ภาคที่ 2 บทที่ 235 พบเจอ

มู่หนานจือ

คนที่อยู่ในห้องส่วนตัวต่างมองออกไปข้างนอก

ผู้หญิงที่เอ่ยดูเหมือนอายุสิบห้าสิบหก สวมเสื้อคลุมยาวผ้าไหมหังไม่มีลายสีชมพู หน้าตางดงาม ผมสีดำสนิทเกล้าเป็นมวย เสียบดอกมะลิแถวหนึ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยรูปร่างสะโอดสะอง ราวกับดอกดารารัตน์ที่อยู่ริมน้ำ อย่าว่าแต่ต้าถงเลย ต่อให้วางไว้ที่เมืองหลวง ก็เป็นหญิงงามอันดับต้นๆ เช่นกัน และนางสามารถเสียบดอกมะลิแถวหนึ่งในฤดูนี้ได้ ก็แสดงว่าสตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่ฐานะครอบครัวร่ำรวย ทว่ายังได้รับความรักจากในครอบครัวเป็นพิเศษด้วย

ฉีตานกับฉีซวงลุกขึ้นยืนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย และเรียกอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูโหยว”

คุณหนูโหยวหน้าตาอมยิ้ม ยิ่งแลดูงดงามขึ้นไปอีก

“คิดไม่ถึงว่าจะเจอคุณหนูฉีทั้งสองที่นี่” นางพูดไป สายตาก็จับจ้องไปที่เจียงเซี่ยน และเอ่ยอย่างลังเลว่า “หลายท่านนี้คือ…”

พี่น้องสกุลฉีกำลังลังเลอยู่ว่าจะแนะนำเจียงเซี่ยนให้นางดีหรือไม่ คุณหนูโหยวก็เดินเข้ามาแล้ว และยิ้มพลางเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “น้องสาวคนนี้หน้าตาสวยมาก! ข้าเพิ่งเคยเห็นผู้หญิงที่โดดเด่นแบบนี้เป็นครั้งแรกที่ต้าถง เจ้าเป็นญาติของตระกูลฉีหรือ? ข้าเป็นลูกสาวของตระกูลโหยวร้านเซิ่งเซิง น้องสาวมาจากสกุลใดหรือ?”

ท่าทางชื่นชมเจียงเซี่ยนมาก

เจียงเซี่ยนหมดความสนใจและเบื่อมาก

หากจะบอกว่านางเป็นคนมาสองชาติสิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุดคืออะไร นั่นก็คือการประจบและเอาใจ

เจียงเซี่ยนแค่เห็นก็รู้ว่าคุณหนูโหยวผู้นี้จะทำอะไร

ต้าถงก็เล็กแค่นี้ นางมาต้าถง พักที่กองบัญชาการต้าถง ออกเรือนจากสกุลฉี สินสอดหนึ่งแสนตำลึงของตระกูลหลี่ ทั้งต้าถงต่างก็แสดงความเห็นกันมากมาย คุณหนูโหยวไม่มีทางที่จะไม่รู้ และหลังจากที่อีกฝ่ายเห็นคนที่โดดเด่นอย่างไป๋ซู่กับแม่นมเมิ่งแล้วยังสามารถจ้องแต่นางคนเดียวและชมนางอย่างไร้จิตสำนึกได้…เจตนานี้ก็ทำให้นางครุ่นคิดเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้

ถึงแม้การที่คนเดินไปสู่ที่สูงจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ทว่าหากมีคนอยากเห็นนางเป็นคนโง่ เหยียบย่ำฐานะ ชื่อเสียง และเกียรติยศของเราเพื่อพิสูจน์ตนเอง นั่นก็ทำให้รู้สึกขยะแขยงเล็กน้อยแล้ว

เจียงเซี่ยนไม่คิดที่จะทำความรู้จักกับคุณหนูโหยว

นางพยักหน้าให้คุณหนูโหยวด้วยสีหน้าเย็นชา และเอ่ยกับทังลิ่วว่า “น้ำของพวกเจ้ามาจากที่ใดหรือ? กระปุกที่ใส่ใบชาเป็นเครื่องปั้นดินเผาพื้นเมืองของหลงเฉวียนหรือเปล่า? ข้าว่าลายน้ำแข็งแตกนี้เผาได้ไม่เลวทีเดียว!”

