บทที่ 233

ถังหยินไม่คิดจะทรมานนางอย่างที่เย่เหล่ยคิด ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็รู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นลงไปและอยากจะอธิบายเรื่องนี้ หากแต่เมื่อได้ยินแบบนั้น เขาก็พลันเกิดอาการปากแข็งขึ้นมา “เจ้าจะไปไหนก็ได้ แต่นางจะต้องอยู่ นี่เป็นคำสั่ง !”

“ถ้านางไม่ไปข้าก็ไม่ไป !” เย่เหล่ยยืนกรานคำเดิม

“เจ้ากล้าขัดคำสั่งหรือ ?” ถังหยินขมวดคิ้วแล้วเดินเข้ามาใกล้

หมอหญิงไม่แสดงถึงความหวาดกลัวเลย เชิดอกขึ้นมา “ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ไม่ปล่อยให้นางอยู่คนเดียวแน่ !”

ถังหยินกัดฟันด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ด้วยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นความดื้อรั้นของนางจนไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ

เมื่อการเผชิญหน้ากันยังไม่ได้ข้อสรุป ยั่วหลิงที่เป็นต้นเหตุก็ยิ้มออกมาที่มุมปาก ทำให้ชายหนุ่มรู้ได้ในทันทีเลยว่านางไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็นแน่และกำลังสนุกที่ได้เห็นพวกเขาทะเลาะกัน

ยั่วหลิงเองก็หลักแหลมพอกัน เมื่อนางเห็นว่าถังหยินมองมาก็รีบแกล้งทำตัวให้เป็นที่น่าสงสารต่อ

สตรีนั้นแข็งแกร่งและมากไปด้วยเล่ห์กล ถังหยินแอบสบถด่านางในใจก่อนจะพยักหน้าให้ “ก็ได้ ข้าจะปล่อยไป แต่ข้านั้นก็กังวลที่พวกเจ้าอยู่ด้วยกันแค่สองต่อสองอยู่ดี”

เย่เหล่ยได้ยินคำพูดนี้ก็ถอนหายใจออกมา “ก็ยังดี”

ว่าแล้วถังหยินก็บอกพวกทหารให้อยู่ภายใต้คำสั่งของเย่เหล่ย แล้วจึงหันมาพูดกับยั่วหลิง “อย่าคิดอะไรแผลง ๆ ล่ะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจินฮั๋วก็คือกรงเหล็กที่ต่อให้เจ้ามีปีกก็บินหนีไม่ได้”

สายตาแบบนั้นทำให้นางตัวสั่นเทา

ยั่วหลิงคือชนชั้นสูงและเห็นผู้คนมากมายหลายตา ทว่าก็ไม่มีใครทำให้นางหวาดกลัวได้ขนาดนี้มาก่อน ด้วยแม้แต่อ๋องแคว้นหนิงนางก็ยังไม่กลัวเลย

และเมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็ทำให้ในเวลานี้นางปักใจเชื่อแน่แล้วว่าถังหยินคือศัตรูคู่อาฆาตที่จะกลายเป็นหนามยอกอกของแคว้นหนิงแน่ ๆ

เย่เหล่ยพายั่วหลิงไปด้วยกันโดยมีทหารติดตามไปด้วย

ถังหยินถอนหายใจก่อนนอนลงบนเตียง ซึ่งกลิ่นของยั่วหลิงก็ยังคงติดอยู่บนนั้น ทำให้เขาหวนนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นบนนี้

สำหรับยั่วหลิงแล้ว ถังหยินทั้งหลงใหลและสงสัยไปพร้อม ๆ กัน

เช้าวันต่อมา ที่ประตูทางใต้ก็ได้มีทหารม้าถือหอกและหัวสองหัวมุ่งหน้าตรงไปยังจุดที่คิดว่าจะไม่เป็นการล้ำเส้นจนเกินไป ก่อนที่พวกเขาจะทำการปักหอกลงบนพื้นพร้อมกับร้องตะโกน “พวกหนิงเอ๋ย ! นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าจะได้รับถ้าหากแม่ทัพของพวกเจ้าไม่รักษาสัตย์ ! แน่นอนว่าจะมีอีกสองหัวถ้าเจ้ายังจะทำแบบนี้อีก !”

หลังพูดจบพวกเขาก็กลับเมืองตัวเองไปทันที

ไม่นานนักก็มีทหารหนิงมุ่งหน้าออกมา และเมื่อเห็นหัวของเฟิงยู่ กับจินเหล่ยที่เสียบติดกับหอก พวกเขาก็ได้นำมันไปมอบให้จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้

สองแม่ทัพตะลึงงันจนถึงที่สุด หากแต่พวกเขาก็ยังต้องทำการยืนยันตัวตนของหัวทั้งสองที่เก็บมา ก่อนจะพบว่าทั้ง 2 หัวคือเฟิงยู่และจินเหล่ยอย่างแน่นอนแล้ว

สองพี่น้องจ้านเงียบกริบจนกระทั่งมีทหารพูดขึ้น “พวกเขาบอกว่า ถ้าหากท่านแม่ทัพกลับคำอีก พวกเขาจะส่งอีก 2 หัวที่เหลือตามมาขอรับ”

จ้านอู่ตี้ทุบโต๊ะอย่างโกรธเกรี้ยวจนมันหักครึ่งแล้วกู่ร้องออกมา “ถังหยิน มันจะมากเกินไปแล้ว ! พี่ใหญ่ เราจะทำอย่างไรต่อดี ?!”

