บนโลกใบนี้ไม่มีความบังเอิญ มีแต่กงเกวียนกําเกวียน
“ใช่ เพราะเรือนไท่ผิง”
สวีเม่าซิวที่อยู่ในห้องเอ่ยขึ้น
เมื่อความมืดมิดมาเยือน เป็นดั่งคาดไว้ไม่มีผิด สวีเม่าซิวรีบพาตัวสวีปั้งฉุยและฟ่านซานโฉ่วสองพี่น้องกลับมาจากนอกเมืองในทันที ส่วนฟ่านเจียงหลินนำเหล่าพี่น้องคนอื่นๆ คุ้มกันเรือนไท่ผิงเอาไว้
สองสองภรรยาบ้านหลี่ต้าเสา รวมถึงแม่และลูกของเขาก็ถูกรับตัวมาอาศัยอยู่ที่เรือนไท่ผิง เพื่อป้องกันไม่ให้คนชั่วลงมือได้อีก ส่วนซุนไฉก็ไม่ยอมออกจากโรงงานเต้าหู้แม้แต่ก้าวเดียว
“ตอนกลับไปพวกเราได้ถามหลี่ต้าเสาว่าไปล่วงเกินผู้ใดเข้ากันแน่” สวีเม่าซิวเอ่ยต่อ “ตอนแรกเขาก็นึกไม่ออก สะใภ้ซ่งก็บอกว่าพวกเขาสองสามีภรรยาเป็นคนซื่อตรงมาแต่เกิด ไม่เคยทะเลาะหรือบาดหมางกับใครมาก่อน ตอนหลังข้าจึงถามเขาว่า การไม่ทะเลาะกับผู้ใด หรือไม่พูดจาแรงใส่ ใช่ว่าจะไม่ได้ล่วงเกินผู้อื่น บางครั้งการที่ไม่ทำตามปรารถนาของผู้อื่นก็ถือเป็นการล่วงเกินเช่นกัน และถามว่าช่วงนี้เขาได้ร้องขออะไรกับผู้ใดหรือไม่”
สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาก่อนจะคุกเข่าลงแล้วดันถ้วยน้ำชามาให้
“ท่านชายสาม ตอนที่เราเจอสะใภ้ซ่งที่เรือนไท่ผิงในคราวนั้น…” นางเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงพูดแทรกขึ้น
สวีเม่าซิวพยักหน้าให้นาง
“ตอนนั้นนั่นล่ะ” เขาเอ่ย “เดิมทีหอจุ้ยเฟิ่งหรือเจ้าของเรือนนางฟ้านั้น ตั้งแต่ที่เราเริ่มขายเต้าหู้ โต้วชีก็ให้คนมาเชิญหลี่ต้าเสากลับไปที่เรือนนางฟ้า หลี่ต้าเสาปฏิเสธอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์นักเลงมาก่อความวุ่นวายที่เรือนไท่ผิงของเรา”
“ที่แท้จูอู่ไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรอกหรือ!” สวีปั้งฉุยตะโกนขึ้น
“ไม่ใช่ คนที่อยู่เบื้องหลังจะฆ่าตัวตายได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“เหตุใดถึงไม่ได้เล่า” สวีปั้งฉุยถามอย่างงุนงง
แผนการถูกล่วงรู้ช้า ไร้หนทางหนี จึงตัดสินใจจากไปเพื่อเอาตัวรอดอย่างไรเล่า
“เพราะว่า พวกเขารอให้คนมาแก้แค้น ตายเร็วเช่นนั้น ง่ายเกินไป จะสนุกอะไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางยิ้มบาง
ว่าอย่างไรนะ
สวีปั้งฉุยกะพริบตาอย่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สมองคิดตามไม่ทัน
“น้องสาวหยอกข้าเล่นอีกแล้ว!” เขาเอ่ยเสียงเคือง
สาวใช้หัวเราะขึ้นมา บรรยากาศในห้องคลายความตึงเครียดลง ก่อนจะเริ่มครื้นเครงขึ้นมา
“ดูท่าทางแล้ว โต้วชีน่าจะอยู่เบื้องหลังทั้งหมด” สวีเม่าซิวหยุดหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น
“ไอ้สารเลวนั่นต้องการอะไรกันแน่! เราซื้อร้านอาหารให้เงินเพิ่มขึ้นไปเกือบครึ่ง” สวีปั้งฉุยทำตาเขม็งพร้อมตะโกนขึ้น
“นายหญิงยังสอนพ่อครัวของเขาด้วยเจ้าค่ะ ว่าจะทำอย่างไรให้หม้อไฟเนื้อกระต่ายอร่อยยิ่งขึ้น” สาวใช้เอ่ยต่อ
“เป็นผู้มีพระคุณแท้ๆ เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้กับเราด้วย” สวีปั้งฉุยได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโมโห “พิลึกคนนัก!”
