ตอนที่ 218 หวีสับ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในหัวของเฉิงฉือมีเสียงดังหึ่งๆ โจวเสาจิ่นพูดอะไรอีกบ้างหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินแล้ว

ถูกบังคับให้เลือก…เลือกด้วยตัวเอง…ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เขาไม่เคยมานั่งขบคิดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดมาก่อน

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะในจิตใต้สำนึกของเขานั้น เขารับรู้ว่าตนถูกบังคับให้เลือกอยู่ตลอด ดังนั้นไม่ว่าต่อมาภายหลังเขาจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งเพียงใด ไม่ว่าเฉิงซวี่จะประหวั่นเขาอย่างไร เขากลับปล่อยวางไม่ได้ นอกจากนี้ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากขึ้น ความเดือดดาลในใจก็ยิ่งมีมากขึ้น ยิ่งเฉิงซวี่ประหวั่นเขามากขึ้น ความเกลียดในใจเขาก็ยิ่งฝังลึกมากขึ้น

บางครั้ง เขาถึงกับรู้สึกว่านี่เป็นความต้องการของเฉิงซวี่ กล่าวคือ เจ้ามีความสามารถมากขึ้นแล้วอย่างไร เจ้าเก่งกาจมากขึ้นแล้วอย่างไร เจ้ามีพรสวรรค์ทั้งบู๊และบุ๋นแล้วอย่างไร เจ้าเค้นสมองและความสามารถออกมาแล้วอย่างไร สุดท้ายก็สลัดโซ่ตรวนที่ข้าผูกติดอยู่บนร่างของเจ้าไม่พ้นอยู่ดี…

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุนี้ สุดท้ายเขาก็เลยยังเลือกที่จะจากไป?

เฉิงฉือใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปครู่หนึ่ง

กระทั่งได้ยินเสียงหวานเนิบที่แฝงเอาไว้ด้วยความกังวลอยู่หลายส่วนของโจวเสาจิ่นแว่วผ่านหู เขาถึงได้สติกลับคืนมา มองไปยังโจวเสาจิ่นที่อยู่เบื้องหน้า

โจวเสาจิ่นโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กล่าวขึ้นด้วยใจที่ยังหวาดกลัวเล็กน้อยว่า “ท่านน้าฉือ เมื่อครู่ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ นัยน์ตาทั้งข้างมองค้างไม่ไหวติง ไม่ขยับเลยสักนิด ข้าพูดกับท่านท่านก็ไม่สนใจ ตะโกนเรียกท่านท่านก็ไม่ตอบ ทำเอาข้าตกใจเสียแทบแย่เจ้าค่ะ!”

“ไม่มีอะไร” เฉิงฉือกลับมามีท่วงท่าอบอุ่นดังเดิม กล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อครู่ข้านึกถึงวิธีคำนวณทรายดูดวิธีหนึ่งที่ท่านผู้เฒ่าซ่งเอ่ยถึงก่อนหน้านี้…เจ้ารู้จักทรายดูดหรือไม่ บางครั้งยามฝนตก ทำให้ป่าเขาถูกชะล้างแตกกระจาย ทรายและหินบนเขาก็จะไหลลงมา ทำให้สิ่งมีชีวิตเบื้องล่างถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในหินทราย ก่อนหน้านี้ข้าเคยสงสัยมาตลอดว่าเป็นเพราะป่าบนเขามีน้อยเกินไป ครั้งนี้ได้พบกับท่านผู้เฒ่าซ่ง ถึงได้ยืนยันข้อสงสัยในข้อนี้ของข้า ข้ากำลังคิดว่า จะหาวิธีให้ทางด้านอวี๋หลินปลูกต้นไม้ที่รอดชีวิตได้ง่ายจำพวกนั้นได้หรือไม่ นี่จะเป็นการช่วยยับยั้งการเกิดพายุทรายได้หรือไม่” ขณะที่เขากล่าว ก็หัวเราะขึ้นมา กล่าวต่อว่า “ข้าจะมาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าไปเพื่ออันใด เจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เสียหน่อย!”

จริงด้วย!