จ้านอู่ฉางลูบคางตัวเองด้วยความครุ่นคิด แล้วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น “ถอยทัพ”

“ท่านแม่ทัพ !”

“ลูกของสองขุนนางใหญ่ตายไปแล้ว ถ้าอีก 2 คนที่เหลือตายไป พวกเราจะทำยังไงได้ ?” อู่ฉางพูดอย่างสิ้นหวัง เขาไม่อาจเอาชีวิตหน้าทที่การงานของตัวเองมาทิ้งเพราะความดื้อรั้นของตัวเองได้หรอก

หัวของคนทั้งสองทำให้จ้านอู่ฉางหมดความมั่นใจในการเผชิญหน้าถังหยินต่อ เขาจึงได้สั่งให้ทหารถอยทัพกลับออกไปตามที่สั่งไว้ทันที

ในตอนแรกพวกเฟิงต่างก็ประหลาดใจที่เห็นกองทัพจำนวน 4 แสนนายกำลังล่าถอยออกไป ก่อนที่ในตอนเช้าวันต่อมาพวกเขาจะหายไปจนหมดแล้วจริง ๆ

บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งค่ายของพวกหนิงร้างและมีเพียงท่อนซุงปักอยู่กับข้าวของทิ้งไว้มากมาย ทำให้พวกทหารเฟิงที่อยู่บนหอระวังภัยตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น “พวกหนิงไปแล้ว ! พวกมันถอยไปแล้ว !”

ทหารเฟิงทุกนายที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบขึ้นมาดูบนกำแพงและเห็นตามที่หน่วยระวังภัยบอกไว้จริง ๆ ด้วยที่ด้านนอกที่เคยเป็นค่ายพวกหนิงได้กลายเป็นทุ่งโล่ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเหลือเลย

พวกเขาตะโกนออกมา “นายท่านสุดยอด ! นายท่านสุดยอด ! พวกเฟิงสุดยอด ! พวกเฟิงสุดยอด !”

ถังหยินเก็บความดีใจเอาไว้แล้วเดินมายังประตูด้านหน้า ก่อนมองไปยังค่ายของพวกหนิง “ทหาร 4 แสนนายมันก็แค่พวกมดปลวกเท่านั้น ไม่ได้ดีเด่อะไรขนาดนั้น”

กองทัพเฟิงยิ่งได้ใจเข้าไปอีกเมื่อได้ยินเช่นนั้น พากันชื่นชมชายหนุ่มไม่หยุด

แม้ว่าตลอด 2 วันนี้จะยากลำบากไปหน่อย แต่พวกหนิงก็ยังไม่ได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมา และการที่พวกเขาไม่ใช้ทหารหลายแสนนายเข้าโจมตีเมือง มันก็ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขากำลังมองต่ำศัตรู แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาทำไม่ได้ต่างหาก

ด้วยเพราะอาวุธสงครามของพวกเขาได้ถูกทำลายไปแล้ว ทำให้พวกหนิงไม่กล้าที่จะเสี่ยงโจมตีครั้งใหญ่อีก และยิ่งไปกว่านั้นเสบียงอาหารของพวกเขาเองก็ถูกทำลายจนแทบจะขาดอาหารกันถ้วนหน้าอยู่แล้ว จนทำให้จ้านอู่ฉางไม่กล้าใช้กำลังทั้งหมดและได้แต่ถอยทัพกลับไป

จนถึงตอนนี้ถังหยินก็ยังคิดว่าการที่พวกหนิงถอยไปเพราะเขามีตัวประกันอยู่ในมือ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะอีกฝ่ายขาดเสบียงอาหารต่างหากเล่า !

ณ จุดนี้ การต่อสู้ของกองทัพเทียนหยวนและกองทัพหนิงก็ได้ยุติลงแล้ว

ความสูญเสียมากมายที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่อาจเข้าทำการต่อสู้ได้ในระยะอันใกล้นี้แน่ และในจุดนี้เองมันก็ทำให้กองทัพหนิงที่จะไปสนับสนุนซ่งเวินถูกปิดตายลงอย่างสิ้นเชิง

ทำให้ในตอนนี้ ทหารที่ถูกปิดล้อม ณ ทางผ่านสวรรค์ก็เริ่มจะอดยากเข้าไปทุกที จนทำให้พวกเขาไม่มีกำลังใจจะสู้อีกต่อไป