ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็พบว่าบรรยากาศและทัศนียภาพรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น ในเวลานี้นางกำลังอยู่ภายในพื้นที่ของป่าแห่งหนึ่ง อดีตนักฆ่าสาวพยายามกวาดตามองเพื่อสำรวจให้ทั่วบริเวณ
หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ที่นี่คือ ‘ดินแดนต้องห้ามแห่งโรงเรียนราชสำนัก’
ม่านแสงที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่เป็นการส่งผู้เข้ารับการทดสอบทุกคนเข้ามาภายในดินแดนต้องห้าม ในตอนนี้ทั้งฉินอวี้โม่และพวกพ้องทั้งหมดได้เข้ามาอยู่ในสนามสำหรับการสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าการสอบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ฉินอวี้โม่ไม่ทราบเลยว่าสหายคนอื่น ๆ ถูกส่งตัวไปในจุดใดของที่นี่บ้าง อีกทั้งยังไม่มีวิธีติดต่อสื่อสารกับทุกคน อย่างไรก็ตาม นางก็ทราบดีว่ายามนี้ยังมิใช่เวลาห่วงกังวลเรื่องของผู้อื่น อดีตนักฆ่ามองไปรอบ ๆ ตัวและสังเกตอย่างละเอียด
หลังจากสำรวจจนทั่วแล้ว ฉินอวี้โม่ก็พบว่าความเข้มข้นของพลังมายาภายในดินแดนต้องห้ามนี้มีมากกว่าโลกภายนอกถึงสามเท่า หากว่าใช้ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกฝน ผลลัพธ์ก็คงจะดีกว่าการฝึกพลังยุทธ์ที่ด้านนอกมาก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อดีตสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูก็ไม่มีความลังเลอีก
“เสี่ยวจิ่ว ม่อเสีย เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เสี่ยวเยี่ย พวกเจ้าทั้งหมดออกมา…”
ฉินอวี้โม่เรียกเหล่าอสูรมายาที่เก็บตัวอยู่ภายในมิติเชื่อมอสูรออกมาในทันที
“โห ! ที่นี่มีพลังมายาเข้มข้นมาก ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนเหรอนายหญิง ?”
เมื่อเสี่ยวเฮยออกมาภายนอกได้มันก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ในช่วงหลัง ๆ มานี้ มันและพวกพ้องไม่ค่อยมีโอกาสออกมาภายนอกมากนัก พวกมันทั้งหมดได้แต่ฝึกฝนอยู่ภายในมิติเชื่อมอสูรเสียส่วนมากทำให้เจ้ายูนิคอร์นเทวะราชันเริ่มรู้สึกอุดอู้และเบื่อหน่าย ในตอนนี้เมื่อได้ออกมาภายนอกอีกครั้ง ทั้งม้าดำผู้กำลังเบื่อและเหล่าอสูรมายาทั้งหลายในสังกัดนายหญิงคนงามต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปด้วยท่าทางมีความสุขและเริงร่า
“ที่นี่คือดินแดนต้องห้าม พลังมายาในนี้เข้มข้นกว่าข้างนอกสามเท่า ข้าต้องการฝึกฝนอยู่ที่นี่สักระยะเพื่อจะดูว่ามีโอกาสทะลวงพลังได้หรือไม่ ข้าอยากขอให้พวกเจ้าช่วยกันคุ้มกันข้าเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน”
ฉินอวี้โม่บอกกล่าวถึงเหตุผลที่นางเรียกอสูรมายาทั้งหมดออกมาและขอร้องให้พวกมันช่วยเหลือก่อนจะนั่งลงและเตรียมตั้งสมาธิเพื่อฝึกฝนพลังยุทธ์ หลังจากนี้ไปอีกหลายวันคุณหนูผู้เก่งกาจแห่งตระกูลฉินต้องการสมาธิอย่างสูงและการอยู่เพียงลำพังในป่าลึกลับแสนอันตรายที่ไม่รู้จักก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก ดังนั้นนางจึงต้องขอความช่วยเหลือจากเหล่าอสูรมายาในสังกัด
