมากกว่าคนอื่นๆ ความมั่นใจของพวกเขาพุ่งพล่านจนเห็นเป็นรอยยิ้มเย็นๆแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าขณะที่มองดูสมาชิกทั้ง 4 ของกลุ่มนักรบเฟยหลี่เดินจากไป

พวกเขาออกจากอุโมงค์ทางเดินสำหรับผู้เข้าร่วมประลอง จากนั้นก็แยกกันหลังจากออกมาจากจตุรัสได้แล้ว เย่เป่าเปาและอู่หยามุ่งหน้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมด้วยกัน ส่วนโจวเหว่ยชิงจับมือเล็กๆ ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินเลียบไปตามถนนอีกฝั่ง

เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ในเมืองชั้นในได้ไปชมงานประลองมณีสวรรค์ ถนนที่เคยพลุกพล่านในเมืองจ้งเทียนจึงเงียบเหงากว่าปกติ ทำให้ภาพคนที่สัญจรไปมาบางตาลงเป็นอย่างมาก

โจวเหว่ยชิงจับมือเล็กๆ อันอบอุ่นนุ่มนวลของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปตลอดทาง เขาเดินนำไปอย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะหยุดถามคนที่เดินผ่านไปมาว่า “พี่ใหญ่ ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าข้าจะหาสถานที่ซื้อศาสตรามณียุทธ์หรือวัตถุดิบสำหรับสร้างศาสตรามณียุทธ์ได้ที่ไหนหรือ?” ในฐานะเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน โจวเหว่ยชิงคาดว่าเมืองนี้จะมีวัตถุดิบและม้วนคัมภีร์ที่น่าสนใจมากมาย แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้ขาดแคลนวัตถุดิบ แต่เขาก็ยังอยากแวะไปเยี่ยมชมและสัมผัสกับสถานที่เหล่านั้นด้วยตัวเอง เพราะบางทีเขาอาจจะพบเจอวัตถุดิบหายากบางอย่างที่ใช้การได้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องการให้การเดินทางสุดหฤโหดในครั้งนี้คุ้มค่ากับเวลาที่ได้เสียไป

คนแปลกหน้ามองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาแปลกประหลาดพลางพูดว่า “ น้องชาย เจ้าสองคนไม่ใช่พลเมืองของอาณาจักรจ้งเทียนของเราใช่ไหม?”

โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “ใช่ ท่านรู้ได้อย่างไรหรือ?”

คนที่เขาเรียกตัวถามพูดขึ้นอย่างติดตลกว่า “ถ้าเจ้าเป็นพลเมืองจ้งเทียน เจ้าก็คงจะไม่ถามคำถามเช่นนี้ออกมาหรอก อาณาจักรจ้งเทียนของเรามีศาลาศาสตรามณียุทธ์เป็นของตัวเอง และเจ้าก็สามารถหาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสร้างศาสตรามณียุทธ์ได้ที่นั่น บทบาทของศาลาศาสตรามณียุทธ์ก็คล้ายคลึงกับบทบาทของสำนักกักเก็บทักษะที่มีต่อการกักเก็บทักษะนั่นแหละ แน่นอนว่านี่สำหรับอาณาจักรจ้งเทียนของเราเท่านั้น ไม่มีอาณาจักรอื่นใดมีอำนาจมากพอจะทำเช่นนั้นได้แล้ว หากเจ้าต้องการไปที่ศาลาศาสตรามณียุทธ์ ให้เดินตามถนนเส้นนี้ไปเรื่อยๆ เลี้ยวขวาจนครบ 3 ครั้ง จากนั้นก็เดินต่อไปอีกไม่ไกล มันคืออาคารที่ใหญ่ที่สุดที่เจ้าเห็นในสายตา”

หลังจากพูดแบบนั้น คนบอกทางก็ทิ้งให้โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิม

ศาลาศาสตรามณียุทธ์? ในอาณาจักรจ้งเทียนแห่งนี้มีสถานที่เฉพาะสำหรับใช้ซื้อขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์และวัตถุดิบ! ในอาณาจักรอื่นๆ การซื้อขายศาสตรามณียุทธ์ไม่ใช่แค่ว่ามีเงินมากพอหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของการหาซื้อไม่ได้มากกว่า…ทว่าอาณาจักรแห่งนี้กลับ…พวกเขามีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันแน่?

