ณ จวนตระกูลฉิน หนึ่งคืนก่อนที่การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มต้น

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าพกโอสถพวกนี้ติดตัวเอาไว้นะ พวกมันน่าจะมีประโยชน์กับเจ้าตอนอยู่ในดินแดนต้องห้าม”

ฉินอี้เฟยนำกล่องใส่โอสถหลากหลายประเภทออกมาจากคลังส่วนตัวของเขา ก่อนจะส่งให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วที่กำลังยืนเบิกตากว้าง

“ถูกต้องแล้ว โอสถพวกนี้มีความสำคัญมาก พวกเจ้าต้องเก็บมันไว้ให้ดีล่ะ”

ผู้เฒ่าฉินเฟินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเป็นสุข เมื่อเห็นฉินอี้เฟยเอาโอสถที่ตนเองสะสมไว้มามอบให้น้องสาว ผู้นำตระกูลฉินเองก็นำกล่องไม้และหีบจำนวนหนึ่งส่งมอบให้กับฉินอวี้โม่

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ สิ่งของพวกนี้เป็นอาวุธและอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่พวกเราตระกูลฉินสั่งสมเอาไว้ ระดับของพวกมันไม่ใช่น้อย ๆ หากพกพาพวกมันติดตัวไว้ บางทีพวกมันอาจจะช่วยรักษาชีวิตของเจ้าในยามวิกฤตได้”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเปิดแต่ละกล่องออกดู นางพบอาวุธและอุปกรณ์ระดับวิญญาณมากมายหลายชนิด แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจมากที่สุดก็คือ ภายในกล่องเล็กใบหนึ่งมีผงสีขาวละเอียดลักษณะคล้ายแป้งบรรจุอยู่ ผงเหล่านี้มีคุณสมบัติในการทำให้ยอดฝีมือหลับหรือไม่รู้สึกตัวไปได้ชั่วขณะ แม้ว่าปริมาณของมันจะมีไม่มาก ทว่าท่านปู่ฉินเฟินก็ยังเตรียมไว้ให้นาง

ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วรับของเหล่านั้นมาอย่างซาบซึ้ง พวกนางกล่าวขอบคุณผู้เฒ่าฉินเฟินและคนอื่น ๆ เป็นการใหญ่

“เอาละ ตอนนี้พวกเจ้าสองคนก็รีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะต้องผ่านการสอบคัดเลือกได้อย่างแน่นอน”

ฉินเฟินเอ่ยขึ้นมา เขาต้องการให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วรีบนอนหลับพักผ่อนเพื่อจะได้สดชื่นและมีแรงในวันพรุ่งนี้

ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินกลับไปยังเรือนพักของตัวเอง

เมื่อกลับมาถึงเรือนพักและก้าวเข้าไปในห้องส่วนตัว คุณหนูคนงามแห่งตระกูลฉินก็พบว่ามีบุรุษสูงใหญ่ยืนรออยู่ในนั้นก่อนแล้ว

“โม่เอ๋อร์ ข้าคงไปแดนดินต้องห้ามกับเจ้าในวันพรุ่งนี้ไม่ได้”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง หานโม่ฉือก็เดินเข้าไปหาพลางคว้าจับเอามือบางเข้ามากอบกุมไว้

“ข้ารู้ว่าเจ้าสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักแล้ว มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกกับข้าอีก”

ฉินอวี้โม่ตอบด้วยรอยยิ้มพลางชี้ชวนหานโม่ฉือให้นั่งลงที่โต๊ะ

“โม่เอ๋อร์ เก็บนี่ติดตัวไว้”

หานโม่ฉือล้วงเอาบางอย่างที่มีรูปร่างเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดเล็กส่องแสงเป็นประกายแวววาวออกมาก่อนจะส่งให้ฉินอวี้โม่

“หากมีเรื่องอันตรายที่เจ้าไม่สามารถรับมือได้ในดินแดนต้องห้าม ขอให้เจ้าบดขยี้สิ่งนี้ มันจะทำให้ข้ารับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าอยู่ในอันตราย และข้าจะสามารถฝ่าผ่านเขตอาคมเข้าไปช่วยเจ้าได้”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเก็บมันไว้