ฉินอวี้โม่ติดอยู่ที่ขอบเขตนภมายาเจ็ดดารามามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ในเมื่อมีโอกาสได้เข้ามายังสถานที่ที่เหมาะสมต่อการฝึกฝนมากถึงเพียงนี้แล้ว สาวงามผู้เก่งกล้าจึงใช้โอกาสนี้เพื่อพัฒนาระดับพลัง
“ไว้ใจพวกเราได้เลยนายหญิง”
เสี่ยวเฮยและอสูรมายาตัวอื่น ๆ พยักหน้ารับคำอย่างแข็งขันก่อนจะนั่งลงไม่ใกล้ไม่ไกลจากร่างบอบบางของนายหญิงเพื่อทำหน้าที่เป็นองครักษ์คอยคุ้มกัน
คนอื่น ๆ เองก็ถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาภายในดินแดนต้องห้าม เมื่อแรกที่เข้ามาถึงทุกคนต่างก็ประหลาดใจกับความเข้มข้นของพลังมายาในสถานที่แห่งนี้ ไม่นานนักเหล่าผู้รับการทดสอบทั้งหลายก็ออกสำรวจพื้นที่รอบตัว
ไม่ทราบว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่โอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงถูกส่งมาปรากฏตัวในจุดที่อยู่ใกล้ ๆ กัน นี่เป็น ‘*ความบังเอิญ’*อย่างเหลือล้นที่ทำให้ทั้งคุณชายรองตระกูลโอวหยางและคุณหนูใหญ่ตระกูลเยว่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก… ซึ่ง ‘ความบังเอิญอันน่าประหลาดใจ’ ในความคิดของพวกเขาทั้งคู่นี้ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็คิดเห็นตรงกันว่ามันสมควรจะเรียกว่า *‘บุพเพสันนิวาส’*มากกว่า
สามวันผ่านไปราวพริบตา ฉินอวี้โม่ไม่ทราบว่าตัวเองนั่งอยู่ ณ จุดใดภายในดินแดนต้องห้าม ทว่านางก็รู้สึกได้ว่ามีคนจำนวนมากเดินทางผ่านบริเวณที่นางนั่งอยู่ อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นก็ไม่กล้าล่วงล้ำเข้ามาใกล้เพราะเห็นเสี่ยวเฮยและผองเพื่อนนั่งทำหน้าถมึงทึงคุ้มกันอยู่ พวกเขาทำได้เพียงมองนางจากระยะไกลจากนั้นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ในวันที่สี่สภาวะพลังภายในร่างกายของฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ หลอมรวมกัน ณ จุดตันเถียนก่อนจะแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว สภาวะพลังเหล่านั้นเข้มข้นรุนแรงเสียจนมีบางส่วนล้นทะลักออกมาภายนอกและกระจัดกระจายไปจนทั่วบริเวณ ในตอนนั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็ลืมตาขึ้นด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางทำได้สำเร็จ
“ยินดีด้วยนายหญิง”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ทะลวงพลังสำเร็จ เหล่าอสูรมายาก็เอ่ยแสดงความยินดีกับนาง
“ขอบคุณพวกเจ้ามาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวขอบคุณอสูรมายาทั้งหลายของนางที่คอยช่วยคุ้มกันมาตลอดหลายวัน
“เย้”//”เย้”//”เย้”
เสือสาวเสี่ยวเยี่ย อาชาสีนิลเสี่ยวเฮย และเหยี่ยวสีทองอร่ามเสี่ยวจินประสานเสียงร้องเฮดังลั่น หลังจากนั้นเหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่และเจ้านายสาวของมันก็ยิ้มกว้างให้กันอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
แม้ว่าในครั้งนี้พวกมันจะไม่ได้เลื่อนระดับตามไปด้วย แต่หลังจากติดตามฉินอวี้โม่มาได้สักระยะ พวกมันทั้งหมดก็รับรู้ได้ว่าสตรีมนุษย์งดงามผู้นี้เป็นเจ้านายที่ดี อสูรมายาทั้งห้าทั้งจงรักภักดีกับนายหญิงของมันมาก เมื่อนางได้ประโยชน์พวกมันจึงรู้สึกดีตามไปด้วย