ที่สำคัญกว่านั้น โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังสัมผัสถึงความภาคภูมิใจของผู้ที่บอกทางเขาเมื่อสักครู่ได้อย่างลึกซึ้ง ภาคภูมิใจในอาณาจักรและภาคภูมิใจที่ได้เป็นพลเมืองของที่นี่! นั่นเป็นเพียงชาวเมืองธรรมดา ไม่ใช่จ้าวมณีด้วยซ้ำ…ความแข็งแกร่งของอาณาจักรทำให้แม้แต่ชาวเมืองธรรมดาก็สามารถเชิดหน้าขึ้นสูงได้!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกถึงแรงบีบมือของโจวเหว่ยชิงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยขณะที่เขาพูดเบาๆ “สักวันหนึ่ง ในชีวิตของข้า ข้าจะต้องทำให้ประชาชนอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราภาคภูมิใจในตนเองให้ได้”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดึงมือของเขาขึ้นทาบไว้ข้างแก้มของตนเอง ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าเชื่อว่าอ้วนน้อยของข้าต้องทำได้อย่างแน่นอน”

จากคำแนะนำของคนเมื่อครู่ โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงพบศาลาศาสตรามณียุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว

เช่นเดียวกับที่คนๆ นั้นได้กล่าวไว้ ศาลาแห่งนี้เป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดบนถนนทั้งสาย มีขนาดเทียบเท่ากับสำนักกักเก็บทักษะอาณาจักรเฟยหลี่ พวกเขาต้องขึ้นบันไดขนาดใหญ่เกือบ 30 ขั้นกว่าจะขึ้นไปถึงอาคารรูปทรงโบราณขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ศาลาแห่งนี้มีทั้งหมด 6 ชั้น โดยตัวอาคารมีใช้หินแกะสลักตกแต่งอย่างประณีต ผิวสัมผัสของพวกมันสะท้อนแสงวาววับท่ามกลางดวงอาทิตย์ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า และอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นสถาปัตยกรรมชั้นนำแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

มียามหลายคนเฝ้าอยู่หน้าประตู โดยมีข้อกำหนดให้ผู้เยี่ยมชมทุกคนต้องลงทะเบียนและรับตราสัญลักษณ์ประจำตัวก่อนเข้าไปข้างใน ทว่าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ ในส่วนนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใจดีกว่าศูนย์การค้าเฟยหลี่มาก

เมื่อเข้าไปข้างใน กลิ่นอายความงามยุคโบราณภายในห้องโถงทำให้พวกเขารู้สึกประทับใจ มันดูเรียบง่าย ทว่ามีรสนิยมและเต็มไปด้วยความงดงาม คล้ายกับว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ไว้ซื้อขายสินค้า แต่เป็นห้องสมุดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเท่านั้น โจวเหว่ยชิงตรวจดูเนื้อไม้ของสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ และก็ต้องรู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าพวกมันไม่เพียงแต่จะทำจากไม้ชนิดเดียวกัน ทว่าแม้แต่เสาและผนังก็ยังทำมาจากไม้ชนิดเดียวกัน…ที่สำคัญกว่านั้น ไม้เหล่านี้เป็นไม้ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งเพราะพวกมันเป็นไม้ที่หายากและผลิตในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เท่านั้น!

ในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ไม้ดาราพวกนี้ถือเป็นวัตถุดิบที่มีค่า สงวนไว้สำหรับสร้างคันธนูและลูกศรเท่านั้น ทว่าในที่แห่งนี้ มันกลับถูกใช้เป็นเพียงวัสดุก่อสร้างอาคารเท่านั้น

แน่นอนว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ค้นพบสิ่งเดียวกันและประหลาดใจไม่แพ้กัน ขณะที่พวกเขาสองคนกำลังจ้องมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมสีขาวก็เดินเข้ามาหาพวกเขาและโค้งคำนับให้เล็กน้อย เขากล่าวว่า “ยินดีต้อนรับท่านลูกค้าผู้ทรงเกียรติ ท่านกำลังมองหาอะไรอยู่หรือ? ข้าเป็นคนนำทางในศาลาศาสตรามณียุทธ์แห่งนี้ และข้าสามารถแนะนำท่านและนำทางไปหาสิ่งที่ท่านต้องการได้”

โจวเหว่ยชิงหัวเราะและพูดว่า “ข้าต้องการซื้อวัตถุดิบบางอย่างสำหรับสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ ข้าต้องการทราบว่าจะหาของเหล่านั้นได้จากที่ไหน?”

