ภาคที่ 2 บทที่ 234 บังเอิญ

มู่หนานจือ

หออี้เซียนก็เป็นเพียงโรงน้ำชาที่ธรรมดามากเช่นกัน มีสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นห้องโถง ใช้ม่านไม้ไผ่กั้นเป็นห้องเล็กหลายห้อง ชั้นสองเป็นห้องส่วนตัว แขวนพวกภาพเลียนแบบภาพที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ก่อน บนโต๊ะชาวางต้นโปร่งฟ้าไว้กระถางหนึ่ง ส่วนบนโต๊ะสูงนั้นเลี้ยงเถิงหลัว[1]

ทว่าเจียงเซี่ยนไม่เคยเห็น!

นางเหมือนคนบ้านนอกเข้าเมือง สำรวจห้องเล็กๆ อย่างละเอียดรอบหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่าเครื่องเรือนเก่าเกินไป ภาพแข็งทื่อเกินไป โปร่งฟ้าหร็อมแหร็มเกินไป มีแต่เถิงหลัวที่หน้าตาไม่เลว

จนตอนที่ทุกคนสั่งชา หลิวตงเยว่ถึงแอบร้องว่าแย่แล้วในใจ

แต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงไม่ใช้ถ้วยชาที่คนอื่นเคยใช้

เวลาพวกเขาออกไปข้างนอกก็จะพกน้ำชากับถ้วยชาไปเอง

ตอนนี้ท่านหญิงจะดื่มชาที่หออี้เซียน เมื่อครู่ตอนที่ลงจากรถม้าเขามัวแต่ดูแลท่านหญิง จึงลืมเอาชุดชาของท่านหญิงลงมาด้วย

น้อยครั้งที่เขาจะทำทำผิดพลาดเช่นนี้ จึงอดที่จะละอายใจไม่ได้ เอ่ยกับเจียงเซี่ยนเสียงเบาว่า “ท่านหญิง ข้า…ข้าลืมเอาชุดชาลงมาขอรับ…”

ทว่าเจียงเซี่ยนก็ไม่ใช่คนที่เข้มงวดมากขนาดนั้น จึงไม่ได้ตำหนิความสะเพร่าของหลิวตงเยว่ และเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปหยิบเถอะ!” แล้วก็นึกถึงพี่น้องสกุลฉี “เอาถ้วยชาใหม่สองใบลงมาให้พวกนางพี่น้องด้วย”

เพื่อป้องกันเครื่องเคลือบกระแทกกันจนแตก โดยปกติพวกเขาจะเตรียมชุดชามาเพิ่มอีกชุดหนึ่งด้วย

หลิวตงเยว่รีบขานว่า “ขอรับ” และวิ่งลงไปข้างล่างอย่างเร็วมาก

เจียงเซี่ยนเปิดหน้าต่างและมองออกไปข้างนอกอย่างอยากรู้ ข้างนอกเป็นถนนตะวันตก ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านสุรา คนที่ดูแลร้านเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง สวมเสื้อคลุมสีฟ้าลายนกสาลิกาปากดำพิมพ์ลายดอกไม้สีขาว ใช้ผ้าแพรสีน้ำเงินสดใสพันศีรษะ เสียบดอกจามจุรีแฝดสีแดงเข้ม กำลังเทเหล้าให้ชายที่ดูเหมือนลูกหาบ มีลูกค้าเข้ามา นางเลิกคิ้ว พลางทักทายอย่างเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ท่าทางรับมือยากมาก

นางรู้สึกสนใจมาก จึงชี้สตรีคนนั้นและถามฉีซวง “รู้จักสตรีผู้นั้นหรือไม่?”

“รู้จัก” ฉีซวงลังเลอยู่ชั่วครู่และเอ่ยว่า “นางก็ถือว่าเป็นคนดังที่เมืองของพวกเราเช่นกัน เดิมทีเป็นนักแสดงที่เร่ร่อนพเนจรจากเมืองหลวงมาที่นี่ ตอนหลังรู้จักกับลูกชายของเจ้าของร้านสุราร้านนี้ จึงแยกตัวออกมาแต่งงาน ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปีลูกชายของเจ้าของร้านเจอโจรตอนที่ออกไปเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร จึงไม่เพียงแต่ถูกแย่งเงินไป ทว่ายังถูกซ้อมจนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียงด้วย นางจึงเริ่มออกหน้าช่วยดูแลกิจการร้านสุรา ” ฉีซวงเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็ชะงักไป และเอ่ยเหมือนอยากแก้ต่างให้สตรีนางนั้นว่า “ท่านหญิง เมืองชายแดนของพวกเราไม่เหมือนกับเมืองหลวง แผ่นดินแห้งแล้ง ผู้คนยากจน ใช้ชีวิตลำบาก มีคนไม่ได้แต่งงานมากมาย และมีแม่ม่ายแต่งงานใหม่กับสตรีที่ออกหน้าทำการค้าเล็กๆ เยอะมาก ถึงแม้สตรีนางนี้จะมาจากตระกูลที่ฐานะต่ำต้อย แต่หลังจากนางแต่งงานก็รักษาหน้าที่คอยดูแลงานบ้าน สามีเป็นอัมพาตแล้วก็ไม่ทอดทิ้ง และคอยดูแลครอบครัว…มีคำกล่าวว่าคนที่เดินทางผิดกลับตัวกลับใจได้เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากไม่ใช่หรือ นางก็ถือว่ากลับตัวกลับใจแล้วเช่นกัน…”