นางทิ้งคุณหนูโหยวราวกับสิ่งของที่ถูกลืมไว้ตรงนั้น

พี่น้องสกุลฉีแปลกใจมาก

หลายวันนี้พวกนางอยู่เป็นเพื่อนเจียงเซี่ยนตลอด เจียงเซี่ยนพูดคุยและหัวเราะกับพวกนาง ถึงบางครั้งพวกนางจะถามพวกคำถามที่แลดูโง่เขลาเล็กน้อย เจียงเซี่ยนก็จะตอบพวกนางอย่างอดทนมากเช่นกัน กับคนที่รับใช้ข้างกายก็ใจกว้างและอ่อนโยนมาก ชาร้อนก็วางไว้ให้เย็น อาหารที่ชอบกินก็กินเยอะหน่อย อันที่ไม่ชอบก็กินน้อยหน่อย พวกนางคิดมาตลอดว่าเจียงเซี่ยนนิสัยดีมาก อ่อนโยนและใจดีกับผู้คน คิดไม่ถึงว่าเจียงเซี่ยนก็มีช่วงเวลาที่เย็นชาเช่นนี้

พอคิดถึงตรงนี้ สองพี่น้องก็อดที่จะผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาพร้อมกันไม่ได้

หรือว่าก่อนหน้านี้ที่ท่านหญิงเจียหนานอ่อนโยนและใจดีกับพวกนางมากมาตลอดเป็นเพราะท่านหญิงเจียหนานยินดีคบหากับพวกนางอย่างนั้นหรือ?

บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปทันที

ถึงร้านเซิ่งเซิงจะมีชื่อเสียงมากในต้าถง ตระกูลโหยวเป็นพ่อค้าใหญ่ที่ค่อนข้างโดดเด่นของซานซี แต่ทังลิ่วนึกถึงท่าทีตอนที่เจียงเซี่ยนตกรางวัลให้เขาเมื่อครู่ กับการดูถูกและความเฉยเมยต่อคุณหนูโหยว สติปัญญาในการใช้ชีวิตของคนที่ไม่มีชื่อเสียงในสังคมก็ทำให้เขาเลือกยืนอยู่ข้างเจียงเซี่ยนทันที

ทังลิ่วยิ้มพลางเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูสายตาดีมาก กระปุกที่ใส่ใบชานี้เป็นเครื่องปั้นดินเผาหลงเฉวียนที่ เผาด้วยเตาพื้นบ้านจริงๆ เถ้าแก่ของพวกเราไปสั่งทำที่เจียงหนานโดยเฉพาะ ท่านดูสิ บนนี้ยังมีชื่อหออี้เซียนของพวกเราด้วย หากท่านชอบ เดี๋ยวข้าจะบอกเถ้าแก่และมอบให้ท่านชิ้นหนึ่ง ส่วนน้ำนั้นเป็นน้ำกลางแม่น้ำ ต้าถงของพวกเราขาดแคลนน้ำ ไม่มีน้ำพุดีๆ หรือบ่อน้ำดีๆ เวลาชงชาจึงใช้น้ำกลางแม่น้ำหมด”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า และยันข้อศอกนั่งดูทังลิ่วต้มน้ำอยู่ข้างๆ

คุณหนูโหยวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

พี่น้องสกุลฉีทนไม่ไหว

ฉีตานเอ่ยว่า “คุณหนูโหยว มาอยู่ที่หออี้เซียนได้อย่างไร? นัดสหายมาดื่มชาหรือว่ามานั่งเล่นที่นี่?”

ความนัยที่แฝงในนั้นคือเจ้ามีเรื่องอะไรก็รีบไปทำเสีย พวกเราไม่ต้อนรับเจ้าแล้ว

คุณหนูโหยวรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม ขอบตาแดงทันที น้ำตาคลอเบ้า จนเห็นว่ากำลังจะร่วงลงมาแล้ว

ฉีตานกับฉีซวงลำบากใจมากและไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงมองไปทางแม่นมเมิ่งเหมือนขอความช่วยเหลือ

แม่นมเมิ่งไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง และกำลังจะพูด ก็มีสตรีนางหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังคุณหนูโหยว

นางอายุใกล้เคียงกับคุณหนูโหยว สวมเสื้อคลุมยาวผ้าไหมหังทอลายว่านน้ำสีน้ำเงินอมเขียว ชายแขนเสื้อพับขึ้นทบหนึ่ง เผยให้เห็นเสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะ ขับให้มือทั้งคู่เรียวยาวและอ่อนนุ่มเหมือนโคนต้นหอม บนหูห้อยต่างหูไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัว กลางผมเสียบปิ่นปักผมรูปส้มมือหยกเคลือบทองสองอันอย่างเรียบง่าย หน้าตาสะสวย รูปร่างงดงาม เหมือนภาพวาดแบบประณีตที่วาดด้วยหมึกและสีอันเข้มข้น ทำให้คุณหนูโหยวที่ยืนอยู่ข้างๆ หม่นหมองลงจนกลายเป็นใบไม้เขียวที่ขับให้นางเด่นทันที

เจียงเซี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย

นางรู้สึกว่าสตรีผู้นี้คุ้นหน้าเล็กน้อย เหมือนเคยเจอที่ไหน

พี่น้องสกุลฉีก็ร้องอย่างตกใจแล้วว่า “คุณหนูจิน!”

เจียงเซี่ยนเข้าใจทันที

ที่แท้นางก็คือจินย่วนน้องสาวแท้ๆ ของจินเซียวที่ได้ชื่อว่าหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งซานซี

จินย่วนทักทายพี่น้องสกุลฉีอย่างสุภาพ และมองไปทางเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและใจดีทว่าก็แฝงความเย่อหยิ่งไว้เล็กน้อย “หากข้าเดาไม่ผิด สองท่านนี้น่าจะเป็นท่านหญิงเจียหนานกับท่านหญิงชิงฮุ่ยใช่หรือไม่?”