“ในช่วงที่อยู่ในโรงเรียนราชสำนัก ข้าเคยลอบเข้าไปฝึกฝนในดินแดนต้องห้ามอยู่ช่วงหนึ่ง ที่นั่นเป็นสถานที่ที่อันตรายแต่ก็เป็นสถานที่ที่เจ้าจะสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ข้ารู้ดีว่าเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด หากเป็นเจ้าจะต้องคว้าโอกาสที่อยู่ภายในนั้นมาได้แน่”

ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนราชสำนัก หานโม่ฉือเคยเข้าไปในดินแดนต้องห้ามอยู่ครั้งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นไม่ธรรมดาและเต็มไปด้วยอันตราย ทว่าภายในก็มีวาสนาและโอกาสมากมายให้ได้ไขว่คว้าอย่างไร้ขีดจำกัด ขอเพียงค้นหาและคว้าโอกาสเหล่านั้นมาได้ก็จะทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มพูนขึ้นได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเมื่อมันเป็นถึงสถานที่ต้องห้ามที่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไป ฉะนั้นมันก็คงจะไม่ธรรมดาอย่างที่ว่า ในตอนนี้นางเองก็ติดอยู่ในช่วงคอขวดของระดับพลัง การได้เข้าไปในดินแดนต้องห้ามครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดี

“แต่ไม่ว่าจะยังไง การทดสอบในปีนี้ก็อันตรายมาก ไม่รู้ว่าเจ้าจะถูกส่งไปที่ใดในดินแดนต้องห้าม ในตอนนั้นทุกอย่างก็คงจะขึ้นอยู่กับพลังของเจ้าแล้ว”

หานโม่ฉือกล่าว ท่าทางของเขาดูกังวลใจเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าฉินอวี้โม่แข็งแกร่งเพียงใดและคงไม่ถูกผู้ใดรังแกได้โดยง่าย ทว่าเขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี

“เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะต้องกลับออกมาอย่างปลอดภัยและข้าจะต้องได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนราชสำนักอย่างแน่นอน”

ฉินอวี้โม่บีบมือของหานโม่ฉือแน่นขึ้น นางกล่าวยืนยันด้วยน้ำเสียงมาดมั่นเพื่อให้เขาอุ่นใจและคลายจากความกังวล

เวลาที่จะต้องอยู่ในดินแดนต้องห้ามคือหนึ่งเดือนเต็ม ช่วงระยะเวลาเนิ่นนานขนาดนี้ในดินแดนอันแสนลึกลับและน่าหวาดหวั่นนั้นนับเป็นเรื่องที่อันตรายและท้าทายมาก แน่นอนว่าแม้แต่บุรุษน้ำแข็งเองก็ยังอดเป็นห่วงสตรีผู้เป็นที่รักของเขาไม่ได้

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะมีประสบการณ์ในการอยู่ในป่าแสงจันทร์มานานกว่าครึ่งปี แต่กับสถานที่อย่างดินแดนต้องห้ามนั้นถือว่าแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง

ในดินแดนต้องห้ามมีอันตรายสูงกว่าป่าแสงจันทร์มาก แต่ในทางกลับกันที่นั่นก็มีทั้งวาสนาและโอกาสที่มากกว่าเช่นกัน

“ไม่ว่ายังไง หากมีอันตรายเจ้าต้องบีบสิ่งนั้นให้แตก เจ้าเข้าใจใช่ไหม ?”

หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่และกล่าวย้ำอีกครั้ง

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น

…ราตรีกาลเคลื่อนพ้นผ่านผัน สาวหนุ่มแนบชิดกันเคียงข้าง อุ่นอ้อมอก-กก-กอดมิอ้างว้าง นิทรารมณ์สุขสร้าง ข้างคู่ เคียงใจ…

เป็นไปดังที่คาดเอาไว้ หานโม่ฉือหายตัวไปก่อนที่ฉินอวี้โม่จะตื่นในเช้าวันรุ่งขึ้น

เสี่ยวโร่วเปิดประตูเข้ามาและเห็นฉินอวี้โม่กำลังนั่งครุ่นคิดบางอย่างอยู่

“คุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ ?”

สาวใช้น้อยยกอ่างใส่น้ำสำหรับล้างหน้ามาให้ก่อนจะเอ่ยปากถามคุณหนูของนาง

“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าหลังจากที่เราเข้าไปในดินแดนต้องห้ามแล้ว เจ้ายังจะมาปรนนิบัติข้าอยู่รึเปล่า ?”

