บทที่ 235

บลังก้านั้นมากไปด้วยประสบการณ์และเป็นแม่ทัพมานานนัก ทำให้เขาเป็นคนสุขุม และมองออกได้ในทันทีว่าควรทำเช่นไรเพื่อให้เรื่องดำเนินไปได้ด้วยดี

ก่อนมาที่นี่ คนีสได้เตือนชัวน่าให้ฟังคำเตือนของบลังก้าและเรียนรู้จากเขา ดังนั้นมาในตอนนี้ นางจึงได้แต่เชื่อฟังคำแนะนำของบลังก้าแต่โดยดี

และถึงพวกเขาจะนำกำลังทหารมาเพียง 3 หมื่นนายเท่านั้น แต่พวกเฟิงก็รู้ดีว่ากองทัพเพียง 3 หมื่นของเบสซ่าในครั้งนี้ มันมากพอแล้วที่จะโค่นล้มกองทหารราบที่มีกำลังนับแสน !

อีกทางหนึ่ง ซ่งเวินในตอนนี้ก็ยังคงเลือกที่จะนิ่งเฉยเช่นเคย ทำให้ในขณะนี้บริเวณกำแพงค่ายแทบจะไม่มีทหารปกป้องอยู่เลย ซึ่งมันก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนนัก ว่าศึกสุดท้ายกำลังมาถึงแล้ว ! ติดแค่ว่าจะเป็นฝั่งของชิวเจิ้นที่เข้าโจมตี หรือฝั่งของซ่งเวินที่ฝ่าวงล้อมออกมาก่อน !

ซึ่งเขาก็เดาไม่ผิดจริง ๆ ที่ว่าซ่งเวินทนไม่ไหวแล้ว ด้วยในตอนนี้ทหารของอีกฝ่ายนั้นหิวกันจนตาลายไปหมดแล้ว

และถ้าหากยังปล่อยไว้แบบนี้ ต่อให้พวกเทียนหยวนไม่เข้าตี พวกเขาก็คงจะอดตายอยู่ดี !

คืนนั้นซ่งเวินเรียกทหารของเขามารวมกัน “พรุ่งนี้พวกเราจะตีฝ่าวงล้อมออกไป !”

พวกแม่ทัพที่รอคำสั่งนี้มานานก็พากันมองหน้ากันเองอย่างเงียบเชียบ

ก่อนเป็นซ่งเวินที่พูดอย่างอ่อนล้า “พวกเรารอไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ตอนนี้พวกเรามีทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น ถ้าหากยังไม่อยากอดตายก็ต้องรวมพลังกันตีฝ่าวงล้อมศัตรูออกไป !”

“ขอรับฝ่าบาท !” พวกแม่ทัพส่งเสียงตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน

ซ่งเวินครุ่นคิด “พวกเรามีม้าเหลือเท่าไหร่ ?”

“พวกเราฆ่ามันเกือบหมดแล้ว เหลือแค่เพียง 2 พันตัวเท่านั้นขอรับ” ทหารนายหนึ่งรายงานออกมา

ซ่งเวินส่ายหัว “ฆ่าม้าทุกตัวให้หมด แล้วให้พวกทหารกินกันให้เต็มที่… รวมไปถึงม้าของข้าด้วย”

“ฝ่าบาท ?!” พวกแม่ทัพตะลึง

สำหรับแม่ทัพแล้ว ม้าเปรียบเสมือนขาทั้งสองข้างที่ช่วยในการบุกตีฝ่าวงล้อม และถ้าไม่มีม้า เรื่องการตีฝ่าออกไปมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย !

เขาโบกมือให้ทุกคนเงียบลง “พวกเจ้าคือทหารของข้า คนของข้า ดังนั้นข้าเองก็ปรารถนาที่จะตายไปกับพวกเจ้าด้วยเช่นกัน ต่อให้พวกศัตรูจะเก่งกาจแค่ไหนข้าก็จะไม่ถอย และถ้าพวกเราฝ่าออกไปได้ ข้าก็จะให้พวกเรากินกันให้เต็มที่ไปเลย !”