“ไปกันเถอะ เราจะค่อย ๆ เดินทางไปยังใจกลางของดินแดนต้องห้าม”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางรู้สึกมีความสุขมากที่ได้รับการยอมรับจากอสูรมายาของตัวเอง มันไม่ใช่การยอมรับเพราะถูกผูกมัดหรือบีบบังคับโดยพันธสัญญา แต่เหล่าเพื่อนต่างสายพันธุ์ทั้งหมดนี้ยอมรับนางจากใจจริง
ฉินอวี้โม่คิดและรู้สึกอยู่เสมอว่าอสูรมายาทุกตัวคือคู่หู นางปฏิบัติกับพวกมันอย่างจริงใจและบริสุทธิ์ใจ อดีตนักฆ่าสาวคิดว่าอสูรมายาก็ไม่ต่างจากมนุษย์ที่ล้วนแล้วแต่มีจิตใจและความรู้สึกนึกคิด หากทำให้พวกมันยอมรับนางจากใจจริงได้แล้ว อสูรมายาเหล่านี้ก็จะทำทุกอย่างเพื่อนางอย่างเต็มที่และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่นางคาดหวังเอาไว้
“นายหญิง ท่านรู้ทางไปยังใจกลางของดินแดนต้องห้ามอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อฟังสิ่งที่เจ้านายคนงามกล่าว เสี่ยวเฮยก็เกิดความสงสัยขึ้น
เพราะถึงแม้จะเฝ้าอยู่แถวนี้มาแล้วถึงสามวัน แต่พวกมันทุกตัวก็ยังบอกไม่ได้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ใด ยิ่งกว่านั้นดินแดนต้องห้ามแห่งนี้ยังคล้ายกับมีผนึกพิเศษบางอย่างคอยปิดกั้นสัมผัสของพวกมันอยู่ ซึ่งผนึกที่ว่านี้ทำให้พวกมันไม่สามารถรับรู้ถึงสถานที่ที่อยู่ไกลออกไปได้เลย
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ย่อมทราบวิธีการไปยังใจกลางของดินแดนต้องห้ามและนางก็ไม่คิดจะปิดบังเหล่าอสูรมายา คืนก่อนการทดสอบจะเริ่มต้นฉินอวี้โม่ได้พูดคุยกับหานโม่ฉือ มนุษย์น้ำแข็งของนางบอกกล่าวไว้ว่า บริเวณจุดกึ่งกลางของดินแดนลึกลับแห่งนี้มีจุดสังเกตง่าย ๆ คือป่าโปร่งที่อยู่โดยรอบ
พื้นที่จุดศูนย์กลางของดินแดนต้องห้ามนั้นถูกโอบล้อมไปด้วยป่าโปร่งที่มีพืชพันธุ์ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่เบาบาง พื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของบริเวณนี้ปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ดังนั้นถ้าหากพบว่าในจุดใดมีต้นไม้ขึ้นบางตาก็สันนิษฐานได้ว่านั่นคือพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับใจกลางดินแดนต้องห้าม ซึ่งเมื่อเหาะขึ้นไปสำรวจดูจากมุมสูง ฉินอวี้โม่ก็พบว่าจุดที่มีต้นไม้เบาบางดังกล่าวอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
“ถ้าพวกเราเดินไปให้ถึงเขตที่เป็นป่าโปร่ง พวกเราจะไปถึงใจกลางได้อย่างแน่นอน”
หลังจากกล่าวจบ คุณหนูคนงามก็ออกเดินทางไปในทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อนำพาขบวนอสูรมายาของนางไปสู่จุดหมายที่นัดพบกับพวกพ้องเอาไว้ในทันที
เสี่ยวเฮยและอสูรมายาตัวอื่น ๆ พยักหน้าก่อนจะรีบติดตามนายหญิงของตัวเองไป