แท้จริงแล้วฉินอวี้โม่กำลังกังวลใจอยู่เล็กน้อยเกี่ยวกับความปลอดภัยของเหล่าสหายโดยเฉพาะสาวน้อยเสี่ยวโร่ว หากไม่มีนาง แล้วสาวใช้น้อยจะสามารถกลับออกมาจากที่นั่นได้อย่างปลอดภัยหรือไม่

ทว่านางก็ไม่อยากทำให้เสี่ยวโร่วต้องคิดมากหรือหวาดกลัวในเวลาที่การคัดเลือกใกล้จะเริ่มขึ้นเช่นนี้ คุณหนูคนงามจึงกล่าววาจาหยอกล้อออกไปพลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กช่างถาม

“โธ่คุณหนูท่านล้อข้าเล่นแล้ว”

เสี่ยวโร่วเองก็ทราบดีว่าคุณหนูพยายามจะทำให้นางไม่คิดมากหรือเป็นกังวล

อันที่จริงในวันนี้ฉินอวี้โม่อยากจะสวมใส่ชุดบุรุษเพราะช่วยให้เคลื่อนไหวได้สะดวกและคล่องตัวมากกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดทบทวนอยู่หลายครั้งและคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักแล้ว นางก็ตัดสินใจเลือกใส่ชุดสีขาวที่หานโม่ฉือให้มาเพียงแต่ในครั้งนี้ไม่ได้สวมใส่แบบเต็มยศเพื่อความคล่องแคล่ว  ซึ่งด้วยเหตุนี้เองจึงกลายเป็นว่าสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูสี่ตระกูลฉินต้องสวมใส่ชุดสตรีไปเข้าร่วมการสอบอย่างไม่มีทางเลือก

“เอ… คุณหนู ชุดนั่นมันคุ้น ๆ นะเจ้าคะ”

เสี่ยวโร่วถามยิ้ม ๆ และในตอนนั้นเองสาวน้อยก็มองเห็นลูกกลม ๆ ที่ส่องแสงแวววาวอยู่ในมือของฉินอวี้โม่

“ว้าวก้อนกลม ๆ นี่สวยจังเลย” เสี่ยวโร่วอุทานตาโต ก่อนจะถามต่อด้วยความตื่นเต้น “ข้าเดาว่าฮองเฮาคงจะเป็นผู้มอบมันให้คุณหนูแน่เลย ใช่ไหมเจ้าคะ”

“สาวน้อย ถ้าหากเจ้าสอดรู้มากไประวังจะไม่มีหนุ่มมาขอแต่งงานเอาได้นะ”

เมื่อถูกเสี่ยวโร่วถามในเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่ก็รีบเฉไฉไม่ตอบคำถาม คุณหนูผู้มีความลับแกล้งดุสาวใช้ผู้แก่นเซี้ยวเพื่อสยบอาการสอดรู้ของนาง

“ไม่ใช่ปัญหาเลยเจ้าค่ะ ถ้าข้าไม่ได้แต่งงานก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้อยู่เคียงข้างคุณหนูตลอดไป”

เสี่ยวโร่วยิ้มกว้างและตอบกลับไปเสียงสดใส

หลังจากเตรียมตัวกันเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็บอกลาท่านปู่ฉินเฟินและฉินอี้เฟยก่อนจะออกเดินทางไปยังที่ตั้งของโรงเรียนราชสำนัก

เดิมทีฉินอี้เฟยอยากจะตามไปส่งสาวน้อยทั้งสอง ทว่าก็ถูกฉินอวี้โม่ปฏิเสธเพราะนางและเหล่าสหายทั้งหลายได้นัดหมายรวมตัวกันที่จุดหนึ่งเพื่อจะได้เดินทางออกไปนอกนครไป๋อวิ๋นพร้อม ๆ กัน

โรงเรียนราชสำนักแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นตั้งอยู่ส่วนนอกของนครไป๋อวิ๋นในจุดที่ห่างจากตัวเมืองออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้  สถาบันการศึกษาแห่งนี้มีอาณาเขตที่เรียกได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล ถ้าหากลองเปรียบเทียบกันแล้วจะพบว่าพื้นที่ของโรงเรียนราชสำนักนั้นมีขนาดเทียบเท่ากับพื้นที่ถึงหนึ่งในสามของตัวนครไป๋อวิ๋นทั้งหมด ซึ่งนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้มีความยิ่งใหญ่อลังการมากเพียงใด

โรงเรียนราชสำนักนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนและยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดกล้ามาล่วงล้ำหรือกระทำการหยามเหยียด

ไม่ต้องกล่าวถึงท่านอธิการของโรงเรียนราชสำนักผู้ที่มีระดับพลังสูงที่สุดในสถาบันและมีความแข็งแกร่งในระดับที่ยากจะจินตนาการได้ เพราะเพียงแค่นักเรียนที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนราชสำนักก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้ขุ่นเคืองใจแล้ว

แม้ว่าตัวโรงเรียนราชสำนักเองจะไม่ใช่ขุมกำลังที่ทรงอำนาจที่สุด ทว่าเหล่าศิษย์ของโรงเรียนนี้ต่างก็เป็นกำลังสำคัญในขุมกำลังมหาอำนาจ เป็นทายาทแห่งตระกูลทรงอิทธิพลและบ้างก็เป็นถึงว่าที่ผู้นำแห่งขุมกำลังยิ่งใหญ่ในแผ่นดินนี้แทบทั้งสิ้น  ไม่เพียงแต่จักรวรรดิไป๋อวิ๋นเท่านั้น แม้แต่ในจักรวรรดิชิงเฟิงก็มีนักเรียนที่จบจากโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้เป็นจำนวนมาก

“เมื่อพวกเราเข้าไปในดินแดนต้องห้ามแล้ว ไม่ว่าพวกเราจะถูกส่งไปที่ใดให้พวกเรามุ่งไปยังใจกลางและมารวมตัวกัน หากทำเช่นนั้นไม่นานพวกเราต้องได้พบกันแน่”

ฉินอวี้โม่ชี้แจงแผนการให้แก่เหล่าสหาย

“หากเจอคนของอารามให้เข้าไปเล่นงานทันทีและชิงป้ายของพวกเขามาให้ได้ แต่ถ้าประเมินแล้วอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปให้พยายามหลีกเลี่ยง หากเป็นขุมกำลังอื่นก็ใช้หลักการเดียวกัน แม้ว่าตอนนี้ทุกฝ่ายจะเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว ทว่าภาคีนี้ก็ใช้ได้เฉพาะขุมกำลังที่อยู่ในนครไป๋อวิ๋นเท่านั้นไม่ได้ครอบคลุมถึงขุมกำลังอื่นด้วย แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะเป็นคนจากไป๋อวิ๋นเองก็ยังไว้ใจไม่ได้เสียทีเดียว จำไว้ว่าจงอย่าประมาท”

กลุ่ม*‘สหายของฉินอวี้โม่’*ซึ่งประกอบไปด้วย เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง ลั่วอวิ๋น และเสี่ยวโร่วพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนไม่มากแต่ทุกคนก็เข้าใจในหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี

“หากเจอกับสหายของเราแล้วโปรดอย่าแยกกันอีก อย่างน้อยมีสองคนก็ยังดีกว่าหนึ่ง พวกเราจะต้องพิชิตการทดสอบในครั้งนี้และเข้าไปเรียนอย่างพร้อมหน้ากันให้ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง !”

ระหว่างที่ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจาปลุกขวัญกำลังใจอยู่นั้น สมาชิกในกลุ่ม *‘สหายของฉินอวี้โม่’*ทุกคนก็ตั้งใจฟังกันอย่างมาก เมื่อเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของสหายทุกคน ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า

ความตั้งใจและเป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือพยายามให้ทุกคนในกลุ่มสอบผ่านไปได้อย่างพร้อมหน้ากัน

เป็นเพราะฉีฉีอายุยังน้อยและยังเป็นเชื้อพระวงศ์ทำให้นางเข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกในวันนี้

ในบรรดากลุ่มสหายขนาดเล็กกลุ่มนี้ผู้ที่มีความแข็งแกร่งน้อยที่สุดคือลั่วอวิ๋นจากเมืองเยว่กวาง

เมื่อได้ทราบถึงความแข็งแกร่งของผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ลั่วอวิ๋นก็รู้สึกกดดันอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ไม่เสียขวัญกำลังใจและความกล้าหาญไปง่าย ๆ  แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะด้อยที่สุดในกลุ่ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหมดโอกาส ในฐานะบุตรของเจ้าเมืองเขาจะไม่ยอมให้บิดาของเขาต้องขายหน้า

