ใจดำจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร
คงปากหวานป้อยอไปอย่างนั้นกระมัง
สาวใช้ฮึดฮัดไม่พอใจ
“เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น” เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยถามขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเผยยิ้มบาง ยกมือขึ้นเท้าคางมองดูหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางลานบ้านกำลังเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ตอนนั้น คนผู้นั้นป่วยหนัก หากไม่รักษาก็คงตายไปแล้ว ข้างกายมีเพียงพี่น้องไม่กี่คน จะค้างแรมที่จุดพักม้าก็ถูกไล่ตะเพิดออกไป จำต้องเดินทางออกไปอย่างไร้จุดหมายบนเส้นทางอันเวิ้งว้าง เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งเจ็ดได้แต่ถามฟ้าดินว่าพวกเขานั้นทำอะไรผิด เจ้าคิดว่าตอนนั้นเขารอดพ้นจากอันตรายได้เช่นไร” เขาเอ่ยจังหวะเนิบนาบ
คำพูดนี้คุ้นหูนัก…
สาวใช้ได้แต่นิ่ง
หมายความว่าอย่างไรกัน ปั้นฉินสับสน แต่ก็ทำได้เพียงก้มหาก้มตาเก็บฟูกต่อไป
“เจ้าดูสิ คำพูดของเจ้าน่ะใจดำยิ่งนัก” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางหัวเราะ ก่อนจะสลับมืออีกข้างขึ้นมาเท้าคาง “ที่เจ้าพูดกับข้าน่ะยิ่งกว่าใจดำเสียอีก…”
สาวใช้นึกออกในทันใด
ในตอนนั้น แสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่องท่ามกลางหุบเขา ชายหนุ่มผู้นั้นกางแขนออกพร้อมกับรอยยิ้ม
‘แม่นาง เจ้าเป็นคนช่วยข้าไว้ พอใจหรือยัง’
‘ช่วยเจ้า ไม่ได้ทำให้ข้าพอใจ แต่หากได้ช่วยเป็นครั้งที่สอง ข้าจะสะใจ’
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า หญิงสาวนางหนึ่งพูดจาน้ำเสียงแข็งทื่อพลางเปิดผ้าคลุมหน้าออก
“แต่สำหรับข้า ความใจดำของเจ้ากลับเป็นเรื่องดี เพราะเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบางก่อนจะเก็บมือลง
ใช่หรือ
ปั้นฉินหยุดมือลง ทั้งตกตะลึงทั้งประหลาดใจ
ที่แท้นายหญิงเคยช่วยชีวิตชายผู้นี้ไว้หรอกหรือ
สาวใช้เอาแต่หัวเราะคิกคัก
“เป็นอะไรไปหรือพี่สาว” ปั้นฉินเอ่ยถาม
“หากท่านชายหกอยู่ คงจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง” สาวใช้เอ่ยพลางหัวเราะเสียงแผ่วเบา
ชายที่ชื่อปั้งฉุยผู้นั้นน่ะหรือ
ปั้นฉินแปลกใจยิ่งกว่าเดิม
‘เจ้าไม่มีเงิน แต่ก็มิใช่เหตุผล ที่จะรังแกผู้อื่น’
หญิงสาวสีหน้าไร้อารมณ์ แถมยังเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา ว่ากล่าวชายยากจนที่ยื่นอยู่เบื้องหน้าจนเขาทำตัวไม่ถูก
‘พวกเขาไม่มีเงิน เจ้า เอาเงินให้พวกเขาสักหน่อยสิ’
แต่แล้วสุดท้ายนางก็พูดออก
ยามที่นางเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา ผู้ใดต่างก็คาดเดาไม่ออกว่านางจะพูดอะไรต่อ
สาวใช้เงยหน้าขึ้นแล้วหันมองไปนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มบนกำแพงกำลังพูดอะไรบางอย่างด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คนพวกนั้นเป็นอะไรกับเจ้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องถามอย่างสงสัย
เหตุใดเจ้านี่ถึงได้ถามไปหมดเสียทุกเรื่อง
สืบหาเอาเองก็รู้มิใช่หรือ
จะแสร้งทำเป็นใสซื่อไปเพื่อเหตุใดกัน
สาวใช้ฮึดฮัด ไม่สนใจอีกต่อไป นางก้มหน้าหอบกองหนังสือก่อนจะออกไปจากห้องพร้อมกับปั้นฉิน
สองสาวใช้เดินมาถึงระเบียงก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงกับกำลังเงยหน้ามองบนกำแพง
“เป็นครอบครัวของข้า” นางตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า
“ครอบครัวเจ้าคนเยอะไม่เบา” เขาเอ่ยท่าทางราวกับอิจฉา “คงครื้นเครงน่าดูสินะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เจ้ายังไม่ได้กินข้าวหรือ” นางถาม
เป็นครั้งแรกที่นางเอ่ยปากถามก่อน จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ยังเลย กว่าจะหาโอกาสออกมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าเลยยังไม่ทันได้กิน” เขาตอบ
“เช่นนั้นก็เชิญมากินข้าวที่เรือนข้า” เฉิงเจียวเหนียงพูด
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มกว้างจนเผยเรียวฟัน
“เช่นนั้น เกรงว่าแม่นางจะไม่สะดวก” เขาพูด
ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดเจ้านี่ก็รู้จักเกรงอกเกรงใจนายหญิงเสียที!