ท่านน้าฉือมาพูดเรื่องพวกนี้กับนางทำไม

เมื่อก่อนไม่ว่าท่านน้าฉือจะทำอะไรก็มักจะออกคำสั่ง ไม่เคยมีตอนใดที่จะมาแจกแจงให้นางฟังเช่นนี้มาก่อน

เมื่อครู่ท่านน้าฉือต้องกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่เป็นแน่ เพื่อบ่ายเบี่ยงและหลบเลี่ยงนาง ก็เลยใช้เรื่องทรายดูดมาเป็นข้ออ้าง

อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่ท่านน้าฉือคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่นะ

น่าเสียดายที่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของท่านน้าฉือมาก่อน

โจวเสาจิ่นจึงเอ่ยถึงเรื่องเดิมขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านให้พ่อบ้านฉินขึ้นฝั่งไปซื้อหวีสับให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”

คำพูดที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็เพียงเป็นการแหย่นางเล่นเท่านั้น

ตนผิดคำสัญญากับนางไปแล้ว ความปรารถนาเพียงเล็กๆ น้อยๆ นี้จะไม่ทำให้นางได้อย่างไร

เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับกำลังจะกล่าวรับปาก ก็มีเสียงประตูถูกเคาะอยู่ครู่หนึ่ง แล้วซ่งหมิ่นก็เดินเข้ามา “จื่อชวน เจ้าเสร็จเรียบร้อยหรือยัง ข้าให้อี๋จวินถือสุราไปที่ร้านมัดตับต้มลี่หยางร้านนั้นแล้ว…” ขณะที่เขากล่าวอยู่นั้น ทันใดนั้นก็พบว่าภายในห้องมีเด็กสาวเพิ่มมาผู้หนึ่ง อีกทั้งยังงดงามประหนึ่งไข่มุกแวววาวยามเช้า เมื่อตั้งใจมองอีกครั้ง ถึงได้พบว่าที่แท้ก็คือคุณหนูรองผู้นั้น นางและเฉิงฉือนั้นผู้หนึ่งนั่งส่วนอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ ผู้หนึ่งเคร่งขรึมน่าเกรงขามส่วนอีกผู้หนึ่งน่ารักอ่อนหวาน ทว่าทำให้คนรู้สึกว่าช่างกลมกลืนกันอย่างยากจะอธิบายได้ ไม่มีความรู้สึกขัดหรือไม่เข้ากันเลย เขารู้สึกงงงันไปชั่วขณะหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ จื่อชวน เจ้ามีธุระอยู่หรือ อีกประเดี๋ยวข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่ดีหรือไม่”

“ท่านผู้เฒ่า ข้าเพียงมาถามท่านน้าฉือว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทางเวลาใดเท่านั้นเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นไม่รอให้เฉิงฉือเอ่ยปาก ก็กล่าวยิ้มๆ อย่างอ่อนหวานขึ้นมาเสียก่อน “ข้ากำลังจะออกไปพอดี ขอให้ท่านกับท่าน้าฉือเที่ยวให้สนุกนะเจ้าคะ!”

ขณะที่นางกล่าว ก็หันไปยอบกายให้เฉิงฉือกับซ่งหมิ่น

ซ่งหมิ่นชื่นชมในความเป็นเด็กดีและรู้ความของนางยิ่งนัก ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นยิ้มเต็มใบหน้า พยักหน้าให้โจวเสาจิ่น

ใบหน้าของโจวเสาจิ่นแต้มรอยยิ้มน้อยๆ เดินออกไปจากห้องโดยสารด้วยสายตามั่นคงไม่วอกแวก

จากนั้นก็ได้ยินเสียงของซ่งหมิ่นกล่าวขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ดังมาให้ยินจากเบื้องหลังว่า “จื่อชวน เมื่อบ่ายเจ้าสัญญากับข้าเอาไว้แล้ว! วันนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ!”

เฉิงฉือลูบหน้าผาก นัยน์ตามีแววอับจนหนทางสายหนึ่งวาบผ่าน

เขาคิดแล้วคิดอีก ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าโจวเสาจิ่นจะพูดเช่นนี้กับเขาได้ จึงลืมไปว่าท่านผู้เฒ่าซ่งอาจปรากฏตัวออกมาได้ทุกเวลา…นอกจากตนจะไม่ได้อบรมสั่งสอนเด็กผู้นั้นแล้ว ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เด็กผู้นั้นขุ่นเคืองแทน

เดิมทีตนคิดว่าพรุ่งนี้จะหาเวลาสักวันให้พวกสตรีบนเรือได้ขึ้นฝั่งไปเดินเล่น ดูท่าทางของเด็กน้อยแล้วเกรงว่าคงไม่ซาบซึ้งกับมันแล้ว