พอนึกถึงที่จินเซียวถูกหลี่เชียนหลอกให้เป็นผู้ที่คอยประสานงานอยู่ภายในให้เขา เจียงเซี่ยนก็อยากหัวเราะเล็กน้อย จึงมองจินย่วนอย่างสนิทสนมมากขึ้นไปด้วย

“ข้าคือเจียหนาน” นางยิ้มพลางชี้ไป๋ซู่และเอ่ยว่า “ท่านนี้คือท่านหญิงชิงฮุ่ย”

ไป๋ซู่ยิ้มพลางพยักหน้าให้จินย่วน ท่าทางสง่างามแต่ก็ไม่ขาดความสนิทสนมและอ่อนโยน

จินย่วนเข้าไปคารวะทั้งสองคน

เจียงเซี่ยนแนะนำแม่นมเมิ่งกับนาง

จินย่วนคิดไม่ถึงว่าเจียงเซี่ยนจะปฏิบัติกับนางแตกต่างจากคุณหนูโหยว นางอดกลั้นความประหลาดใจที่ก้นบึ้งของหัวใจเอาไว้ และคารวะเมิ่งฟางหลิงอย่างนอบน้อม

เจียงเซี่ยนถามนาง “คุณหนูจินมาอยู่ที่ต้าถงได้อย่างไร? เจ้ามากับพ่อและพี่ชายของเจ้าหรือ? วันนี้ทำไมมาดื่มชาที่หออี้เซียนได้?”

นางเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งมาเมื่อวาน มาอวยพรวันเกิดให้ท่านยายเจ้าค่ะ นางตามท่านลุงมาอยู่ที่ต้าถง คิดไม่ถึงว่าจะเจอท่านหญิงทั้งสอง แม่นมเมิ่ง และคุณหนูฉีทั้งสองที่นี่”

เจียงเซี่ยนยังอยากคุยกับนางอีกสองสามคำ คุณหนูโหยวก็เดินมาอย่างกะทันหัน และดึงแขนเสื้อของจินย่วนอย่างหวาดกลัวจนตัวสั่น พลางเอ่ยว่า “ท่านพี่ ข้าคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นท่านหญิงเจียหนาน…” เหมือนอยากให้จินย่วนช่วยไกล่เกลี่ยให้นางมาก

จินย่วนทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย

ฉีตานก็เอ่ยอย่างงงงันแล้วว่า “ท่านพี่? คุณหนูโหยวกับตระกูลของพวกเจ้าเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันหรือ?”

จินย่วนถอนหายใจ อยากพูดแต่ก็หยุดไว้

คุณหนูโหยวรีบเอ่ยว่า “ป้าสะใภ้ของท่านพี่อาย่วนเป็นป้าของข้า”

ตระกูลฉีมีจำนวนคนในตระกูลไม่มากนัก นัยน์ตาของพี่น้องสกุลฉีต่างก็ฉายแววงุนงง

เจียงเซี่ยนยังไม่เริ่มรู้หนังสือก็เริ่มท่องบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูลขุนนางก่อน จึงจำความสัมพันธ์ของป้าสะใภ้ ป้า พี่เขยและน้องเขยได้ขึ้นใจ

แค่ได้ยินก็รู้ว่าพวกนางเป็นอะไรกัน

นางเห็นพี่น้องสกุลฉียังคงทำหน้างงอยู่ตรงนั้น

เจียงเซี่ยนจึงจำเป็นต้องเตือนพี่น้องสกุลฉีเสียงเบาว่า “ป้าสะใภ้ของคุณหนูจินสกุลโหยว”

พี่น้องสกุลฉีถึงเข้าใจ

พวกนางนึกเรื่องเกี่ยวกับตระกูลจินขึ้นมาได้

แม่แท้ๆ ของจินเซียวกับจินย่วนสกุลหวง คนสกุลหวงป่วยตายไปตอนจินย่วนอายุหกเดือน จินเฉิงเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยา โดยแม่แท้ๆ เป็นสาวใช้ประจำตัวของคนสกุลหวง ต่อมาจินไห่เทาแต่งงานใหม่กับคนสกุลหลี่ว์อีก ลูกหลายคนหลังจากนั้นจึงเกิดจากคนสกุลหลี่ว์ทั้งหมด เพราะคนสกุลหวงป่วยตายไปหลายปีแล้ว บ้านของภรรยาก็ไม่มีใครที่คุยด้วยได้ ตระกูลจินก็ไม่มีข่าวลือที่ไม่ดีแพร่งพรายออกมาเช่นกัน ทุกคนจึงต่างค่อยๆ ลืมเลือนคนสกุลหวงแล้ว พอพูดถึงภรรยาของจินไห่เทา ทุกคนก็จะนึกถึงคนสกุลหลี่ว์โดยอัตโนมัติ

มิน่าเล่าจินย่วนถึงได้อยู่กับคุณหนูโหยว

————————————-