สาวใช้ย่นจมูกฮึดฮัด จัดเรียงหนังสือไปพลาง เงี่ยหูฟังไปพลาง
เฉิงเจียวเหนียงเผยยิ้มบาง
“ไม่มีแขก ไม่มีธุระ ข้าจะไม่สะดวกได้อย่างไร” นางเอ่ย
หญิงสาวร่างบาง ใบหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงแหบพร่า ยิ่งมองจากมุมสูงลงมา ร่างเล็กของนางยิ่งยิ่งดูบอบบางเป็นเท่าตัว
ทว่าน้ำเสียงของนางกลับให้ความรู้สึกหนักแน่นยิ่งนัก
เหมือนดั่งเช่นวันนั้นที่นางเดินเข้ามาใกล้แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าออก
‘ช่วยเจ้า ไม่ได้ทำให้ข้าพอใจ แต่หากได้ช่วยเป็นครั้งที่สอง ข้าจะสะใจ’
น้ำเสียงแสนมั่นใจแต่ใบหน้าหน้ากลับไร้อารมณ์
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบาง
“แต่ว่าข้าไม่สะดวก” เขาเอ่ย ท่าทางเสียดายไม่น้อย ทว่าทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าห่อกับข้าวที่เจ้าทำแล้วยื่นมาให้ข้าบนนี้สิ”
สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็วางหนังสือในมือลงก่อนจะหันไปมองปั้นฉินที่อยู่ด้านข้าง
“ปั้นฉิน ข้าเก็บกวาดให้เอง เจ้าไปดูแลท่านชายน้อยผู้นั้นเถิด” นายเอ่ย
ปั้นฉินเม้มปากยิ้ม
“ได้สิ เช่นนั้นข้ารบกวนพี่ปั้นฉินด้วย” นางเอ่ยพลางลุกเดินออกไป
ภายในห้องส่วนตัวของร้านอาหาร พอท่านชายฉินโบกมือขึ้น บ่าวที่อยู่ในห้องก็ถอยออกไป
เขามองท่านชายโจวหกที่เอาแต่นั่งคอตกอยู่เบื้องหน้า
หากเป็นแต่ก่อน ไม่ว่าจะโมโหหรือว่าดีใจ ชายหนุ่มผู้นี้คงดื่มเหล้าไปครึ่งไหได้แล้ว ทว่าตอนนี้เขากลับเอาแต่นั่งก้มหน้า ไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว ราวกับซากศพมิปาน
ตำราว่าไว้ คนที่ดูเหมือนไร้หัวใจแท้จริงแล้วอ่อนไหวที่สุด คนที่เศร้าโศกแต่ไม่ร้องไห้ฟูมฟาย
คือคนที่เจ็บปวดหัวใจมากที่สุด
ท่านชายฉินทอดถอนใจ
“นางจงใจแกล้งเจ้า เจ้าก็เชื่อหรือ” เขาเอ่ย
“นางไม่ได้แกล้ง!” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงเคือง “นางใจดำอำมหิตเช่นนั้น แม้แต่ฆ่าคนก็ทำได้ลงคอ”
“ข้ากลับไม่เห็นเช่นนั้น” ท่านชายฉินส่ายหน้า
ท่านชายโจวหกเงยหน้ามองเขา
“นางมีจิตใจเมตตานัก” เขาเอ่ยพลางยกยิ้มบาง
“คนเช่นนางน่ะหรือมีจิตใจเมตตา” ท่านชายโวหกกัดฟันพูด
ท่านชายฉินพยักหน้า
“คนใกล้ตัวย่อมรู้ดี” เขาเอ่ยพลางรินเหล้าให้ตัวเอง “เจ้าดูสิว่านางปฏิบัติต่อเจ็ดพี่น้องแห่งเม่าหยวนซานอย่างไร”
พ่อบ้านเฉาเองก็เคยพูดเช่นนี้ ในตอนนั้นระหว่างทางนางบังเอิญเจอกับเจ็ดพี่น้องแห่งเม่าหยวนซานได้อย่างไร แถมยังช่วยรักษาให้พวกเขาอีก
“หญิงผู้นั้นจิตใจโหดเหี้ยม ใครจะไปรู้ว่าตอนนั้นนางมีแผนอะไรอยู่ ถึงได้ช่วยเหลือพวกเขา” ท่านชายโจวหกพูด
“ไม่ว่านางจะมีแผนการอะไร แต่นางก็ได้ช่วยพวกเขา ช่วยชีวิตของพวกเขา มอบชีวิตใหม่ให้พวกเขา เจ้าดูตอนนี้สิ ที่นางทำไปก็เพียงเพราะต้องการขอบคุณพวกเขาเรื่องจินเกอร์” ท่านชายฉินเอ่ยพลางจิบเหล้า
ขอบคุณพวกเขา เรื่องจินเกอร์อย่างนั้นรึ