ดูแล้วพรุ่งนี้คงได้แต่ต้องเปลี่ยนแผนแล้วล่วงหน้าไปเจิ้นเจียงเลยก็แล้วกัน

เด็กผู้นั้นไม่ใช่คนเอาแต่ใจเป็นใหญ่ ไม่แน่ว่าอีกสองวันก็คงจะหายแล้ว เขาค่อยจัดให้พวกนางไปเดินเล่นบนฝั่งอีกครั้ง เรื่องนี้ก็ปล่อยให้ผ่านไปดังฟ้าหลังฝนก็แล้วกัน

พูดถึงเรื่องซื้อหวีสับ ดูทีว่าคงต้องมอบหมายให้ฉินจื่อผิงไปซื้อให้แล้วจริงๆ

เมืองฉางโจวเป็นแหล่งผลิตหวีสับ ร้านสาขาหลักที่ผลิตหวีสับส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองฉางโจว เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างสาขาหลักกับสาขาย่อย ทุกๆ ปีร้านสาขาหลักจะผลิตหวีสับออกมาเป็นพิเศษหนึ่งชุดที่ไม่อาจหาซื้อได้จากที่อื่นออกมา หากกล่าวว่าเป็นหวีสับที่ซื้อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน เช่นนั้นไปเลือกซื้อสักชุดจากร้านสาขาหลักเหล่านั้นในเมืองฉางโจวน่าจะเหมาะสมที่สุด

นี่นับว่าเป็นการผลักก้อนหินมาทับเท้าตัวเองหรือไม่นะ

เฉิงฉือทอดถอนหายใจ กล่าวกับท่านผู้เฒ่าซ่งว่า “ไปกันเถิด สองวันนี้ลำบากท่านแล้ว ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนท่านสองจอกให้ท่านหายจากความเหน็ดเหนื่อยเองขอรับ”

ท่านผู้เฒ่าซ่งพยักหน้าไม่หยุด

โจวเสาจิ่นโกรธจนหน้าดำหน้าแดง

นางเดินกลับห้องโดยสารไปอย่างขุ่นเคือง

ไม่ยุติธรรมเลยนางอุตส่าห์เชื่อใจท่านน้าฉือถึงเพียงนี้ แต่ท่านน้าฉือกลับพูดกับนางไปอย่างนั้นโดยไม่ใส่ใจ พูดอะไรทำนองว่าต้องเร่งไปไปเจิ้นเจียงเพื่อพบไต้เท่าเสิ่นที่เก่งเรื่องขุดลอกแม่น้ำผู้นั้น จนทำให้นางที่ปรารถนาจะให้ฉินจื่อผิงช่วยไปซื้อหวีสับมาให้รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ความจริงแล้วเขากับท่านผู้เฒ่าซ่งนัดแนะกันตั้งแต่เช้าแล้วว่าจะไปร่ำสุรากัน

ตนยังถูกเขาอบรมสั่งสอนจนตกตะลึงไปหมด

หากไม่ใช่เพราะท่านผู้เฒ่าซ่งโพลงเข้ามาโดยไม่ตั้งใจ นอกจากนางจะถูกท่านน้าฉือขายแล้วเกรงว่ายังจะช่วยท่านน้าฉือนับเงินด้วยกระมัง!

ท่านน้าฉือทำเกินไปแล้ว!

ทำเกินไปแล้วจริงๆ!

เขาก็เพียงแค่หยิบเอาคำขอร้องของตนไปแล้วช่วยซื้อหวีสับเองมิใช่หรือ

นางจะไม่ขอร้องเขาแล้ว!

ให้เขารู้ว่าต่อให้ไม่มีเขานางก็ทำได้!

โจวเสาจิ่นกลับถึงห้องพัก หลังจากที่ดื่มชาไปหนึ่งจอกแล้วอารมณ์กรุ่นโกรธของนางถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา แล้วเริ่มขบคิดอย่างละเอียดว่าจะหาวิธีซื้อหวีสับให้ท่านยายได้อย่างไรบ้าง

ให้คนลงจากเรือไปซื้อให้นางย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน

ดูเหมือนว่าครั้งก่อนนางเคยได้ยินจี๋อิ๋งบอกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้คนบนเรือสมรู้ร่วมคิดกับพวกโจรบนฝั่ง คนงานบนเรือเมื่อขึ้นเรือแล้วจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจากเรือ ส่วนพ่อบ้านที่ลงจากเรือได้ก็ล้วนเป็นคนของท่านน้าฉือ ไม่มีคำสั่งจากท่านน้าฉือ นางย่อมชี้นิ้วสั่งไม่ได้

เช่นนั้นนางคงได้แต่ต้องขอสักชุดหนึ่งจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว

คนที่ไปมาหาสู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวส่วนใหญ่ล้วนเป็นฮูหยินหม้ายทั้งหลาย หวีสับที่นางซื้อมาย่อมต้องเป็นรูปแบบและลวดลายสีสันที่เหมาะสมกับฮูหยินหม้ายเหล่านี้อย่างแน่นอน แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจกว้างขวาง คนจากตระกูลเดิม สหายเก่าแก่ ฮูหยิน สะใภ้ และคุณหนูทั้งหลายก็คงจะมอบให้คนละเล็กละน้อย เช่นนั้นนางใช้ของๆ ตัวเองไปขอแลกกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะได้หรือไม่นะ

อยากทำก็ทำเลย

นี่เป็นประสบการณ์หนึ่งที่นางเรียนรู้มาจากการเป็นคนมาสองชาติภพ

โจวเสาจิ่นเลือกหวีสับที่พอจะกล่าวได้ว่ามีสีค่อนข้างเรียบหนึ่งชิ้นออกมาจากบรรดาหวีสับที่ตนซื้อมา แล้วไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังไม่ได้ไปนอนพัก กำลังหมุนลูกประคำในมือขณะอ่านพระธรรมอยู่

พอเห็นโจวเสาจิ่นเดินเข้ามา นางยิ้มพลางกล่าวขึ้นอย่างรักใคร่ว่า “ว่าอย่างไร มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

ที่ผ่านมาโจวเสาจิ่นล้วนไม่เคยคิดจะปิดบังฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาก่อน

นางหันไปพยักหน้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลางยิ้มอย่างขัดเขิน กระซิบเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “นี่นับเป็นปัญหาอะไร ไม่ต้องนำของมาแลกหรอก เจ้าตามปี้อวี้ไปเลือกสักชุดมาจากหีบของข้าก็พอ”

โจวเสาจิ่นไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องราวจะได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดายขนาดนี้

นางซาบซึ้งใจยิ่งนัก กล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัวครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วถึงตามปี้อวี้ไปที่ห้องเก็บของ

ปี้อวี้แนะนำให้นางเลือกหวีสับสีดำวาดลายดอกไม้สีขาวชุดหนึ่ง

โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกว่างดงามเป็นอย่างยิ่ง ยิ้มพลางหันไปกล่าวขอบคุณนาง

ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองจะมาเกรงใจอะไรกับข้ากันเจ้าคะ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็มอบปิ่นปักผมแก้วให้ข้าเช่นกันหรือ เมื่อสองวันก่อนข้านำออกมาสวมประดับ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังบอกว่างดงามเลยเจ้าค่ะ!”

หลังจากที่โจวเสาจิ่นได้รับปิ่นปักผมมา เมื่อกลับถึงบนเรือตอนกลางคืนในวันนั้นนางก็ส่งไปให้ปี้อวี้และอีกหลายคนคนละหนึ่งชิ้น

“ปักแล้วงดงามก็ดีแล้ว!” นางยิ้มพลางสนทนากับปี้อวี้อีกครู่หนึ่งแล้วก็กลับห้องพัก

ตกกลางคืน นางเอนตัวนอนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่บนเตียง ในใจก็คุกรุ่นด้วยความขุ่นเคืองขึ้นมาอีกหนึ่งรอบ

นางไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ เช่นนี้ได้!

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ท่านน้าฉือได้รู้ว่าต่อให้ไม่มีเขา นางก็ทำได้เหมือนกัน!

ท่านน้าฉือจะต้องรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งอย่างแน่นอน

เพียงโจวเสาจิ่นนึกถึงยามที่เฉิงฉือเบิกดวงตาโพลงมองนางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ นางก็รู้สึกสุขใจขึ้นมาแล้ว

ใช่ พรุ่งนี้จะทำเช่นนี้ก็แล้วกัน!

ให้ท่านน้าฉือได้รู้ว่านางก็เก่งกาจไม่แพ้กัน!

ขณะที่โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ก็ปีนขึ้นมาจากบนเตียง ให้ชุนหว่านไปเปิดหีบของตัวเอง เลือกเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหังโจวสีแดงเข้มหนึ่งตัว และกระโปรงจีบหม่าเมี่ยนสีเขียวเข้มมันวาวลายเป่าเซียง[1]มาวางไว้ข้างเตียง บอกชุนหว่านว่าพรุ่งนี้ตนจะสวมชุดนี้ แล้วถึงค่อยกลับไปเอนตัวลงบนเตียงใหม่ และหลุดเข้าไปอยู่ในดินแดนแห่งความฝันด้วยริมฝีปากแต้มยิ้ม