ยิ่งพูดทุกคนก็ยิ่งเดือดดาล
“ไม่ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณอะไรหรอก” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า “แวดวงเดียวกันมักจะเป็นคู่แข่งกัน ข้าไม่ได้คิดจะเป็นผู้มีพระคุณของเขาอยู่แล้ว”
มิเช่นนั้นก็คงไม่มีสุขใจไร้กังวลหรอก…
สาวใช้กระแอมเบาๆ
“โลกใบนี้ช่างยากลำบากนัก ทำการค้าไม่ง่ายเลย มีคนว่าร้ายเขามากมาย เหตุใดจึงต้องมีปัญหากับแค่เรา แถมยังโหดเหี้ยมได้ถึงปานนี้ จนหลี่ต้าเสาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ น่าชังนัก” นางเอ่ย
“โลภ โกรธ หลง ยึดติด เกลียดชัง เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ไม่แปลก”
“น้องสาวยังพูดแทนเขาอีก!” สวีปั้งฉุยเอ่ยพลางทำตาเขม็ง
“ก็แค่คำพูด พูดใดก็ทำได้แสนง่ายดาย” เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม
สวีปั้งฉุยส่งเสียงเคืองฮึดฮัด
“คราวก่อนเขาดูตกใจกลัวแท้ๆ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้เหิมเกริมเช่นนี้ได้” สวีปั้งฉุยเอ่ย
“เพราะเขารู้แล้วว่าเรือนไท่ผิงเป็นของผู้ใด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
คนเราจะกลัวแต่สิ่งที่ไม่รู้ เมื่อได้กระจ่างแจ้งแล้ว ก็ย่อมไม่กลัวอะไรอีก
“เช่นนั้นน้องสาวก็ตกอยู่ในอันตรายแล้วน่ะสิ” สวีเม่าซิวขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าแค่พวกเขาสามคนยังไม่พอ ต้องเรียกมาอีกสักคน หากยังไม่ไหวอีก ก็ต้องหลบภัยกันที่เรือนไท่ผิงแล้วกัน
“ข้านั้นยังไม่เท่าไร มีคนมารับกระสุนแทนข้า” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สาวใช้ที่นั่งอยู่ด้านข้างเข้าใจในทันใด
“อ้อ ที่แท้ที่นายใหญ่โจวเกิดเรื่องก็เพราะเช่นนี้นี่เอง!” นางเหยียดตัวตรงแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ
วันนั้นท่านชายโจวหกมาหาด้วยความเกรี้ยวกราดแล้วถามเพียงว่า ‘เรื่องพ่อข้าเจ้าเป็นคนทำใช่หรือไม่’ ถามอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุจากนั้นก็กลับไป ตอนนั้นยังรู้สึกพิลึกคนนัก ตอนนี้นางเพิ่งจะเข้าใจ
ด้วยประสบการณ์ของนายใหญ่โจวแล้ว ไม่น่าจะมีเรื่องขึ้นมากะทันหันได้ แถมยังเป็นตอนที่เขาไม่อยู่เมืองหลวงอีกต่างหาก ที่แท้ก็ถูกหมายหัวว่าเป็นเจ้าของตัวจริงของเรือนไท่ผิงนี่เอง
ฉะนั้นจึงมีคนมาตามแก้แค้น ฉะนั้นนายหญิงจึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
สาวใช้พยักหน้า
“เช่นนั้นก็คงไม่ใช่ฝีมือของโต้วชีเพียงคนเดียวแน่!” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้ โต้วชีคงจะไม่ใช้แค่ปู่บุญธรรมของเขามาข่มขู่ข้าเสียแล้ว” นางเอ่ย
ราชเลขานุการหลิวอย่างนั้นรึ!
เช่นนี้ก็ไม่ง่ายเหมือนตอนจัดการนักเลงเหล่านั้นแล้ว!
สาวใช้นั่งลงแล้วพรวดพราดลุกขึ้นมา
“ข้าจะไปหานายใหญ่ นายใหญ่ออกไปข้างนอก แต่นายท่านยังอยู่เจ้าค่ะ” นางเอ่ย
“ไม่ต้องหรอก” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเล็กน้อย
ยังไม่ต้องอีกหรือ!