ในยามนี้ เหล่าอสูรเทวะราชันในสังกัดของฉินอวี้โม่เปลี่ยนมาอยู่ในรูปร่างมนุษย์กันทั้งหมด เพื่อที่จะเคลื่อนตัวได้อย่างสะดวกและคล่องแคล่ว ส่วนเพียงพอนนั้นยังไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ มันจึงได้แต่นอนอยู่บนไหล่ของบางของเจ้านายและมองไปรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในระหว่างทางฉินอวี้โม่และคณะพบเจอผู้เข้าสอบคนอื่นอยู่สองสามคน คนเหล่านั้นเป็นคนที่ฉินอวี้โม่ไม่รู้จักและพวกเขาก็ไม่รู้จักนางเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็น ‘คณะเดินทางอวี้โม่’ ที่มีคนอยู่ด้วยจำนวนมาก พวกเขาก็รีบหนีไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นเพราะคนเหล่านั้นกลัวว่ากลุ่มของฉินอวี้โม่ที่มีถึงหกคนจะเข้ามาชิงป้ายของตนจึงเลือกที่จะวิ่งหนีในทันที
“ดูเหมือนว่ากลุ่มของพวกเราจะแข็งแกร่งเกินไป”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม ในตอนนี้อดีตนักฆ่าสาวไม่มีความตั้งใจที่จะชิงป้ายของผู้ใด เรื่องการสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักนางไม่ได้มีความกังวลแม้แต่น้อย ในตอนนี้การสอบเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือระวังอย่าให้ป้ายของตัวเองถูกชิงไปก็เป็นพอ เพราะหากสูญเสียป้ายประจำตัวไปก็กล่าวได้ว่าตกรอบแบบสิบเต็มสิบส่วน อีกทั้งโอกาสจะชิงป้ายกลับมาได้ก็นับว่ามีค่อนข้างน้อย ส่วนป้ายของคนอื่น ๆ ยังเหลือเวลาอีกมากที่จะชิงมา ยิ่งกว่านั้นหากเลือกลงมือกับผู้ที่ชิงป้ายมาได้จำนวนมากในตอนท้าย นางก็จะได้ป้ายมากมายมาโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงให้เหนื่อย
“อา ดูเหมือนว่าจะมีอยู่กลุ่มหนึ่งนะที่ดูจะไม่หวังดีต่อพวกเรา”
เสี่ยวจิ่วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ มันมองเห็นกลุ่มมนุษย์ที่มีกลิ่นอายไม่ประสงค์ดีอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก คนเหล่านั้นเดินกันเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเขาทั้งหมดเป็นบุรุษ ทั้งกลุ่มมีสมาชิกอยู่ราว ๆ สิบคนและดูเหมือนว่าจะเพิ่งรวมตัวกันชั่วคราว เมื่อดูจากสีหน้าแววตาของพวกเขาจะเห็นความโลภและเจตนามุ่งมั่นเอาชนะอยู่อย่างชัดเจน
ในความคิดของคนกลุ่มนั้นพวกเขาเห็นว่ากลุ่มคนห้าคนตรงหน้าที่มีเพียงบุรุษสามคนและสตรีบอบบางอีกสองนั้นไม่ต่างจากลูกพลับนุ่ม ๆ ที่พวกเขาจะบีบให้แหลกเละอย่างไรก็ได้
ตั้งแต่เมื่อครั้งยังอยู่ในป่าแสงจันทร์ อสูรมายาของฉินอวี้โม่ต่างก็เลื่อนขึ้นมาเป็นอสูรมายาระดับเทวะราชันกันทั้งหมดแล้ว ตัวที่มีระดับสูงที่สุดในตอนนี้คือเสี่ยวจิ่วที่เป็นถึงอสรพิษเทวะราชันเก้าดารา ซึ่งการที่มันจะก้าวขึ้นไปสู่ขั้นถัดไปได้ก็จะต้องใช้วิธีผ่านพ้นทัณฑ์อัสนีอันแสนหนักหน่วงเท่านั้น
ส่วนความแข็งแกร่งของม่อเสีย แม้จะนับว่าเป็นรองเจ้าอสรพิษยักษ์ แต่ก็นับว่าด้อยกว่าเพียงเล็กน้อย เพราะเวลานี้เจ้าหมีดำเป็นถึงอสูรเทวะแปดดาราแล้ว
ด้านเสี่ยวจินและเสี่ยวเฮยนั้น ตัวหนึ่งเป็นอสูรเทวะราชันห้าดารา ส่วนอีกตัวเป็นอสูรเทวะราชันสี่ดารา ความแข็งแกร่งของอสูรมายามีปีกทั้งสองจึงถือว่าไม่ธรรมดาเลยเช่นกัน
ด้วยความแข็งแกร่งของอสูรเทวะราชัน หากว่าไม่ใช่ผู้ที่มีระดับพลังสูงส่งมากพอก็ยากที่จะแยกแยะได้ว่ามนุษย์ที่เดินเคียงข้างฉินอวี้โม่เป็นมนุษย์จริง ๆ หรือว่าอสูรมายาในร่างจำแลง และบุรุษทั้งสิบคนนั้นก็เห็นฉินอวี้โม่และคณะอีกห้าตัวเป็นเพียงมนุษย์ผู้เข้ารับการทดสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักธรรมดา พวกเขาจึงคิดที่จะชิงป้ายของ ‘กลุ่มคน’ ตามความคิดของพวกเขาไป