พวกแม่ทัพที่ได้ยินก็แทบจะร้องไห้กันออกมา

ไม่ว่าซ่งเวินจะเป็นอย่างไร เขาก็เป็นแม่ทัพที่มากไปด้วยความสามารถ ถึงเขาจะไม่รักพวกทหารเลว แต่เขาก็ยินดีที่จะโอบกอดแม่ทัพดั่งพี่น้อง

แม่ทัพทุกคนพากันคุกเข่าลงและพูดพร้อมกัน “พวกเราขอติดตามท่านแม่ทัพไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ และจะปกป้องท่านให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม !”

ซ่งเวินยิ้มด้วยความตื้นตันใจ ก่อนที่เขาจะบอกให้พวกแม่ทัพออกไปก่อน “พวกเจ้าไปพักเสีย จงไปเตรียมตัวพร้อม”

“ขอรับฝ่าบาท !” ทุกคนประกบมือแล้วค่อย ๆ เดินกลับออกไป

หลังจากพวกเขาออกไปแล้ว ซ่งเวินก็เงยหน้าขึ้น ด้วยเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะฝ่ามันออกไปได้หรือไม่ คงได้แต่พึ่งพาโชคชะตาและสวรรค์แล้ว ว่าจะยังคงเปิดทางให้สายเลือดของเปิงคนนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ !

คืนนั้นค่ายพวกเปิงเริ่มฆ่าม้าทั้งหมดและนำมาเป็นอาหาร ซึ่งเสียงของพวกมันก็ดังขึ้นแทบจะตลอดเวลา จนถึงขั้นต้องออกคำสั่งให้ปิดปากม้าก่อนจะเชือด

นี่คือมื้ออาหารที่พวกเขาไม่ได้กินมาเนิ่นนาน พวกทหารกินมันอย่างตะกละตะกลามถึงมันจะไม่อร่อยและเหนียวมากก็ตาม

หลังจากพวกเขากินกันจนอิ่มเอมแล้ว พวกแม่ทัพนายกองทั้งหลายก็เริ่มมีกำลังใจขึ้นมาทันที

และเมื่อดวงตะวันลอยขึ้นฟ้า ซ่งเวินก็เรียกแม่ทัพทั้งหมดเข้ามาจัดแจงเรื่องแผนการตีฝ่าวงล้อมออกไป

โดยเขานั้นจะแบ่งทหารออกเป็น 2 กอง ให้แยกกันตีฝ่าไปทางใต้และทางตะวันออกพร้อม ๆ กันเพื่อลดทอนกำลังของศัตรู

ซึ่งตัวซ่งเวินก็จะนำกองทัพหนึ่งหมื่นนายไปทางใต้ ในขณะที่แม่ทัพฮวงไปเฟ่ยจะพุ่งเข้าใส่ทางตะวันออก

สำหรับใครที่ไม่ทราบ แม่ทัพฮวงไปเฟ่ยผู้นี้ แท้จริงแล้วเขาก็คือแม่ทัพที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหลังจากที่ซ่งเทียนได้ครองบัลลังค์นั่นเอง !

ได้ยินแบบนั้นพวกแม่ทัพก็ยินดีที่จะทำตามคำสั่งทันที

“แม่ทัพฮวง ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ห้ามถอย พวกเราจะต้องมุ่งหน้าลงใต้ไปยังเมืองหยานให้ได้ !”