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว
“ใช่ไหมล่ะ เจ้าดูไม่ออกหรือ แม้จะดูเหมือนฝืนใจ แต่นางก็เป็นของนางเช่นนั้นแหละ ดูเหมือนจะฝืนใจเข้าไปช่วยเหลือ แต่แท้จริงแล้วนางกำลังตอบแทนบุญคุณ คนจิตใจเมตตาเช่นนี้ ช่างใส่ใจผู้อื่นนัก” ท่านชายฉินเอ่ยพลางยิ้ม
ท่านชายโจวหกมีสีหน้าประหลาด
ช่างใส่ใจผู้อื่นนักอย่างนั้นรึ
นี่พวกเขากำลังพูดถึงคนเดียวกันอยู่หรือเปล่า
“แม้คนอื่นจะไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร นางไม่ได้สนใจ นอกจากเจ็ดพี่น้องแห่งเม่าหยวนซานแล้ว ก็ยังมีปั้นฉินอีกคน” ท่านชายฉินพูดต่อโดยไม่รอให้ท่านชายโจวกหกแทรก “เจ้าคงคิดว่านางจงใจมาทวงบุญคุณ แต่แท้จริงแล้วทั้งหมดคือแผนการของนาง นางเพียงแค่รอให้วันนั้นมาถึงก็เท่านั้น”
ท่านชายโจวหกฮึดฮัด
“ก็อย่างที่ว่าล่ะหนา โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอนจริงๆ” ท่านชายฉินหัวเราะอย่างถอนใจ “เรื่องจริงเป็นดั่งที่เจ้าเห็นจริงๆ หรือ ในสายตาผู้อื่นเรื่องราวอาจแตกต่างออกไปก็ได้ ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ไม่มีสิ่งใด แน่นอน ไม่กี่วันก่อนพระอาจารย์หมิงไห่เพิ่งถามปริศนาธรรมไป พระอาจารย์ท่านหนึ่งจากหนานโจวถามท่านว่าที่ธงปลิวนั้น เพราะสายลมขยับหรือว่าธงขยับ บ้างก็ว่าสายลมขยับ บ้างก็ว่าธงขยับ ต่างคนต่างความคิด…”
“เอาล่ะ พอได้แล้ว” ท่านชายโจวหกยกมือขึ้นปรามก่อนจะเอื้อมไปบีบนวดต้นคอของตัวเอง “อย่าถามปริศนาธรรมกับข้าเลย ข้าปวดหัวจะแย่”
เขาพูดพลางยกจอกเหล้าด้านหน้าขึ้นซดจดหมด
ท่านชายฉินยิ้มไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะยกเหล้าขึ้นดื่มช้าๆ เช่นกัน
พอออกมาจากร้านอาหาร ก็มีบ่าวรับใช้จูงม้าของท่านชายโจวหกมาส่ง เพราะเมื่อครู่เขารีบร้อนวิ่งหนีออกมา ม้าจึงตามตัวเจ้านายออกมาด้วย
ท่านชายโจวหกยื่นมือออกไปตบม้าพลางถอนใจ
“กลายเป็นว่าเจ้ามาปลอบใจข้าเสียอย่างนั้น” เขาเอ่ยแล้วหันกลับไปมองท่านชายฉิน ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ที่จริงคนที่เป็นทุกข์คือเจ้าต่างหาก”
“ข้าไม่ได้เป็นทุกข์” ท่านชายฉินหัวเราะ “เมื่อเห็นโอกาส เหตุใดถึงต้องทุกข์ ยังไม่ทันจะได้ดีใจด้วยซ้ำไป”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงอืม
“หนึ่งปีไม่สำเร็จ ก็รอสองปี สามปี สี่ปี ห้าปี คงมีสักวันที่นางใจอ่อน” เขาเอ่ยพลางกระชับเชือกบังเหียนในมือแน่น
ท่านชายฉินพยักหน้ายิ้ม
“เช่นนี้สิ ถึงจะสมกับเป็นโจวฝู” เขาเอ่ย “คราวนี้น้องสาวเจ้าเจอเรื่องยุ่งยากเข้าจริงๆ ข้าคิดว่าที่พ่อครัวผู้นั้นเกิดเรื่อง และที่ท่านพ่อเจ้าเกิดเรื่อง ก็คงเพราะเหตุเดียวกัน”
พ่อครัวกับขุนนางฝ่ายบู๊ จะเหมือนกันได้อย่างไร
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วมองเขา ราวกับกำลังครุ่นคิด
“เรือนไท่ผิง!”
ทั้งสองเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
…………………………………………..