***

วันต่อมา โจวเสาจิ่นสวมอาภรณ์ที่เตรียมเอาไว้ชุดนั้น ตั้งใจเกล้าผมขึ้นเป็นมวย จากนั้นเสียบหวีสับสีดำวาดลายดอกกล้วยไม้ แล้วไปคารวะยามฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพิ่งตื่น ให้คนจัดของว่างใส่กล่องไปรับรองนาง

ไม่นาน เฉิงฉือก็เข้ามา

แค่มองปราดเดียวเขาก็เห็นได้ว่าโจวเสาจิ่นแต่งตัวได้สดใสโดดเด่นยิ่งนัก

โจวเสาจิ่นก้าวออกมายอบกายทำความเคารพเขาอย่างยิ้มแย้ม ชี้ไปที่กล่องของว่างพลางกล่าว “มีขนมแป้งข้าวเหนียวม้วน ท่านน้าฉือจะลองชิมดูหรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่เป็นไร” เมื่อวานเฉิงฉือได้ร่ำอย่างสุขสำราญ เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาหน้าตาเขาจึงเปล่งประกายมีความสุข กล่าวยิ้มๆ ว่า “หวานเกินไป ตื่นขึ้นมาตอนเช้าๆ ข้าไม่ค่อยชอบกินของหวานมากนัก”

“ให้ข้าเก็บเอาไว้ให้ท่านกินเป็นของว่างกับน้ำชาในช่วงบ่ายดีหรือไม่เจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ขนมแป้งข้าวเหนียวม้วนของวันนี้ทำได้อร่อยยิ่งนัก หวานแต่ก็ไม่เลี่ยนจนเกินไปเจ้าค่ะ…” ขณะที่นางกล่าว ก็ลูบหวีสับบนศีรษะไปด้วย

เฉิงฉืออดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตามองไปที่หวีสับนั้นครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นจึงถามเขาอย่างไม่สบายใจว่า “ดูประหลาดมากใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เฉิงฉือไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร

โจวเสาจิ่นจึงกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เมื่อวานฮูหยินผู้เฒ่ามอบหวีสับสีดำวาดลายดอกไม้สีขาวให้ข้าชุดหนึ่ง ข้าจึงมีหวีสับเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชุด ข้าเองก็ไม่ได้สนใจ แต่ชุนหว่านบอกข้าว่า เนื่องจากเป็นของที่ฮูหยินเป็นผู้มอบให้ จึงควรจะนำออกมาประดับให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้ดีใจ แต่ข้าก็คิดว่าไม่ใช่ว่ายังขาดหวีสับอีกหนึ่งชุดสำหรับมอบให้ท่านยายหรอกหรือ ข้าจึงเอาหวีสับที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาชิ้นนั้นมอบให้ท่านยาย แต่คำพูดของชุนหว่านก็มีเหตุผล ข้าจึงเลือกหวีสับที่ข้าซื้อมาเหล่านั้นออกมาสวมประดับหนึ่งชุด ประเดี๋ยวเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าถามขึ้นมา ข้าจะได้อธิบายเรื่องนี้ให้นางฟัง ให้ท่านยายของข้าได้รับน้ำใจในครั้งนี้ด้วย แต่การจะประดับหวีสับนั้นก็ต้องเกล้าผมให้เหมาะสมกับการประดับหวีสับถึงจะใช้ได้ ชุนหว่านจึงเกล้าผมให้ข้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไรนัก!…

…อีกทั้งเมื่อนึกถึงถ้อยคำของท่านน้าฉือเมื่อวานแล้ว ผู้คนส่วนมากเนื่องจากสนิทสนมกับข้าถึงได้กล่าวชมข้า ข้าจึงไม่กล้าถามชุนหว่าน ได้แต่ออกมาเสียอย่างนี้…

…ท่านน้าฉือ ท่านยุติธรรมที่สุดแล้ว ท่านคิดว่าข้าเช่นนี้พอได้หรือไม่เจ้าคะ อีกไม่กี่วันเมื่อถึงเจิ้นเจียงฮูหยินเกาต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแน่ ถึงเวลานั้นท่านคิดว่าหากข้าแต่งตัวเช่นนี้จะเหมาะสมหรือไม่เจ้าคะ”

…………………………………………………………………

[1] ลายเป่าเซียง เป็นลายทรงกลมที่ประกอบด้วยดอกบัว ดอกทับทิม และดอกโบตั๋น ซึ่งแสดงถึงสมบัติที่เป็นอมตะ ศักดิ์สิทธิ์และงดงาม