ถัดจากลั่วอวิ๋นผู้ที่มีความแข็งแกร่งน้อยที่สุดในลำดับถัดขึ้นมาก็คือเสี่ยวโร่ว

เสี่ยวโร่วเพิ่งจะทะลวงผ่านขอบเขตนภมายามาได้ไม่นานทำให้รากฐานยังไม่มั่นคงบวกกับประสบการณ์ที่ยังน้อยทำให้นางด้อยกว่ายอดฝีมือขอบเขตนภมายาคนอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม สาวน้อยก็ยังมีอสูรเทวะราชันเป็นผู้พิทักษ์อยู่จึงไม่น่าเป็นกังวลมาก

“อวี้โม่ เจ้าวางใจเถอะ อย่างไรพวกเราทุกคนก็สอบผ่านอย่างแน่นอน !”

สมาชิกกลุ่มผู้ที่มองโลกในแง่ดีที่สุดและดูจะไม่กดดันอะไรเลยก็คือเยว่ชิงเฉิง คุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมกล่าวขึ้นมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ท่าทางสบาย ๆ ของนางทำให้เหล่าสหายทั้งหมดต่างก็ยิ้มออกมา

พวกเขาสนทนาเรื่องสัพเพเหระกันเพื่อคลายเครียดจนกระทั่งเดินทางถึงประตูทางเข้าโรงเรียนราชสำนัก

ในตอนนี้คนจำนวนมากต่างก็เดินทางมาถึงโรงเรียนราชสำนักกันแล้ว และนั่นก็รวมถึงหวังรั่วอีและคณะด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างคนในกลุ่มของฉินอวี้โม่กับหลิวหว่านเยียนนั้นถือว่าย่ำแย่ ฉะนั้นเมื่อได้เห็นหน้ากันจึงไม่มีฝ่ายใดหรือผู้ใดคิดจะเข้าไปทักทาย

ระหว่างนั้นสองในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน หลานสาวของท่านอ๋องหลิง*–หลิงซวง* และคุณหนูใหญ่แห่งสมาคมโอสถ*–เหย่าเซียนเอ๋อร์*  ต่างก็ถือโอกาสในช่วงเวลานี้ผลัดกันเข้ามาทักทายฉินอวี้โม่และคณะ

เนื่องจากหลิงซวงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับหลิงเฟิงและฉีอวี้ทำให้บุคคลสูงศักดิ์ทั้งสามเดินทางมาพร้อมกัน พวกเขาทักทายกลุ่มของฉินอวี้โม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตร

“ข้าเรียกเจ้าว่าอวี้โม่ได้หรือไม่ ? ใบหน้าของเจ้าคล้ายพี่ชายของเจ้ามากจริง ๆ”

เทพธิดาโอสถ คุณหนูใหญ่แห่งสมาคมโอสถ*–เหย่าเซียนเอ๋อร์* ดูจะเป็นสตรีที่ร่าเริงแจ่มใส มีอัธยาศัยไมตรีที่ดี นางดูสูงส่งทว่าก็ดูเข้าถึงได้ง่าย

ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เองก็เคยได้ยินฉินอี้เฟยกล่าวถึงเทพธิดาโอสถผู้นี้อยู่บ่อยครั้ง เขากล่าวว่าหากมีโอกาสให้ผูกสัมพันธ์เป็นสหายกับนางไว้

“แน่นอน”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและกล่าว “พี่ใหญ่ของข้ากล่าวถึงคุณหนูเหย่าเซียนเอ๋อร์แห่งสมาคมโอสถอยู่บ่อย ๆ แม่นางเป็นอย่างที่พี่ใหญ่กล่าวไว้ไม่มีผิด”

“โอ้ ! งั้นหรือ ? แต่ว่าเจ้าเรียกข้าว่าเซียนเอ๋อร์ก็พอ”

เทพธิดาโอสถยิ้มหวานหยด นางได้ยินที่ฉินอวี้โม่กล่าวกับสหายและรู้ว่าพวกเขานัดรวมตัวกัน ณ จุดกึ่งกลางของดินแดนต้องห้ามซึ่งนางเองก็มีความคิดแบบเดียวกัน ดังนั้นจึงเข้ามาทักทายพวกเขาเพื่อผูกไมตรีไว้ก่อน