“ถ้าหากข้าตายลงท่ามกลางกองทัพศัตรู และท่านแม่ทัพกลับไปยังเมืองหลวงได้ งั้นแล้วข้าก็อยากให้ท่านบอกกับท่านพ่อของข้าว่าให้ปล่อยพวกขุนนางเก่าแก่พวกนั้นเสีย ด้วยหากไม่มีพวกเขาสนับสนุนท่านพ่อคงจะไปได้ไม่ไกลนัก” ซ่งเวินหยิบจดหมายออกมาให้ฮวงไปเฟ่ย “คำพูดทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว รับมันไปเสียเถิดท่านแม่ทัพ”

ไปเฟ่ยรับมันด้วยมือที่สั่นเทาแล้วพูดด้วยน้ำตา “ฝ่าบาท…”

ทางใต้คือค่ายหลักเทียนหยวนที่แกร่งกว่าทางตะวันออกมาก ดังนั้นแค่มองก็รู้แล้วว่าไปเฟ่ยสามารถตีฝ่าออกไปได้ง่ายกว่า

ซ่งเวินลูบแขนของไปเฟ่ย “เจ้าต้องมีจิตใจที่พร้อมจะตาย เจ้าต้องพากองกำลังเข้าโจมตีพวกศัตรูให้แตกพ่ายในฐานะของแม่ทัพ ส่วนข้าก็จะทำเช่นเดียวกันกับเจ้า… ตอนนี้เวลาเท่าไหร่แล้ว ?”

“ตอนนี้เวลาหยินขอรับ !”

“เวลาหยินงั้นหรือ ? ถึงเวลาแล้วล่ะ โจมตีได้ !”

“ขอรับฝ่าบาท !”

นี่คือเวลาตี 5 พอดี และทั้งค่ายก็พากันยกทัพออกไปตีพวกเทียนหยวนทั้งแบบนี้ทันที

กองทัพเปิงทั้งหมดแบ่งออกเป็น 2 กอง นำโดยซ่งเวินและไปเฟ่ยเพื่อแยกกันทำการโจมตีเพื่อฝ่าวงล้อมออกไป

เมื่อเห็นว่าพวกศัตรูกำลังเข้ามา ทางด้านของเทียนหยวนก็พากันตะโกนลั่นเพื่อส่งสัญญาณให้พวกทหารเตรียมตัวโดยพร้อมกัน

ทหารทุกนายภายใต้การฝึกของถังหยินไม่ใช่ทหารธรรมดา พวกเขาสามารถต่อสู้ได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นระยะประชิดหรือว่าระยะไกล

และมาตอนนี้กระบวนทัพของเทียนหยวนก็ถูกจัดตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว เป็นกระบวนทัพสี่เหลี่ยมที่มีทหารนับร้อยนายรวมกันได้หมื่นนายต่อหนึ่งกองพัน ทำให้พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยหอกยาวและง้าว

ชิวเจิ้นมอบการบัญชาการทางฝั่งตะวันออกกับเหลียงฉี ส่วนทางใต้ก็มอบให้กับมูฉิง

ซึ่งที่ด้านบนสุดของกำแพงเมืองด้านใต้ในขณะนี้นั่นเอง ก็มีมูฉิงที่กำลังบัญชาการทัพอย่างใจเย็น ใช้ใบหน้าที่นิ่งสงบมองไปยังทหารใต้บังคับบัญชาของตน

เพื่อรับมือกับศัตรที่กำลังตีฝ่าเข้ามา มูฉิงจึงได้ออกคำสั่งให้พวกทหารเปลี่ยนรูปกระบวนทัพทุกครั้งที่พวกศัตรูรุกคืบเข้ามา โดยในครั้งนี้นั้น ธงสัญญาณที่กำลังโบกสะบัดอยู่มันก็ได้บอกอย่างชัดเจน ว่าให้กองทหารที่ 1 3 5 7 9 ยิงธนูออกไปได้ !

ฟุ่บ !

ทั้งห้ากองพันยิงธนูออกไปพร้อมกัน ทำให้ห่าฝนธนูรวมกันเหมือนเมฆสีดำที่พุ่งผ่านอากาศเข้าใส่กองทัพศัตรู