สาวใช้ขยับเข้าไปใกล้อย่างอดไม่ได้
“นายหญิง ราชเลขานุการหลิวผู้นี้มีชื่อเสียงด้านดีในเมืองหลวงมาตลอด มีสหายมากมายในราชสำนัก โด่งดังยิ่งนัก ทั้งยังมีอำนาจคัดเลือกขุนนางระดับบัญชาการได้อีก จะประมาทไม่ได้นะเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างร้อนรน “ราชเลขานุการหลิวผู้นี้ทำอะไรระแวดระวังเสมอ ในเมื่อกล้าทำแถมยังลงมือทำแล้ว ก็ย่อมเตรียมวิธีการรับมือไว้แล้วแน่นอน แม้นายใหญ่โจวจะกลับมา นางเกรงว่าจะไม่เป็นผล”
เฉิงเจียวเหนียงฟังอย่างตั้งใจแล้วพยักหน้า
“ชื่อเสียงด้านดี อำนาจใหญ่ ระแวดระวัง”
ขณะที่สาวใช้นึกว่านางจะตกลงให้ไปหานายใหญ่จางนั้น เฉิงเจียวเหนียงก็เอ่ยคำพูดนี้ขึ้นมา
“เขายังมีเรื่องอะไรอีก เจ้าลองเล่ามาให้ละเอียดสิ” นางถาม
“นายหญิง ข้าไม่ค่อยได้ติดตามนายใหญ่ตอนอยู่เมืองหลวงนัก คุ้นเคยเพียงตระกูลสูงศักดิ์ที่ชอบออกหน้าออกตางานสังคม ราชเลขานุการหลิวนั้นเป็นคนเรียบง่ายไม่ทำตัวโดดเด่น น้อยนักที่จะร่วมโต๊ะอาหารกับผู้อื่น จึงไม่เป็นจุดสนใจนัก เรื่องโต้วชีครั้งก่อน ข้าตั้งใจไปสืบ มิเช่นนั้นก็คงไม่รู้เรื่องนี้หรอกเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างร้อนรน
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ไม่ทำตัวโดดเด่น เรียบง่าย” นางเอ่ยย้ำ “ดูเหมือนว่า คนผู้นี้จะร้ายกาจยิ่งนัก”
“ใช่เจ้าค่ะ ร้ายกาจมากเจ้าค่ะ” สาวใช้พยักหน้า “เช่นนั้นข้าไปหานายใหญ่นะเจ้าคะ…”
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
“เจ้าบอกเองว่าเขาเป็นคนระมัดระวัง ในเมื่อกล้าทำก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้อยู่แล้ว เขาย่อมรู้ว่าเพราะตระกูลโจวมีข้า จึงได้มีความสัมพันธ์กับตระกูลเฉินและตระกูลถง รวมถึงคนป่วยที่รอการรักษาอีก ฉะนั้นเขาคงไม่กลัวอยู่แล้ว หากข้าร้องความช่วยเหลือจากผู้ใด” นางเอ่ย “ในเมื่อเขาทำเรื่องเช่นนี้ได้ ก็ต้องมีเหตุผลที่ฟังขึ้นแน่นอน”
พอสาวใช้คิดได้เช่นนั้นแล้ว จึงกลับลงไปนั่งด้วยสีหน้าร้อนรน
“ไปหานายใหญ่จางเพื่ออะไร ให้เขาพูดให้หรือ” เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า “กดดันหรือ เกรงว่าเขาคงจะรออยู่เลยเชียว”
เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี
ภายในห้องเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง
แม้สวีปั้งฉุยจะไม่ค่อยเข้าใจที่พวกนางพูดกัน แต่ก็พอรู้ว่าคงพบปัญหายุ่งยากเข้าแล้ว
“ท่านพี่ ราชเลขานุการอะไรนี่ ร้ายกาจนักหรือ” เขาเอ่ยกระซิบถามซานโฉ่วที่อยู่ด้านข้าง
“ขุนนางใหญ่แห่งเมืองหลวง ก็ย่อมร้ายกาจอยู่แล้ว” ฟ่านซานโฉ่วเอ่ยเสียงเบา
สวีปั้งฉุยส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วมองดูทั้งสามคนในห้องที่กำลังเหม่อลอยอยู่
“คนฉลาดมักจะคิดมาก เรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าเขารังแกพวกเรา ก็ต้องเป็นความผิดของเขา เขามีอำนาจแล้วอย่างไรเล่า ก็ต้องมีเวลาที่ตกอับบ้างละ เข้าไปจี้ตัวแล้วจับถลกหนังถ่วงน้ำเสีย เอาให้หาศพไม่เจอเลยยิ่งดี เช่นนั้นถึงจะสะใจ!” เขาเอ่ย
เขาเอ่ยเสียงดังลั่น แม้จะยั้งแรงบ้างแล้วก็เบาลงได้ไม่เท่าไร แถมอารมณ์กำลังเดือดดาล แม้จะกระซิบกันอยู่ แต่ก็ได้ยินไปทั่วทั้งเรือน
“หุบปาก ไม่รู้แล้วจะพูดไปเรื่อยอีก!” สวีเม่าซิวตะคอกอย่างตำหนิ
สวีปั้งฉุยเงียบลงด้วยความน้อยใจ
“คราวก่อนที่ได้ฆ่าก็สาแก่ใจข้านัก…” เขายังคงพึมพำ
“แล้วคิดว่าจะเหมือนคราวก่อนอย่างนั้นหรือ” สวีเม่าซิวขมวดคิ้วตะคอกใส่
เมื่อคนที่ต่อกรด้วยเปลี่ยนไป เรื่องที่ต้องเผชิญก็ย่อมต่างออกไปเช่นกัน คราวก่อนพวกเขาอยู่ในที่ลับ คราวนี้อีกฝ่ายอยู่ในที่ลับ ครั้งก่อนพวกเขามีเหตุอันควร แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับไร้เหตุผล
สวีปั้งฉุยก้มหน้าลงไม่พูดอะไรอีก
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สวีปั้งฉุยเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ
น้องสาวเห็นด้วยกับคำพูดของเขาเหมือนครั้งที่แล้วหรือ
“บนโลกใบนี้ บางครั้ง ฆ่าคนก็ไม่จำเป็นต้องนองเลือด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางยิ้มบาง
………………….