ในตอนนี้ ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ประตูทางเข้าโรงเรียนราชสำนัก เป็นเพราะยังไม่มีคำสั่งเรียกให้เข้าไป พวกเขาจึงทำได้เพียงรอคอยอยู่ตรงนี้เท่านั้น

หลังจากเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป ประตูที่ปิดสนิทของโรงเรียนราชสำนักก็เปิดขึ้น บุคคลสามท่านที่ดูเหมือนจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการสอบคัดเลือกครั้งนี้ก้าวเดินออกมา

ผู้ที่เดินนำมาเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์ราวกับมีอายุไม่เกินยี่สิบปี เขาสวมชุดสีน้ำเงินเข้มที่เข้ากันกับผมสลวยสีน้ำเงินคล้ายสีของมหาสมุทร เส้นผมของคนผู้นี้ดูโดดเด่นและงดงามเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีผู้ใดคิดว่าบุรุษผู้นั้นคือคนรุ่นเยาว์จริง ๆ

กล่าวกันว่าอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนัก*–มู่อวิ๋น* นั้น มีเส้นผมสีน้ำเงินที่ดูงดงามตั้งแต่เกิด แม้ว่าเขาจะอยู่มานานหลายทศวรรษแต่รูปลักษณ์กลับยังดูอ่อนวัยไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งระดับพลังของบุรุษผู้มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียนราชสำนักผู้นี้ก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยากจะหยั่งถึง และยังไม่มีผู้ใดทราบถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา

“หึ ๆ ๆ พวกหนูน้อยทั้งหลายมากันแต่เช้าเลยนะ”

เมื่อมองเห็นเหล่าผู้ที่มารวมตัวกันเพื่อเข้ารับการสอบคัดเลือก มู่อวิ๋นก็แย้มรอยยิ้มกว้าง

“ข้ามู่อวิ๋น เป็นอธิการของโรงเรียนราชสำนัก ส่วนสองท่านนี้คือรองอธิการของโรงเรียน หากพวกเจ้าไม่มีคำถามอะไรก็รับป้ายของตัวเองและเตรียมตัวเข้าไปยังดินแดนต้องห้ามได้ !”

ทันทีที่เสียงนั้นสิ้นสุดลง ฉินอวี้โม่ก็พบว่ามีสิ่งของบางอย่างลอยเข้ามาหาและหยุดลงตรงหน้า ซึ่งเมื่อมองดูอย่างชัดเจนแล้วนางก็พบว่ามันเป็นป้ายแผ่นหนึ่ง ทุกคนที่มาเข้าร่วมการทดสอบต่างก็ได้รับแผ่นป้ายนั้นด้วยเช่นกัน

“หยดเลือดลงบนแผ่นป้ายเพื่ออ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของ ป้ายแผ่นนั้นพวกเจ้าต้องรักษาไว้เป็นอย่างดี หากใครสูญเสียมันไปก็จะถือว่าสอบตกทันที”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็กัดนิ้วของตัวเองอย่างไม่รอช้าและหยดเลือดลงไปบนป้ายตรงหน้า

ป้ายแผ่นนั้นเปล่งแสงสว่างวาบออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเอง อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็พบว่าบนแผ่นป้ายมีชื่อของนางปรากฏอยู่เรียบร้อยแล้ว

“เมื่อเข้าไปแล้ว ขอให้ทุกคนใช้ความระมัดระวัง หากพบเจออันตรายที่รับมือไม่ได้พวกเจ้าสามารถทำลายแผ่นป้ายของตัวเองแล้วทางโรงเรียนจะส่งตัวพวกเจ้ากลับออกมาทันทีเพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่เมื่อป้ายถูกทำลายนั่นก็หมายความว่าพวกเจ้าสอบตก เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนพร้อมกันแล้ว พวกเราขอเริ่มการทดสอบ ณ บัดนี้ !”

มู่อวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะโบกมือไปในอากาศ ม่านแสงกึ่งโปร่งใสปรากฏขึ้นเหนือฝูงชนก่อนจะค่อย ๆ ลดระดับลงมาปกคลุมทุกคนเอาไว้ เพียงชั่วพริบตาถัดจากนั้น ผู้เข้าร่วมการทดสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักในปีนี้ทั้งหมดก็หายตัวไป