“เฮ้อ~ กล่าวถึงโจโฉ โจโฉก็มา*”
*说曹操, 曹操就到 หรือ พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา มีความหมายคล้ายกับสำนวนไทย ‘พูดถึงไก่ ไก่ก็มา’ หมายถึง เมื่อเรากำลังพูดถึงใครสักคนหนึ่ง คนคนนั้นก็มาถึงพอดี
ทันทีที่เสียงของเสี่ยวจิ่วสิ้นสุดลง ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่ากลุ่มคนทั้งสิบเหล่านั้นกำลังตรงเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว
แม้จะรู้เช่นนั้น แต่ ‘คณะเดินทางอวี้โม่’ ยังคงมีท่าทีสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อน พวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ อดีตนักฆ่าสาวเพียงแต่หยุดเดินก่อนจะมองหาต้นไม้เหมาะ ๆ ใกล้ตัวสักต้น คุณหนูคนงามเอนหลังพิงต้นไม้เพื่อรอคอยให้กลุ่มคนพวกนั้นเข้ามาถึง
กลุ่มคนพวกนั้นวิ่งตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่ด้วยท่าทีที่ก้าวร้าว ทว่าเมื่อเห็นสตรีงดงามราวเทพเซียนยืนพิงต้นไม้อยู่เพียงลำพังพร้อมส่งยิ้มอ่อนหวานมาให้ พวกเขาทั้งหมดก็ชะงักไปทันที
“พวกท่าน กำลังมองหาข้าอยู่อย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นเอาแต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็หัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาพวกเขาช้า ๆ
“เอื๊อก~”
เมื่อคนกลุ่มนั้นได้เห็นรอยยิ้มหวานหยดบนใบหน้างามล้ำของสาวงาม พวกเขาก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ทว่าคนทั้งกลุ่มกลับก้าวเท้าถอยหลังออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ปฏิกิริยาของคนเหล่านี้ทำให้ฉินอวี้โม่ยกยิ้มอยู่ในใจ คุณหนูคนงามแสร้งถามเสียงหวานใส “มีปัญหาอะไรหรือ? พวกเจ้าไม่ได้มาหาข้าหรอกรึ ?”
“แม่นางอย่ามาพูดเหลวไหล ส่งป้ายของเจ้ามาเดี๋ยวนี้”
บุรุษผู้หนึ่งที่ดูคล้ายจะเป็นผู้นำของคนทั้งสิบรวบรวมสติแล้วกล่าวขึ้นมา
เขารู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เมื่อครู่เขาเพิ่งจะชะงักไปเพราะรอยยิ้มของสตรีโฉมงามผู้นี้ ต้องบอกเลยว่าสตรีตรงหน้าเขางดงามเหนือผู้ใดที่เขาเคยพบเจอ
ฉินอวี้โม่เริ่มประเมินบุรุษทั้งสิบคนอย่างรวดเร็ว เมื่อดูจากอากัปกิริยาและแววตาของพวกเขาที่เมื่อเห็นสาวงามก็เพียงแต่ชะงักค้างไปแล้วรีบเปลี่ยนท่าที อดีตนักฆ่าสาวก็สรุปได้ว่า คนเหล่านี้ไม่ได้มีความต้องการใดอื่นนอกเหนือไปจากการแย่งชิงป้ายแสดงสถานะผู้เข้าสอบของนางเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นี่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะในตอนแรกนางคิดว่าเมื่อบุรุษทั้งสิบคนนี้ได้เห็นสตรีโฉมงามบอบบางอยู่เพียงลำพังตรงหน้า พวกเขาจะเกิดตัณหาราคะและถูกสัญชาตญาณดิบเถื่อนเข้าครอบงำจนคิดเรื่องต่ำช้าเป็นแน่ ทว่าปฏิกิริยาของกลุ่มคนตรงหน้ากลับไม่ได้เป็นเช่นนนั้นเลย
“พวกเจ้าเป็นกลุ่มชายอกสามศอก แต่กลับคิดมารังแกสตรีตัวน้อย ๆ อย่างข้า พวกเจ้าไม่รู้สึกละอายบ้างรึ ?”