ฉีซวงอธิบายกับเจียงเซี่ยนโดยไม่สามารถแสดงสิ่งที่ต้องการจะเอ่ยออกมาได้อย่างถูกต้อง

เจียงเซี่ยนยิ้ม และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่ได้อ่อนต่อโลกอย่างที่เจ้าคิด!”

ความจริงแล้วคนที่อยู่ต่ำสุดกับคนที่อยู่สูงสุดในสังคมมีจุดร่วมกันมากมาย พวกเขานั้นคนหนึ่งเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ อีกคนเป็นผู้หาทางรอดที่ดิ้นรนอยู่ในความยากจนของชีวิต คนแรกทำตามกฎได้ยากมากเพราะไม่มีอะไรจำกัดแล้ว ส่วนคนหลังนั้นไร้ซึ่งความสามารถจึงไม่อาจทำตามกฎได้

นางยิ้มพลางเอ่ยว่า “สุราของพวกเขารสชาติดีหรือไม่? ไม่อย่างนั้นพวกเราก็สั่งกลับไปชิมสักหน่อย?”

คำพูดไม่ถือสาแม้แต่นิดเดียว

พี่น้องสกุลฉีโล่งอก

ฉีตานเอ่ยอย่างสบายใจว่า “สุราของพวกนางไม่ดีเท่าตอนที่ลูกชายของเจ้าของร้านดูแล แต่ก็ถือว่าใช้ได้เช่นกัน ทว่าไม่ต้องซื้อกลับไปชิมแล้ว สุราของพวกนางแรงเกินไป”

เจียงเซี่ยนก็ไม่ฝืนใจเช่นกัน และสั่งให้เซียงเอ๋อร์เรียกลูกจ้างของโรงน้ำชาเข้ามาสั่งชา

มีชาหลายชนิดมาก อันที่ขายแพงที่สุดยังคงเป็นชาเขียว รองลงมาเป็นชาแดง แล้วก็ชาดำ

ตอนที่ลูกจ้างของโรงน้ำชาแจ้งชื่อชา นางพบว่าหออี้เซียนยังมีชาต้าหงเผาด้วย

เจียงเซี่ยนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ และเอ่ยว่า “ข้าไม่ต้องการอย่างอื่นแล้ว เจ้าเอาต้าหงเผามาให้ข้ากาหนึ่ง”

ลูกจ้างของโรงน้ำชาก็ไหวพริบดีเช่นกัน เห็นพวกเจียงเซี่ยนแต่งตัวธรรมดา ทว่าท่าทางกลับไม่ธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจียงเซี่ยน แม้จะอายุยังน้อย กลับไม่มีความเคอะเขินของเด็กสาวแม้แต่นิดเดียว กลับเหมือนพวกคุณชายจากตระกูลขุนนางที่มาจากเมืองหลวง สายตาสดใสและมั่นใจในตนเอง ท่าทางสบายๆ และเป็นธรรมชาติ แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนที่ผ่านโลกมามาก

เขากะพริบตา และเอ่ยอย่างสุขุมเยือกเย็นว่า “ขออภัยขอรับ ต้าหงเผาเป็นของบรรณาการ ปีหนึ่งก็มีเพียงไม่กี่จินเท่านั้น กว่าพวกเราจะได้มาหนึ่งตำลึงก็ไม่ง่ายเลย จึงซื้อหมดแล้ว หากคุณหนูชอบ ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ก็ลองมาดื่มชาเร็วหน่อยก็ได้ขอรับ น่าจะได้ชิม” และเอ่ยอีกว่า “ให้แขกกลับไปมือเปล่า ทั้งหมดเป็นความผิดของร้านเอง เดี๋ยวข้าจะนำถั่วปากอ้ามาให้ท่านอีกหนึ่งจานเล็ก ถือว่าเป็นการขอโทษท่าน ท่านคิดว่าอย่างไร? ” แล้วก็เอ่ยอย่างเหมือนกลัวว่าเจียงเซี่ยนจะรังเกียจว่า “คุณหนูมาหออี้เซียนของพวกเราเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่? ถั่วปากอ้าของหออี้เซียนของพวกเรามีชื่อเสียงมาก เป็นสิ่งที่เถ้าแก่ของพวกเราเรียนรู้มาจากตอนที่ขายชาที่เจียงหนาน คุณหนูมากมายเวลามาที่นี่ก็จะสั่งแยกนำกลับไปชุดหนึ่ง”

แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีของขายแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ใส่ไว้ในรายการชาต่อแล้วเช่นกัน

เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาขายอาจจะเป็นชาปลอม หลอกลวงพวกคนที่ไม่รู้จักยังได้ ทว่าหากคิดจะหลอกลวงพวกนางก็ยากหน่อยแล้ว

ลูกจ้างของโรงน้ำชาคนนี้สายตาเฉียบแหลมมาก

เจียงเซี่ยนหัวเราะเสียงดัง และสั่งไป่เจี๋ย “ตกรางวัล!”

ตกรางวัล!

ทำไมล่ะ?

ลูกจ้างของโรงน้ำชาอึ้งไปทันที

พี่น้องสกุลฉีก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กเช่นกัน

มีแต่พวกเมิ่งฟางหลิงกับไป๋ซู่ที่แลดูสุขุมเยือกเย็น

ไป่เจี๋ยยิ้มพลางหยิบถุงใบเล็กปักลายคนโทแบบเมืองจางสีแดงเข้มออกมาจากในแขนเสื้อและยื่นให้ลูกจ้างของโรงน้ำชา

ได้ของอันหนักอึ้งมาอยู่ในมือ คนโทที่ปักอยู่บนถุงเป็นไหลายเมฆมงคลเคลือบลายดอกไม้สีน้ำเงิน เหมือนจริงมาก รอบเมฆมงคลนั้นยังวาดลายพวงเงินสีทองที่เล็กมากเอาไว้ด้วย เกรงว่าแค่ถุงใบนี้ก็มีค่าหนึ่งตำลึงแล้ว

ลูกจ้างของโรงน้ำชาเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง จึงรู้ว่าเจอชนชั้นสูงเข้าแล้ว จึงคุกเข่าลงไปคำนับเจียงเซี่ยนติดกันหกครั้ง ขณะที่ปากก็ยังพูดว่า “ขอบคุณมากขอรับ” ไม่หยุด

เจียงเซี่ยนยิ้มพลางโบกมือ และถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร? ทำงานที่โรงน้ำชานี้มานานแค่ไหนแล้ว?”

กลัวพวกนางจะโกรธ อยากขอโทษพวกนาง แต่กลับกล้าให้เพิ่มแค่ถั่วปากอ้าหนึ่งจานเล็ก แสดงว่าไม่ใช่คนดูแล

แล้วก็เป็นอย่างคิดจริงๆ ลูกจ้างของโรงน้ำชาเอ่ยอย่างเคารพนบนอบว่า “เรียนคุณหนู ข้าน้อยชื่อทังลิ่ว ทำงานที่หออี้เซียนมาเกินครึ่งปีแล้วขอรับ”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า และยิ้มพลางถามเขาว่า “เจ้าว่า ข้าควรสั่งชาอะไรดี?”

คำพูดนี้เน้นหนักเล็กน้อย

ภายนอกกำลังถามเขาว่าชาไหนดี ความจริงแล้วกำลังถามเขาว่าชาไหนเป็นของจริง

ทังลิ่วรีบยิ้มและตอบว่า “อันที่ดีที่สุดคือชาดำขอรับ นี่เป็นชาแนะนำของพวกเรา ชนกลุ่มน้อยทางเหนือมากมายเข้าเมือง ก็จะมาลองชิมที่ร้านของพวกเรา ชาปี้หลัวชุนกับชาเหมาเจียนที่รองลงมาหน่อยต่างก็ดีมากเหมือนกันขอรับ”

“เช่นนั้นก็ชาดำแล้วกัน” เจียงเซี่ยนตัดสินใจทันทีโดยไม่คิดอะไรอีก “ในเมื่อเป็นของแนะนำของร้านพวกเจ้า เช่นนั้นก็ดื่มอันนี้แล้วกัน” แล้วถามพวกไป๋ซู่ว่า “พวกเจ้าจะดื่มชาอะไรบ้าง?”

ทุกคนต่างพากันบอกว่าดื่มชาดำตามเจียงเซี่ยน

ทังลิ่วไปเอาชา

หลิวตงเยว่ย้ายชุดชาเข้ามา

คนหนึ่งเข้าคนหนึ่งออก บานประตูเปิดกว้าง

มีคนเอ่ยว่า “หือ” ข้างนอก และเอ่ยว่า “นี่ลูกสาวสองคนของใต้เท้าฉีไม่ใช่หรือ? วันนี้ทำไมว่างมาดื่มชาที่หออี้เซียนได้?”

———————————-

[1] เถิงหลัว = วิสทีเรีย