เด็กหนุ่มในชุดขาวกล่าวอย่างสุภาพว่า “ท่านลูกค้า นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาศาลาศาสตรามณียุทธ์ใช่หรือไม่? ได้โปรดให้ข้าแนะนำท่านเกี่ยวกับสถานที่นี้คร่าวๆ ศาลาของเรามีทั้งหมด 6 ชั้น ชั้นที่ 6 คือสถานที่จัดประมูลของพวกเราและจะมีการประมูลทุกสัปดาห์ สำหรับชั้นอื่นๆ ทั้งหมดนั้นมีศาสตรามณียุทธ์หรือวัตถุดิบต่างๆ ขาย พื้นที่ในแต่ละชั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วนตามลำดับ คือ ร้านขายกระดาษศาสตรามณียุทธ์ วัตุดิบสำหรับสร้างหมึกศาสตรามณียุทธ์ หมึกศาสตรามณียุทธ์สำเร็จรูป ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ และสถานที่ให้คำแนะนำหรือคำปรึกษาแก่เหล่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ทั้ง 5 ชั้นจะแบ่งเป็น 5 ส่วนเหมือนกัน ทว่าในแต่ละชั้นก็มีขีดจำกัดที่แตกต่างกัน ยิ่งชั้นสูงเท่าไรก็จะยิ่งมีสินค้าระดับสูงวางขายมากขึ้นเท่านั้น”

โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะสรรเสริญในใจอย่างชื่นชมขณะที่เขาถามเด็กหนุ่มคนนั้นว่า “เอาล่ะ ถ้างั้นสำหรับพวกเราจะขึ้นไปได้ถึงชั้นไหนหรือ?”

เด็กหนุ่มในชุดขาวกล่าวว่า “ขณะนี้ท่านทั้งคู่สามารถซื้อสินค้าได้ในชั้นแรกเท่านั้น หลังจากใช้จ่ายมากกว่า 1 ล้านเหรียญทอง ท่านสามารถเข้าสู่ชั้นที่ 2 ได้ ส่วนชั้นที่ 3 จะเป็น 10 ล้านเหรียญทอง”

โจวเหว่ยชิงตกตะลึงไปอย่างสิ้นเชิง “ทำไมแพงจัง? มีใครได้สิทธิพิเศษอะไรบ้างไหม?”

เด็กหนุ่มในชุดขาวพูดต่อ “มีแน่นอน หากท่านทั้งคู่เป็นจ้าวมณีสวรรค์หรืออาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ และเข้าร่วมกับสำนักกักเก็บทักษะหรือศาลาศาสตรามณียุทธ์ ท่านสามารถเข้าสู่ 3 ชั้นแรกได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง”

โจวเหว่ยชิงถอนหายใจอยู่ข้างใน เห็นได้ชัดว่ายิ่งอาณาจักรมีอำนาจมากเท่าไหร่ วิธีดึงดูดผู้ทรงพลังมาเป็นพวกก็ยิ่งมีมากขึ้นและแยบยลยิ่งขึ้น แน่นอนพวกเขามีทรัพยากร ความสามารถและพลังมากพอจะทำแบบนั้นได้เช่นกัน!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย “แล้วชั้นที่ 4 และ 5 ล่ะ? ใครสามารถเข้าไปได้บ้าง?”

เด็กหนุ่มยิ้มจางๆ และพูดว่า “ชั้นที่ 4 และ 5 เป็นพื้นที่สำหรับบุคคลพิเศษ และข้อกำหนดในการเข้าไปยังชั้นเหล่านั้นเข้มงวดกว่ามาก เฉพาะสมาชิกของสำนักกักเก็บทักษะหรือศาลาศาสตรามณียุทธ์เท่านั้นที่สามารถขึ้นไปยังชั้น 4 ได้ และพวกเขาจะต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นแรกขึ้นไป มิฉะนั้นไม่ว่าจะจ่ายเงินไปเท่าไหร่ ท่านก็จะไม่ได้รับสิทธิ์ให้เหยียบเข้าสู่ชั้นที่ 4 ส่วนชั้นที่ 5 นั้นยิ่งเข้มงวดมากขึ้นไปอีก มีเพียงจ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ นอกจากนี้คนผู้นั้นยังต้องมีความสำคัญต่ออาณาจักรและมีบุคคลพิเศษในชั้นที่ 5 จำนวน 2 คนแนะนำเข้าไป”

………………………………………………………..