ฉินอวี้โม่แกล้งดัดเสียงให้แหลมเล็กเป็นเชิงตัดพ้อ เดิมทีนางมีแผนที่จะจัดการสั่งสอนคนเหล่านี้ให้รู้สำนึก หากอีกฝ่ายมีความคิดหยาบช้านางก็ยินดีที่จะชิงเอาป้ายของพวกเขาทั้งหมดและไล่บุรุษจิตใจสกปรกกลับบ้านไป แต่ในตอนนี้นางเปลี่ยนใจแล้ว
คนเหล่านี้ดูไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นัก นางจะทดสอบดู หากว่าพวกเขาเต็มใจจะยอมถอยไปเอง อดีตนักฆ่าสาวก็คิดไว้แล้วว่านางจะยอมปล่อยพวกเขา
“เอ่อ คือ…”
เมื่อบุรุษกลุ่มนั้นได้ยินสิ่งที่สาวงามตรงหน้ากล่าว พวกเขาก็ชะงักงันอีกครั้ง บุรุษอกสามศอกนับสิบหันไปมองหน้ากันและกันก่อนจะหันไปมองฉินอวี้โม่สตรีบอบบางที่อยู่ตัวคนเดียว ในตอนนั้นเองพวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกละอายใจจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
เพราะความต้องการแต่เดิมของฉินอวี้โม่คือเปิดโปงความหยาบช้าของคน นางจึงต้องทำให้ดูเสมือนเป็นสตรีอ่อนแอที่อยู่เพียงลำพังเพื่อดำเนินแผน นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูจึงบอกให้อสูรเทวะราชันทั้งห้าและเจ้าเพียงพอนตัวยาวเข้าไปภายในมิติเชื่อมอสูรตั้งแต่ตอนที่รับรู้ว่าคนเหล่านี้กำลังพุ่งตรงมาหา และเวลานี้คุณหนูผู้งดงามก็ยืนอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ใหญ่
“แล้วสหายของเจ้าล่ะ แม่นาง บอกให้พวกเขาเผยตัวออกมาตอนนี้ ถ้าพวกเจ้ายอมมอบป้ายให้เราซะดี ๆ พวกเราสัญญาว่าจะไม่ทำอันตรายพวกเจ้า พวกเราขอแค่ป้ายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
สิ้นวาจาของบุรุษที่ดูคล้ายเป็นหัวหน้าฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจได้
ความแข็งแกร่งโดยรวมของคนกลุ่มนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยโดดเด่นมากเท่าไหร่นัก ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าบุรุษที่เป็นผู้นำเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้เมื่อไม่นานมานี้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่ติดตามเขาก็ล้วนยังอยู่ในขอบเขตมายารัตนะดาราสูง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเหล่าจอมยุทธ์มายารัตนะน่าจะพบกับยอดฝีมือขอบเขตนภมายาผู้นี้โดยบังเอิญและขอติดตามมา รวมทั้งทำข้อตกลงร่วมมือกันเพื่อให้ผ่านการทดสอบ
“สหาย? ข้าอยู่คนเดียวตลอดเลยนะ !”
