ตอนที่ 217 เจรจา

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ท่านน้าฉือดูสบายอกสบายใจเช่นนี้ได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ

เขาเคยพูดว่า ตอนเดินทางกลับจะแวะเดินเที่ยวทุกๆ เมืองที่ผ่าน เนื่องจากเขาต้องคำนวณกระแสน้ำอะไรนั่นกับท่านผู้เฒ่าซ่ง นางคิดว่านั่นเป็นธุระที่สำคัญ ดังนั้นจึงอดทนอยู่ในแต่ห้องโดยสารโดยไม่งอแง ตอนนี้มาถึงเมืองฉางโจวแล้ว หากเขาจำเรื่องหวีสับไม่ได้ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เห็นๆ อยู่ว่าเขาจำเรื่องหวีสับได้ แล้วเหตุใดถึงลืมเรื่องที่นางต้องการซื้อหวีสับไปได้ เขาไม่รักษาสัญญาเช่นนี้ ก็ออกจะเกินไปแล้ว!

โจวเสาจิ่นพูดเข้าเรื่องอย่างตรงประเด็นว่า “ท่านน้าฉือ ข้าอยากซื้อหวีสับ ท่านให้พ่อบ้านฉินช่วยซื้อกลับมาให้ข้าสักสองสามชุดได้หรือไม่เจ้าคะ”

เฉิงฉือเกือบจะหงายหลัง

ปกติเวลาคนจะขอความช่วยเหลือไม่ใช่ว่าต้องกล่าวทักทายกันก่อนสักเล็กน้อยถึงจะเข้าเรื่องมิใช่หรือ

นางกล่าวออกมาอย่างไม่อ้อมค้อมเลยเช่นนี้ได้อย่างไร

ยังให้ความรู้สึกเหมือนออกคำสั่งเขาอะไรนั่นอีก

หากเขาไม่รับปากนางจะทำอย่างไร

เฉิงฉือขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยถามเจ้า เจ้าบอกว่าซื้อหวีสับมาแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดเจ้าถึงอยากจะซื้ออีกเล่า! ของอย่างหวีสับก็เป็นเพียงของเล็กๆ น้อยๆ เจ้าจะซื้อกลับไปมากมายเพียงนั้นเพื่ออันใด อีกอย่างเจ้าก็ซื้อเครื่องประดับแก้วไปแล้วตั้งมาก น่าจะเพียงพอสำหรับนำไปฝากผู้คนแล้ว ข้าจะบอกอะไรเจ้าอย่างหนึ่ง การมอบของให้ผู้อื่นก็เป็นศาสตร์ชนิดหนึ่ง หากทุกคนล้วนได้รับกันหมด มันก็จะไม่ใช่ของหายากแล้ว เจ้ากะจะทำอย่างคนที่พบหน้ากันแล้วมอบของพบหน้าให้แก่กันทุกคนอย่างนั้นหรือ”

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง

ท่านน้าฉือหมายความว่าอย่างไร

ไม่ชอบที่นางซื้อของมากไปอย่างนั้นหรือ

นางไม่ได้ใช้เงินของเขา…ไม่สิ ครั้งนี้นางไม่ได้กะจะใช้เงินของเขาซื้อเสียหน่อย!

นอกจากนี้นางเป็นคนมาสองชาติภพ ไม่ว่าอยากซื้ออะไรก็จะซื้อ…แต่ว่า เหมือนกับว่าชาติก่อนพี่สาวก็เคยว่ากล่าวนางเช่นนี้เหมือนกัน…

นางรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะซื้อหวีสับเพียงชุดเดียวเท่านั้น สำหรับมอบให้ท่านยายเจ้าค่ะ ท่านก็ทราบ ท่านยายมีบุญคุณกับข้าหนักเท่าภูเขา แล้วก็ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะได้ออกจากบ้านมาครั้งหนึ่ง คงไม่อาจให้กลายเป็นว่าข้าเอาของฝากกลับไปตั้งหลายอย่าง แต่ขาดเพียงของๆ ท่านยายหรอกกระมัง!” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวต่อว่า “ต่อไปข้าจะไม่ออกจากบ้านอีกแล้ว! ออกจากบ้านต้องเอาของฝากกลับไปฝากคน เรื่องพวกนี้ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก เครื่องประดับแก้วเหล่านั้นข้าก็ไม่ได้จะเอาไปแจกจ่ายผู้คนจนหมด บางชิ้นข้าเองก็ชื่นชอบยิ่งนัก กะว่าจะเก็บเอาไว้ใช้เอง ทั้งราคาถูกและสวยงาม แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำแตกโดยไม่ระวัง บางส่วนข้ากะว่าจะมอบให้พี่สาวนำไปที่ตระกูลเลี่ยวด้วย ท่านไหนเลยจะทราบเรื่องหลังบ้าน พี่สาวของข้าเป็นบุตรสาวคนโตที่ไร้มารดา เดิมทีที่ตระกูลเลี่ยวยอมรับการแต่งงานในครั้งนี้ นอกจากพี่สาวจะดูเหมาะสมกับการเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลแล้ว ยังเป็นเพราะว่าการแต่งงานในครั้งนี้ได้รับการแนะนำจากท่านลุงใหญ่จิงด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ข้อเรียกร้องและความต้องการที่ตระกูลเลี่ยวมีต่อพี่สาวของข้าจึงมากกว่าผู้อื่น หากพี่สาวคิดจะมีที่หยัดยืนที่มั่นคงในตระกูลเลี่ยว ก็ต้องออกแรงมากกว่าผู้อื่นมาก ไม่อย่างนั้นท่านพ่อของข้าจะจัดเตรียมสินสมรสให้พี่สาวของข้ามากมายเพียงนั้นไปเพื่ออันใด”

เฉิงฉือไม่รู้จะกล่าวอะไรดีแล้ว

เหตุใดเด็กผู้นี้ถึงจับใจความสำคัญไม่ได้อยู่ตลอด!

ตอนนี้เขากำลังพูดเรื่องหวีสับกับนาง แต่นางกลับพูดออกนอกเรื่องไปถึงเรื่องของพี่สาวนางขึ้นมาได้

ในหัวสมองของนางบรรจุอะไรเอาไว้บ้างนะ

เฉิงฉืออดไม่ได้ที่จะกระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาของกลับไปฝากผู้คนก็เลยจะไม่ออกจากบ้านแล้วอย่างนั้นหรือ”

เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!

ถ้าได้ออกจากบ้านจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้อีกก็พอ!

โจวเสาจิ่นรู้สึกอับอาย

ท่านน้าฉือต้องรู้สึกว่านางพูดจาเป็นเด็กและน่าเบื่อกระมัง

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย

ต่อไปนางยังต้องขอร้องให้ท่านน้าฉือช่วยนำความไปบอกเฉิงจิงอีก!

แต่เวลานี้นางไม่อาจยอมรับได้ หากนางยอมรับ ท่านน้าฉือจะยิ่งไม่เห็นนางอยู่ในสายตามากขึ้นหรอกหรือ!

โจวเสาจิ่นจ้องเฉิงฉือ กล่าวขึ้นว่า “ที่ผ่านมาท่านน้าฉือไม่เคยบ่นอะไรเลยหรือเจ้าคะ ข้าก็เพียงพูดไปอย่างนั้นเท่านั้น จะเลิกกินอาหารเพราะกลัวสำลัก[1]ได้อย่างไร เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาของกลับไปฝากผู้คนก็เลยไม่ออกจากบ้านได้อย่างไรเจ้าคะ”

เด็กผู้นี้มีเหตุผลมาอีกแล้ว!

เฉิงฉือเบิกดวงตาโพลง

โจวเสาจิ่นรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านให้พ่อบ้านฉินช่วยซื้อหวีสับกลับมาให้ข้าสักชุดหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ อย่างมากก็…อย่างมากต่อไปข้าจะตอบแทนท่านก็แล้วกันเจ้าค่ะ!”

นางไม่อาจมีปัญหากับท่านน้าฉือด้วยเรื่องเช่นนี้ได้ นางยังมีเรื่องต้องขอร้องเขา สุดท้ายคนที่แพ้ก็จะต้องเป็นนางอยู่ดี!

เฉิงฉือชำเลืองมองโจวเสาจิ่น

ตอบแทนเขา?

นางจะเอาอะไรมาตอบแทนเขา?

เด็กผู้นี้ช่างพูดออกมาได้!

นี่กับการวาดก้อนขนมกลางอากาศมีอะไรที่แตกต่างกันอย่างนั้นหรือ!

เขามีท่าทีดูแคลนต่อคำพูดของนางยิ่งนัก

โจวเสาจิ่นใบหน้าร้อนผะผ่าว ยิ้มอย่างกระดากอาย

คำพูดของนาง…ออกจะเกินจริงไปบ้างจริงๆ แต่ท่านน้าฉือก็ไม่ควรจะหัวเราะเยาะนางเช่นนี้นี่นา!

เขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของนาง!

เหตุใดถึงไม่มีท่าทางของผู้หลักผู้ใหญ่ที่พึงมีเลยเล่า

ครั้งแรกที่นางได้พบเขาไม่เห็นเป็นเช่นนี้เลย

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่อาจเข้าไปใกล้เกินไปนัก…

นางได้แต่กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าพูดจริงๆ นะเจ้าคะ หรือไม่ ให้ข้าปักภาพองค์กวนอิมถือแจกันให้ท่านภาพหนึ่งดีหรือไม่ ท่านมักจะเดินทางไปมาอยู่ข้างนอก ต้องได้ต้องรับแขกมอบของขวัญบ้าง ภาพองค์กวนอิมถือแจกันที่ข้าปักงดงามยิ่งนัก มีชีวิตชีวาราวกับมีชีวิตจริงๆ แม้แต่ในปีนั้น…” ในปีนั้นนางยังเคยได้รับคำชมจากคนชั้นสูงในราชสำนักด้วย แต่นี่กลับไม่อาจพูดให้ท่านน้าฉือฟังได้ นางจึงรีบเปลี่ยนไปกล่าวว่า “คนที่ได้เห็นล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่างดงามเจ้าค่ะ! หากท่านไม่เชื่อ ข้าจะปักให้ท่านภาพหนึ่ง ท่านก็จะทราบได้ว่าข้าพูดโกหกหรือไม่!”

แน่นอนว่าเฉิงฉือไม่เชื่อ

ต่อให้เด็กผู้นี้จะจับเข็มทำงานเย็บปักมาตั้งแต่เกิด แต่ปีนี้นางก็ยังมีอายุแค่สิบสามขวบปี มีผู้ใดในบรรดาช่างเย็บปักฝีมือชั้นยอดเหล่านั้นที่ไม่ได้ขลุกอยู่กับสิ่งเหล่านี้เป็นเวลากว่าสิบยี่สิบปีบ้าง

นอกจากนี้เมื่อก่อนเขาอาจจะต้องส่งของขวัญให้ตรงกับความชอบของคน แต่นับตั้งแต่เขาได้รับตำแหน่งมาแล้ว ขอเพียงเขาส่งของขวัญไปพร้อมกับป้ายชื่อสีแดงทองใบนั้น คนเหล่านั้นไหนเลยจะมานั่งคิดว่าของที่เขาส่งไปให้เป็นของอะไร ต่อให้ของที่เขาส่งไปเป็นเพียงกระดาษซวนธรรมดาๆ จากซวนเฉิง พวกเขาก็อาจจะคิดไปว่ากระดาษซวนนี้ต้องเป็นกระดาษที่พิเศษและใช้งานได้ดีกว่ากระดาษอื่นๆ เป็นแน่!

เขากล่าวอย่างดูแคลนว่า “ข้าเดาว่าคนที่เคยเห็นผ้าปักของเจ้าล้วนเป็นคนที่อยู่รอบกายเจ้าใช่หรือไม่ ดังนั้นทุกคนถึงได้ต่างชมเป็นเสียงเดียวกันว่า งดงาม กระมัง”

โจวเสาจิ่นเคืองโกรธยิ่งนัก

ท่านน้าฉือกำลังจะบอกว่าคนเหล่านั้นประจบประแจงตนอย่างนั้นหรือ

“ไม่ใช่เสียหน่อยเจ้าค่ะ!” นางกล่าว “บางคนก็เป็นคนที่ไม่ค่อยสนิทกับครอบครัวของพวกข้าเท่าไรนัก…”

“เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้ ไม่เคยรู้จักใช้สมองขบคิดให้ละเอียดดูบ้าง” เฉิงฉือกล่าวตัดบทคำพูดของโจวเสาจิ่นอย่างไม่เห็นด้วย กล่าวเรียบๆ ว่า “สตรีในห้องหอ คนที่มาเห็นงานฝีมือของพวกเจ้าได้ หากไม่ใช่ญาติพี่น้อง ก็คงต้องเป็นคนที่พอจะสนิทสนมไปมาหาสู่กันอยู่แล้วกระมัง ไม่จำเป็นต้องเป็นของสลักสำคัญ ก็เอ่ยปากกล่าวชมไปตามมารยาทสักประโยคหนึ่งได้ ได้ทั้งช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีและได้ประจบประแจงคนไปด้วย จึงมีเหตุอะไรให้ต้องไม่ทำด้วยเล่า นอกจากนี้ของบางอย่างไม่ต้องลงแรงอะไรก็ได้รับมาแล้ว กล่าวชมไม่กี่ประโยค ก็ถือเป็นของรางวัลแล้ว เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ใครทำไม่ได้บ้าง! เจ้าบอกว่างานเย็บปักของเจ้าเย็บได้ดี เช่นนั้นเคยมีคนมาขอให้เจ้าเย็บอะไรให้เป็นการเฉพาะบ้างหรือไม่”

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน

ไม่มีจริงๆ ด้วย!

ภาพองค์กวนอิมที่นางปักให้หลินซื่อเซิ่งในภายหลังนั้นล้วนเป็นนางเองที่เสนอตัวปักให้เขาทั้งนั้น…ถึงแม้หลินซื่อเซิ่งจะกล่าวชมว่านางปักได้ดี ทว่าก็ไม่เคยนำงานปักที่นางปักให้ไปมอบให้กับผู้อื่น นางคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะของเหล่านี้เป็นของประดับห้องของสตรี หากส่งออกไปอาจจะไม่ค่อยดีนัก…หรือว่าจะเป็นอย่างที่ท่านน้าฉือว่ามา ทุกคนก็เพียงซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้แล้วกล่าวชมว่าตนปักได้ดีก็เท่านั้น?

“คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกกระมัง” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างลังเล “หรือไม่ ข้าจะปักอะไรมาสักสองสามอย่างให้ท่านน้าฉือช่วยดูว่าเป็นอย่างไรบ้างดีหรือไม่เจ้าคะ”

เพียงโจมตีนางเล็กน้อยก็พอแล้ว หากทำให้นางสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองนับตั้งแต่นี้ไปจริงๆ นั่นคงไม่ดีแล้ว

เฉิงฉือกล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ หากเจ้าอยากรู้จริงๆ ลองเอาไปถามท่านแม่ของข้าได้ ถึงแม้ว่างานเย็บปักของท่านแม่ของข้าจะไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่นางก็รู้และได้เห็นมามาก จะดีจะร้ายก็ยังให้ความเห็นได้”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึก

ตอนนี้เองเฉิงฉือถึงได้เข้าเรื่อง กล่าวขึ้นว่า “น่าเสียดาย…เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะพาเจ้าไปเยี่ยมเยียนท่านป้ากู้ นางตั้งรกรากอยู่ที่เมืองอู๋ซี แต่ท่านผู้เฒ่าซ่งกับข้าพูดคุยถึงเรื่องการควบคุมและป้องกันอุทกภัยขึ้นมา ข้าก็เลยมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ ทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสีย ครั้งนี้จริงๆ ข้าก็ตั้งใจว่าจะพักอยู่ที่เมืองฉางโจวสักสองสามวัน ปรากฏว่าท่านผู้เฒ่าซ่งบอกข้าว่า ไต้เท้าเสิ่นผู้รับผิดชอบการขุดลอกแม่น้ำทงโจวในปีนั้นอาศัยอยู่ที่เจิ้นเจียง แต่หลังจากฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีไต้เท้าเสิ่นจะออกไปเยี่ยมเยียนมิตรสหาย ถึงเดือนสิบสองถึงจะกลับมา พวกข้าอยากจะไปเยี่ยมเยียนไต้เท้าเสิ่น เกรงว่าจะคลาดกับไต้เท้าเสิ่น ดังนั้นจึงตัดสินใจกันเดี๋ยวนี้เองว่าจะไม่หยุดพักที่เมืองฉางโจวแล้ว…”

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง

ท่านป้ากู้ คงจะเป็นกู้ซื่อ ปรมาจารย์งานปักของเจียงหนานผู้นั้น!

หากได้รับคำชี้แนะจากนาง ไม่แน่ว่าฝีมือการเย็บปักของตนคงจะพัฒนาขึ้นอีกขั้นเป็นแน่

กล่าวไปกล่าวมา ก็คือเขาขุ่นเคืองที่ตนเอาเรื่องของท่านผู้เฒ่าซ่งไปบอกให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบนี่เอง

ไม่ใช่ว่านางทำก็เพื่อเป็นการดีต่อเขาหรอกหรือ

โจวเสาจิ่นกระโดดตัวโหยงขึ้นมา “เหตุใดท่านถึงเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะข้าเห็นว่าท่านถูกคนในตระกูลมัดมือมัดเท้า ก็เลยอยากจะช่วยท่านหรอกหรือ ถ้าไต้เท้าซ่งเรียกตัวคนมาช่วยงานได้ ก็จะได้เสนอให้ท่านเข้ารับราชการได้ ท่านลองคิดดู ถึงเวลานั้นจะดีต่อท่านเพียงใด! หากปรารถนาจะเข้ารับราชการ ก็พายเรือไปตามน้ำ เพียงไม่กี่ฝีพายก็โลดแล่นไปได้อย่างสะดวกสบาย ยังได้สร้างภาพลักษณ์ที่ว่าเป็นคนที่ เห็นแก่ความชอบธรรมส่วนรวมเหนือความภักดีต่อครอบครัวตัวเอง ผู้หนึ่ง แต่หากท่านไม่ปรารถนาจะเข้ารับราชการ เมื่อปฏิเสธถึงที่สุดแล้ว ยังได้สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนที่ ไม่ก้มศีรษะให้อำนาจ ผู้หนึ่ง ได้อาศัยชื่อเสียงของไต้เท้าซ่งในการสร้างชื่อเสียงนะเจ้าคะ…”

เฉิงฉือไม่รู้จะพูดอะไรดีจริงๆ แล้ว!

นางคิดว่านี่เป็นการเล่นขายของหรืออย่างไร คนที่ได้รับการแต่งตั้งเข้าสู่ราชสำนัก ผู้ใดบ้างที่ไม่มีความสามารถ หากทำอย่างที่นางกล่าวมา ก็เป็นการไปรบกวนไต้เท้าซ่งผู้ไม่รู้เรื่องอะไรผู้นั้นเสียแล้ว หมายจะใช้ตำแหน่งและชื่อเสียงของไต้เท้าซ่ง นางช่างกล้าคิดจริงๆ!

เฉิงฉือกล่าวขึ้นอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ว่า “นี่ใครเป็นคนบอกเจ้าหรือ ช่างไร้สาระสิ้นดี! ผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าถูกคนในตระกูลมัดไว้จนขยับตัวไม่ได้อย่างนั้นหรือ การที่ข้ามาดูแลกิจการของตระกูลนี้เป็นเพราะถูกกดทับจนอ่อนปวกเปียกอย่างนั้นหรือ การที่ข้าไม่เป็นขุนนางนี้เป็นเพราะถูกกดทับจนไม่มีทางเลือกอย่างนั้นหรือ”

“ย่อมไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวแย้ง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเห็นคนที่ชื่นชอบการดูแลกิจการของครอบครัวมาก่อน แต่ท่านไม่เหมือนกันนี่นา! ผู้อื่นต่างทำด้วยความยินดีมีความสุข แต่เวลาที่ท่านมีความสุขกลับมีน้อยกว่าเวลาที่ไม่มีความสุข มักจะเรียบเฉยและเย็นชา ท่านผู้นำตระกูลจวนรองปฏิบัติกับท่านเช่นนั้นท่านก็ไม่โกรธ…ท่านออกจะชาญฉลาดเพียงนี้ แต่ไม่ว่าทำอะไรกลับเอาแต่อดทนอดกลั้น เช่นนั้นย่อมต้องเป็นเพราะมีเรื่องอะไรที่ทำให้ท่านรู้สึกว่าไม่แน่ใจ…”

ในใจของเฉิงฉือปั่นป่วนราวกับปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของแม่น้ำเฉียนถัง

การแสดงออกของเขาชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ

แม้แต่เด็กสาวอายุสิบสามอย่างโจวเสาจิ่นก็ยังดูออก?

หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ มารดาถึงได้เอาแต่กล่าวโทษตัวเอง และเข้มงวดกวดขันกับตัวนางเองเป็นการไถ่โทษอย่างนั้นหรือ

“เด็กๆ จะเข้าใจอะไร” ท่าทีสงบนิ่งของเฉิงฉือดูต้องพยายามซ่อนอาการเอาไว้เล็กน้อย กล่าวต่อว่า “หากข้าไปรับราชการแล้ว เรื่องในบ้านจะทำอย่างไร คนย่อมไม่อาจเอาแต่คิดถึงแต่ตัวเองได้หรอกกระมัง”

“ข้าทราบเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นตัดบทคำพูดของเฉิงฉือไปอย่างไร้เดียงสา กล่าวขึ้นว่า “แต่การถูกบังคับให้เลือกกับการเลือกด้วยตัวเองก็ต่างกันมากมิใช่หรือเจ้าคะ การถูกบังคับให้เลือกคือการถูกผู้อื่นควบคุม ส่วนการเลือกด้วยตัวเองคือความยินยอมที่จะกระทำด้วยความยินดี…”

………………………………………………………………..

[1] เลิกกินอาหารเพราะกลัวสำลัก เปรียบเปรยถึงการเลิกทำหรือหลีกเลี่ยงเรื่องที่จำเป็นเพราะกลัวอันตรายเพียงเล็กน้อย