บทที่ 234

การปิดล้อมของกองทัพเทียนหยวนทำให้เสบียงอาหารของพวกซ่งเวินเริ่มหมดไปเรื่อย ๆ จนแทบไม่มีอะไรจะกินกันแล้ว

ซึ่งสถานการณ์นี้มันก็บีบให้พวกทหารถึงกับต้องย่องออกมาจากเต็นท์ตอนกลางดึกเพื่อฆ่าม้ามากินประทังชีวิต

และเมื่อซ่งเวินทราบเรื่อง มันก็ทำให้โกรธจัดจนสั่งประหารพวกทหารเหล่านี้เสีย แต่ต่อให้ทำแบบนี้ไป มันก็ไม่อาจจะหยุดพวกเขาได้ เพราะความอดอยากทำให้พวกทหารยังคงเสี่ยงชีวิตเพื่อเชือดม้ากองทัพเพื่อกินประทังชีวิตต่อไป

ในเวลานี้ซ่งเวินที่แสนฉลาดไม่อาจตั้งมั่นได้อีกต่อไปแล้ว การที่เขาติดอยู่ในนี้ทำให้ไม่อาจรับรู้ข่าวคราวด้านนอกได้เลย จึงทำให้ตัวเขาชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าจะมีใครส่งกำลังมาช่วยหรือไม่ !

ขณะนี้ซ่งเวินมีเพียงแค่ 2 ทางเลือกเท่านั้น ทางแรกคือการฝืนทนอยู่ต่อไปเพื่อรอความช่วยเหลือ ส่วนอีกทางก็คือรวมกำลังแล้วตีฝ่าออกไป

แต่ไม่ว่าจะทางไหน มันก็เสี่ยงมากอยู่ดี

ถ้าเกิดพวกหนิงมาช่วยไม่ทันเวลา งั้นแล้วพวกเขาก็จะอดตาย แต่ถ้าเลือกที่จะตีฝ่าวงล้อมออกไป มันก็ดูจะสายเกินไปแล้ว เพราะตอนนี้พวกเทียนหยวนได้ตั้งค่ายตั้งรับไว้อย่างแน่นหนานัก ไม่มีทางที่กองทัพพวกเขาจะฝ่าออกไปได้เลย และถึงจะออกไปได้ มันก็อาจจะกลับออกไปได้เพียงไม่กี่นายเท่านั้น !

เขาอาจจะทนได้ก็จริง แต่พวกทหารที่หิวโหยไม่อาจทนไหวอีกต่อไปแล้ว และยิ่งซ่งเวินสั่งให้คุ้มครองม้าแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้พวกทหารพากันหนีทัพออกไปยังเทียนหยวนเพื่อยอมถูกจับเป็นเชลย ด้วยพวกเขาคิดว่าการยอมจับยังดีกว่าการต้องมาอดตาย

…ข่าวของซ่งเวินทำให้ซ่งเทียนที่อยู่ในเมืองหยานอยู่ไม่สุขจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

และเมื่อเขารู้ว่าอาหารของพวกหนิงไม่อาจไปถึงได้ มันก็ยิ่งทำให้ซ่งเทียนร้อนรนขึ้นไปอีก รีบจัดการรวบรวมอาหารจากเมืองหยานเพื่อเตรียมจะเอาไปเสริมให้กับกองทัพหนิงก่อนในทันที ทั้งยังสั่งให้ผู้ว่าเขตหลีฮู่ส่งอาหารเพิ่มไปยังกองทัพหนิงด้วย

ทำให้อาหารทั้งหมดถูกส่งไปอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในตอนนี้พวกหนิงก็ได้ถอนทัพกลับออกมาแล้ว อีกทั้งจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ก็พากันปักหลักอยู่ข้างนอกนั่น ไม่เคลื่อนไหวอีกแต่อย่างใด

แน่นอนว่าไม่มีทางที่ซ่งเทียนจะรอได้อีกต่อไป เขาเร่งส่งทหารไปบอกให้พวกหนิงรีบโจมตีเข้าไปเสีย แต่ทว่าพวกเขาก็ได้คำตอบกลับมาว่าไม่อาจไปได้ ซึ่งคำพูดดังกล่าวมันก็ทำให้ซ่งเทียนรู้แล้วว่าพวกหนิงไม่ได้สนใจในชีวิตของซ่งเวินเลย พวกเขาสนใจแต่พวกพ้องของตัวเองทั้งนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ซ่งเทียนก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก เขาเริ่มวางแผนที่จะจัดกองทัพออกไปบดขยี้กองทัพเทียนหยวนเพื่อช่วยซ่งเวินออกมาในทันที

ยู่เต๋า แม่ทัพของซ่งเทียนถูกส่งออกไปทำหน้าที่นี้ แต่ท้ายที่สุดก็ถูกพวกเทียนหยวนตีจนแตกพ่ายและยอมสวามิภักดิ์กันไปหมด ซึ่งถ้าหากเขาจะรวบรวมกองทัพใหม่ มันก็เห็นทีจะทำได้ยาก และคงไม่มีใครอยากจะสู้กับคนแคว้นเดียวกันอีกแล้ว

อย่าว่าแต่ทหาร 1 แสนเลย ในตอนนี้ทหาร 5 หมื่นก็ยังรวบรวมได้ยากเลย

ทว่า คำสั่งก็คือคำสั่ง ทำให้ยู่เต๋าไม่อาจขัดขืนได้

เขาได้รวบรวมกองทหาร 2 หมื่นนาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพวกคนไร้บ้านกับผู้ลี้ภัย ในขณะที่บางส่วนก็เป็นคนรับใช้จากตระกูลอื่นและอีกส่วนที่เหลือก็เป็นทหารของยู่เต๋าเอง

กองทัพนี้ไม่มีแม้แต่ทหารที่เก่งกาจหรือแม่ทัพที่มากประสบการณ์ พวกเขาไม่อาจสู้กับกองทัพธรรมดาได้เลย แต่ทว่ายู่เต๋าก็ไม่ได้โง่ เขารู้ถึงจุดนี้ดีจึงได้สั่งให้กองทัพของตนมุ่งหน้าไปยังชายแดนระหว่างจินกวงและกวนหนาน

และเมื่อเขาอยู่ห่างจากกองทัพเทียนหยวนไม่มากนัก พวกเขาก็พากันหยุดเคลื่อนทัพ ด้วยถึงยู่เต๋าจะได้รับคำสั่งมา แต่เขาก็ขาดความกล้าที่จะสู้พวกเทียนหยวน จึงได้แต่เพียงจัดตั้งกองทัพเพื่อรอดูสถานการณ์โดยรวม

พวกหนิงก็ไม่มาช่วยแล้ว ยู่เต๋าเองก็ยังตีหน้ามึนไม่กล้าเข้าสู้อีก ทำให้ตลอด 10 วันนั้นซ่งเวินถูกล้อมอยู่ข้างใน เช่นเดียวกับที่ภายในวันที่ 10 นี่เอง ที่กองทัพเทียนหยวนได้กองทหารม้าเบสซ่าที่นำโดย ชัวน่า ฟอน ปอช เข้ามาร่วมเสริมทัพ

ซานเชสยินดีที่จะส่งทหารมาช่วยถังหยินในการรบครั้งนี้ เช่นเดียวกับลูคัวและขุนนางคนอื่น ๆ ที่ยินดีที่จะช่วยเหลือด้านการเงิน อันเป็นเหตุผลที่ทำให้เทียนหยวนยังคงอยู่ได้จนถึงตอนนี้

ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงที่พวกเขายอม ก็เพราะหลังจากเมืองเบสซ่าทำการค้าร่วมกันเทียนหยวน มันก็ทำให้พวกเขาได้ผลประโยชน์มากขึ้นไปอีก และโดยหลัก ๆ แล้วคนที่ได้ประโยชน์ก็คือพวกขุนนางนั่นเอง

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมทางราชสำนักเบสซ่าถึงได้เต็มใจช่วยถังหยิน

ทว่าคนที่อยู่ตรงข้ามกับซานเชสเองก็มีอยู่เหมือนกัน และเขาก็คือน้องชายของเขาเอง คนีส ฟอน ปอช

ด้วยถึงแม้เขาจะเป็นสมาชิกของราชวงศ์อันยิ่งใหญ่ และมีข้าทาสมากมาย หากแต่เขาก็ไม่รู้สึกอยากสนับสนุนหรือช่วยเหลือพวกเทียนหยวนแต่อย่างใด เขาคิดเสียอีกว่าควรจะกำจัดถังหยินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ซึ่งหลังจากเจรจากันอยู่นาน ซานเชสก็ออกคำสั่งให้นำกำลังทหารไปช่วยพวกเฟิง ทำให้ชัวน่าที่ได้ยินแบบนั้นรู้สึกดีใจมาก ขออาสาเป็นแม่ทัพออกรบเองในทันที

คนีสและชัวน่านั้นเป็น 1 ใน 5 ผู้สืบทอดบัลลังค์หลัก ซึ่งตัวของคนีสนั้นก็กลัวว่าชัวน่าที่ยังไม่มีประสบการณ์จะทำให้ขายขี้หน้าได้ เขาจึงติดตามมาด้วยพร้อมกับแม่ทัพชราบลังก้า พอตติส และลูคัสกับเพื่อนของเขาที่ติดตามมาด้วย

เมื่อก่อนกองทัพเบสซ่าต่างก็เข้ามาในเฟิงเพื่อรุกราน แต่ในตอนนี้พวกเขากลับมาช่วยเหลือ

ถ้าถังหยินไม่อาจหาจุดบอดของพวกเบสซ่าได้ มันก็คงจะไม่เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ ด้วยการต่อสู้กับกองทัพเบสซ่าที่เต็มไปด้วยทหารม้าเกราะหนักแบบนี้มักจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของพวกเฟิงเสมอ

พวกมอร์ฟีเดินเท้ากันมาเนิ่นนาน ผ่านทั้งเทียนหยวน กวนหนาน จนมาถึงชายแดนระหว่างจินกวงและได้รวมกำลังเข้ากับกองทัพเฟิงในที่สุด

ชิวเจิ้น แม่ทัพของเฟิงในขณะนี้ก็ได้ให้การต้อนรับพวกต่างแดนเป็นอย่างดี

ชัวน่าไม่รู้จักชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ เลย แถมนางเองก็ไม่สนใจใครเลยด้วยนางอยากจะเจอถังหยินมาก หากแต่หญิงสาวก็ต้องผิดหวังที่ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ที่นี่ จนพานคิดจะบุกเข้าไปโจมตีพวกหนิงมันเสียเลย !!!

โชคยังดีที่ชิวเจิ้นห้ามเอาไว้ ซึ่งมันก็ต้องใช้พวกล่ามเข้ามาแปลภาษาเพื่อเจรจาให้เข้าใจกันและกันอยู่นานทีเดียว

ก่อนจะเป็นชิวเจิ้นอีกนี่แหละ ที่อธิบายสถานการณ์ตอนนี้ให้ฟัง “เหตุที่ว่านายท่านเข้าไปรุกรานไกลแบบนั้น ก็เพื่อป้องกันกองทัพหนิงไม่ให้เข้ามาช่วยซ่งเวินที่อยู่ตรงหน้าพวกเรา ดังนั้นถ้าท่านอยากจะพบนายท่าน งั้นก็ต้องช่วยกองทัพพวกเราปราบพวกกบฏให้ได้โดยเร็ว”

“นอกจากนี้ การที่องค์หญิงนำกองทัพมาแบบนี้ย่อมนับเป็นเรื่องที่ดี ด้วยพวกศัตรูยังไม่ทราบถึงข่าวนี้ ซึ่งตัวข้าก็คิดว่าจะใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ !”

ชัวน่าที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่สนใจและคิดจะปฏิเสธ แต่ทว่าพอตติสก็ชิงกล่าวขึ้นเสียก่อน “ท่านชิวพูดถูก ข้าว่าพวกเราควรจะรออยู่ที่นี่นะฝ่าบาท”