ฉินอวี้โม่มองซ้ายมองขวาด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยปาก
นางอยู่คนเดียวอย่างที่กล่าวออกมาจริง ๆ เพราะสิ่งมีชีวิตในร่างมนุษย์อื่น ๆ ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นอสูรมายาไม่ใช่มนุษย์
“คนเดียว เป็นไปได้อย่างไรกัน ? ก็พวกเราเห็นชัด ๆ ว่าเมื่อครู่มีคนห้าคนเดินตามเจ้า”
เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจและคำถามที่เต็มไปด้วยความงุนงงของฉินอวี้โม่ ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็งงงวยไปด้วยเช่นกัน เมื่อครู่เขาเห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามีคนห้าคนเดินอยู่ด้านหลังสตรีผู้นี้ นี่พวกเขาทั้งสิบตาฝาดไปพร้อม ๆ กันอย่างนั้นรึ ?
“เจ้าต้องตาฝาดไปแล้วแน่ ๆ ช่วงหลายวันมานี้ข้าไร้สหายร่วมทางและอยู่คนเดียวมาตลอด”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและกล่าวต่อ “ข้าเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอ หากว่าเจ้าต้องการแย่งชิงป้ายผู้เข้าสอบของข้า ข้าก็คงไม่สามารถต่อต้านอะไรได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็ส่งคนเข้ามาเอามันไปเถอะ”
ฉินอวี้โม่เอาป้ายของตัวเองออกมา นักฆ่าสาวพยายามจะลองใจคนกลุ่มนี้ให้รู้ไปเลยว่า พวกเขาจะเข้ามาเอามันไปหรือไม่
เมื่อบุรุษทั้งสิบคนได้ยินที่ฉินอวี้โม่กล่าวก็มีคนพยายามจะก้าวเข้าไปคว้าป้ายผู้เข้าสอบของนางอย่างอดไม่ได้ ทว่าก็ถูกยอดฝีมือนภมายาผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มหยุดยั้งเอาไว้
“ใจเย็นไว้ เสี่ยวอู่ เจ้ามองดูสิ นางเป็นแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น ปล่อยนางไปเถอะ”
บุรุษหัวหน้าจ้องมองฉินอวี้โม่ก่อนจะหันมาส่ายหน้าให้กับเสี่ยวอู่ที่กำลังจะเข้าไปชิงป้ายมาจากนาง
เสี่ยวอู่ผู้นั้นชะงักไป เมื่อได้ยินถ้อยคำเตือนสติของหัวหน้าเขาก็รีบถอยออกมาอย่างละอายใจ
เขาก้าวออกไปเพื่อจะเอาป้ายของฉินอวี้โม่ ในหัวเขาคิดเพียงเรื่องเดียวว่าจะต้องผ่านการทดสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักให้ได้ ทว่าในใจจริงแท้แล้วเขาไม่ได้อยากจะชิงเอาป้ายจากสตรีอ่อนแอเช่นนี้ เมื่อคิดทบทวนดูดี ๆ เขาก็รู้สึกว่าความโลภของตัวเองมันช่างน่าละอายเหลือเกิน
“ข้าขอโทษแม่นางด้วย หากว่าแม่นางจะอยู่คนเดียวต่อไปก็ขอให้ระวังตัวด้วย”
จอมยุทธ์นภมายาผู้เป็นหัวหน้ายกฝ่ามือข้างหนึ่งประจบกับกำปั้นอีกข้างเพื่อแสดงความขออภัยต่อฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวเตือนนางอย่างจริงจัง
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่านี่คือระบบของการสอบ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่บอบบางอ่อนแอแล้ว เขาก็ทำไม่ลง บุรุษอกสามศอกได้แต่ต้องตัดใจและหันหลังกลับเพื่อไปหาเป้าหมายอื่นแทน
ทันทีที่เห็นผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มหันหลังกลับและเดินออกไป ผู้ติดตามคนอื่น ๆ ก็เดินตามเขาไปอย่างไม่ลังเลหรือแสดงอาการเสียดาย พวกเขาทั้งหมดมีเพียงร่องรอยความละอายใจเท่านั้น
เมื่อฉินอวี้โม่เห็นคนกลุ่มนั้นหันหลังกลับทั้ง ๆ ที่มีโอกาสอันดีที่จะได้ป้าย นางก็ตกตะลึงไม่น้อย อย่างไรก็ตาม อดีตนักฆ่าสาวก็อดรู้สึกชื่นชมพวกเขาไม่ได้
“คนพวกนั้นเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ”