“นายหญิง พวกเขายอมกลับไปง่าย ๆ แบบนั้นเลยหรือ ?”
น้ำเสียงฉายแววขี้สงสัยของเพียงพอนที่กำลังนอนขดอยู่บนไหล่ฉินอวี้โม่ดังขึ้น
“ใช่แล้วล่ะ พวกเขาล้วนเป็นคนดีกันทั้งนั้น เมื่อรู้ว่าข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ พวกเขาก็ยินดีถอยออกไปเอง”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนหันไปมองเพียงพอนน้อยด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ทึกทักว่านายหญิงเป็น ‘สตรีอ่อนแอ’ นี่มันเรื่องตลกครั้งใหญ่เลยนะเนี่ย !”
ทันทีที่วาจาของฉินอวี้โม่สิ้นสุดก็เป็นเวลาเดียวกับที่เหล่าอสูรมายาในสังกัด*‘คณะเดินทางอวี้โม่’* ทั้งห้าปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้มีสมาชิกตัวน้อยเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว
ซึ่งอสูรมายาผู้มาใหม่ก็คือ เจ้ามังกรทองห้าเล็บตัวเล็กแต่อ้วนกลมที่เพิ่งจะฟักออกมาไข่เมื่อครั้งที่ฉินอวี้โม่เข้าร่วมภารกิจชิงไข่ประหลาดในถ้ำของเสี่ยวจิ่วที่ป่าแสงจันทร์
“กู กู ต๋า ! มู่หม่า ! แม่จ๋า !”
เสียงเล็ก ๆ ที่ฟังจับใจความได้เพียงคำว่า ‘แม่จ๋า’ ดังขึ้น ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะรู้สึกว่าแก้มนวลกำลังถูกมังกรทองตัวน้อยใช้ลิ้นเล็ก ๆ เลียเบา ๆ นี่เป็นอีกครั้งที่มันเรียกฉินอวี้โม่ว่าแม่
นักฆ่าสาวแห่งศตวรรษที่ 21 ในร่างคุณหนูกลอกตาพลางถอนหายใจ*… ‘เฮ้อ~* ฉันยังไม่ได้แต่งงานเลย แล้วจะมีลูกได้ยังไง’
ฉินอวี้โม่ไม่ประหลาดใจเลยที่เจ้ามังกรทองห้าเล็บจะเป็นถึงอสูรมายาระดับสูงจนไม่อาจคาดเดา เพราะมันสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ตั้งแต่ยังเป็นทารกเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อสังเกตจากลักษณะของมังกรน้อยตัวนี้แล้วก็เห็นได้ชัดว่ามันน่าจะเป็นตัวผู้
“เจ้าตัวน้อย ข้าไม่ใช่แม่ของเจ้า”
คุณหนูคนงามพยายามสื่อสารกับมังกรทองห้าเล็บวัยทารกแต่ดูเหมือนมันจะไม่เข้าใจ หรือไม่คิดจะเข้าใจ เจ้าตัวกลมล้มตัวลงนอนบนไหล่อีกข้างของฉินอวี้โม่และหลับไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ฉินอวี้โม่หมดคำพูด ดูเหมือนว่าเจ้าหนูน้อยตัวนี้จะไม่เข้าใจนางเลยสักนิด
‘นายหญิง มังกรทองห้าเล็บตัวนี้เมื่อแรกออกจากไข่ก็เห็นนายหญิงเป็นคนแรก มันจึงทำพันธสัญญากับท่านทันที นอกจากพันธสัญญาแล้วสายสัมพันธ์แรกพบก็ยังทำให้มันรู้สึกว่าความผูกพันที่มีต่อท่านมีมากมายมหาศาล มันจึงเรียกขานท่านว่าแม่เป็นธรรมดา และในเมื่อเจ้าตัวเล็กนี่เห็นท่านเป็นแม่แล้วมันก็จะไม่มีวันเปลี่ยนความคิด’
เสียงบอกเล่าเรื่องราวของซิวดังขึ้นภายในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ ทว่าหากฟังจากน้ำเสียงของอสูรมายาน่าเกรงขามให้ชัด ๆ แล้วจะพบร่องรอยความขบขันเจืออยู่ไม่น้อย
ส่วนเหล่าอสูรมายารุ่นพี่ทั้งหลายต่างก็ยิ้มขำความน่าเอ็นดูของมังกรน้อย มีเพียงเจ้างูเสี่ยวจิ่วที่มองเจ้าลูกมังกรด้วยสายตาแปลกประหลาด เจ้าอสรพิษเก้าเศียรผู้ยิ่งใหญ่ยังคงอดนึกถึงเมื่อครั้งที่มันท้องอืดเกือบตายเพราะกินไข่มังกรครั้งนั้นไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เจ้างูตะกละสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ให้คนหรืออสูรมายาตนใดได้รับรู้
ในตอนแรกฉินอวี้โม่ก็คิดหนักว่าจะทำอย่างไรให้ทารกอสูรมายาเลิกเข้าใจผิด ทว่าหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ซิวบอกแล้วนางก็เริ่มทำใจยอมรับได้และล้มเลิกการคิดเรื่องนี้เสียเอง ตอนนี้มันจะดีกว่าหากนางให้ความสำคัญกับการเสาะหาโอกาสและวาสนาภายในดินแดนต้องห้าม
‘ซิว อาการบาดเจ็บของเจ้าเริ่มดีขึ้นบ้างรึยัง ?’
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล
‘ฮ่า ๆ ๆ ข้าสูญเสียพลังไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าคงไม่สามารถกลับไปถึงจุดสูงสุดได้ในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตามในตอนนี้ข้าก็แข็งแกร่งเพียงพอจะท่องไปทั่วดินแดนนี้ได้แล้ว’ หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ซิวก็กล่าวต่อ ‘ข้ายังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะปรากฏกายเนื้อได้’
ในตอนนี้ซิวค่อนข้างรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย ในพันปีที่ผ่านมา มันสูญเสียพลังในร่างกายไปถึงเก้าในสิบส่วน ถ้าหากว่าฉินอวี้โม่ที่มีกายเทพมายาไม่มาพบเจอมันก่อน ตัวตนน่าเกรงขามอย่างมันก็อาจจะต้องกลายสภาพเป็นไข่เหมือนกับมังกรทองห้าเล็บ
แน่นอนว่าเรื่องพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่นั้นไม่มีผู้ใดติดใจสงสัย ทว่าแม้นางจะมีพรสวรรค์สูงส่งแต่การจะช่วยทำให้ซิวฟื้นพลังกลับคืนมาก็ยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย
‘แล้วเจ้าอยากจะเก็บตัวต่อหรือไม่ ?’
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและถาม
‘ตอนนี้ยังไม่ได้ ข้ายังไม่มีพลังพอจะใช้ในการบ่มเพาะพลัง เมื่อท่านทะลวงผ่านขอบเขตนภมายาไปได้แล้ว บางทีถึงตอนนั้นข้าอาจจะขอเก็บตัวสักระยะ’
ซิวส่ายหน้าแล้วกล่าวต่อ*‘ไม่ต้องห่วง ในดินแดนต้องห้ามแห่งนี้ไม่มีใครทำร้ายนายหญิงได้’*
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เรื่องความแข็งแกร่งของซิวนางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงแต่เพียงภายในดินแดนต้องห้ามแห่งนี้เพราะต่อให้เป็นทั้งแผ่นดินหวงหลิงก็คงยากจะหาคู่ต่อสู้ให้มันได้
‘แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยพลังในตอนนี้ข้ายังสู้คู่หมั้นของนายหญิงและอธิการของโรงเรียนราชสำนักที่ปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้ไม่ได้’
ซิวรับรู้ได้ถึงความคิดชะล่าใจของฉินอวี้โม่ มันจึงรีบเอ่ยเตือนขึ้นมา
และด้วยคำเตือนดังกล่าวของซิวทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจในความแข็งแกร่งอันน่าเหลือเชื่อของหานโม่ฉือเพิ่มมากขึ้น …มนุษย์น้ำแข็งของนางแข็งแกร่งมากจนแม้แต่ซิวในตอนนี้ก็ยังยอมรับว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับเขา ณ เวลานี้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
‘เอาล่ะ นายหญิง ได้เวลาที่ข้าควรจะต้องนอนพักสักหน่อย โปรดรับรู้ไว้ หากว่ามีเรื่องให้ช่วยท่านต้องเรียกหาข้า หากท่านไม่เรียกแม้ว่าท่านจะอยู่ในอันตรายข้าก็จะไม่ออกมาโดยพลการ’
ทันทีที่สิ้นเสียงงัวเงียนั้น ซิวก็เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เสี่ยวเยี่ย ตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งขนาดไหนแล้ว ?”
ฉินอวี้โม่เบนความสนใจไปหาอสูรมายาสาวน้อยเพียงหนึ่งเดียว นายหญิงคนงามเอ่ยถามเสือสีทองเสี่ยวเยี่ยด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้พยัคฆ์สาวขนทองอยู่ในรูปร่างมนุษย์ที่งดงาม ต้องยอมรับว่ามันเป็นสาวน้อยแสนงดงามโดยแท้ แต่แม้กระนั้นมันก็ยังคงดูเรียบร้อยและขี้อายอยู่เช่นเคย
“นายหญิง ตอนนี้ข้าเป็นอสูรเทวะราชันสามดาราเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเยี่ยตอบด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขเป็นอย่างมาก
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่นางก็สั่งการ “พวกเจ้าทุกคนเปลี่ยนไปอยู่ในร่างอสูรย่อส่วนและคอยติดตามข้า ข้าอยากจะหยั่งเชิงจิตใจของเหล่าผู้เข้าสอบ หากมีผู้ใดใจต่ำช้าคิดจะจู่โจมข้าก่อนทั้ง ๆ ที่เข้าใจว่าข้าเป็นสตรีอ่อนแอตัวคนเดียว พวกเราก็จะลงมือชิงป้ายของคนพวกนั้นกัน !”
อดีตสาวนักฆ่าคิดว่าอย่างไรตอนนี้พวกนางก็มีเป้าหมายเดียวคือเดินทางไปให้ถึงยังใจกลางดินแดนต้องห้าม ทั้งนางและอสูรมายาทั้งหมดกำลังรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่ไม่น้อย และการได้พบเจอกับเหล่าบุรุษผู้ซื่อตรงไปเมื่อครู่ก็ช่วยให้นางจุดประกายความคิดนี้ขึ้นมาได้ หากระหว่างทางต่อจากนี้ได้พบเจอกับผู้เข้าสอบนางจะใช้โอกาสนี้ทดสอบจิตใจของทุกคน
“ได้เลย”
อสูรมายาของฉินอวี้โม่รับคำอย่างเริงร่าและเปลี่ยนร่างกลับไปอยู่ในร่างอสูรตัวจิ๋วทีละตัว ๆ จากนั้นพวกมันแต่ละตัวก็บินบ้างกระโจนบ้างขึ้นไปเกาะอยู่บนไหล่ของนายหญิงทั้งสองข้าง
พวกมันทุกตัวรู้ถึงความตั้งใจของเจ้านายคนงามของตนดี ต้องบอกเลยว่าผู้ใดที่บังเอิญเดินมาเจอกับนายหญิงของพวกมันก็คงต้องถือว่าโชคร้ายแล้ว
ฉินอวี้โม่และเหล่าอสูรกระจิริดกระจ้อยร่อยทั้งหลายยังคงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อไปให้ถึงพื้นที่ป่าโปร่งตามที่ได้คำนวณเอาไว้แต่แรกโดยไม่หยุดพัก
แม้ว่าเสี่ยวโร่วและคนอื่น ๆ จะไม่ได้อ่อนแอจนน่าเป็นห่วง แต่การตามหาพวกเขาให้พบโดยเร็วและรวมกลุ่มกันไว้ก็ถือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรก็ไม่สามารถประมาทคนจากอารามได้ หากสหายของนางพบเจอกับคนพวกนั้นเข้าก่อนก็คงจะยุ่งยากไม่น้อย
หลังจากเดินทางกันมากว่าครึ่งวัน ฉินอวี้โม่ก็พบกลุ่มคนกลุ่มที่สอง
คนกลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกันเจ็ดถึงแปดคน เมื่อพวกเขาเห็นฉินอวี้โม่ที่อยู่คนเดียวก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นทันที คนเหล่านั้นเข้ามาล้อมนางเอาไว้และพยายามจะชิงป้ายของนางไป
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่แสร้งทำตัวเป็นหญิงสาวผู้อ่อนแอตามแผนที่คิดไว้ ทว่าคนพวกนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงสารและมีแม้กระทั่งคนกักขฬะที่ต้องการจะฉวยโอกาสกระทำต่ำช้ากับตัวนาง ดังนั้นจากเดิมที่สตรีงามราวเทพเซียนดูคล้ายเป็นเพียงลูกไก่ที่จัดการได้ง่าย นางก็แปรเปลี่ยนเป็นดั่งหมาป่าตัวใหญ่ที่น่าหวาดหวั่นพุ่งตรงเข้าฉกชิงป้ายของคนเหล่านั้นทันที
เมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นเหยื่อลูกไก่เปลี่ยนกลายเป็นฝ่ายไล่ล่าพวกเขาก็เกิดความเสียใจอย่างสุดซึ้งที่รนหาที่เอง ทว่าคนทั้งหมดก็ไม่มีโอกาสจะแก้ตัวอีกแล้ว ความแข็งแกร่งของสตรีตรงหน้าน่าหวั่นเกรงเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือไหว เมื่อป้ายของทุกคนถูกนางช่วงชิงไปก็แทบไม่ต่างจากความหวังสำหรับเข้าเรียนโรงเรียนราชสำนักกลายเป็นศูนย์
หลังจากเดินมาเกือบทั้งวัน ทัศนียภาพรอบ ๆ ตัวอดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก ทว่าในมือของฉินอวี้โม่เวลานี้กลับเต็มไปด้วยป้ายผู้เข้าสอบจำนวนมากกว่าสิบแผ่น
เหล่าอสูรมายาตัวนิดตัวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่ของนางต่างก็ยิ้มแย้มกันอย่างมีความสุข ดูเหมือนว่านายหญิงของพวกมันจะร้ายกาจอยู่ไม่น้อย แต่พวกมันก็ชอบความร้ายของนางมากเหลือเกิน
ตั้งแต่ได้เข้ามายังดินแดนต้องห้ามก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉินอวี้โม่รู้สึกสงสัยนั่นคือ นางอยู่ที่นี่มาหลายวันทว่ากลับไม่พบอสูรมายาเลยแม้แต่ตัวเดียว กล่าวกันว่าดินแดนต้องห้ามแห่งนี้เป็นสถานที่ที่อันตรายมาก การที่ไม่มีอสูรมายาปรากฏตัวเลยเช่นนี้มันจึงดูค่อนข้างแปลกประหลาด ฉินอวี้โม่สันนิษฐานว่าหากไม่ใช่เพราะมีคนคอยขับไล่อสูรมายาที่อยู่รอบ ๆ ตัวนางออกไปก่อนหน้านี้ ก็อาจจะเป็นเพราะไม่มีอสูรมายาอยู่ในจุดที่นางอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
“นายหญิงด้านหน้ามีกลุ่มคนต่อสู้กันอยู่”
เสี่ยวจินที่บินดูลาดเลาอยู่ด้านหน้าบนโฉบกลับลงมาแจ้งสถานการณ์แก่นายหญิง
มุมปากของฉินอวี้โม่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ …‘มีคนสู้กันอย่างนั้นรึ ขอเข้าไปดูอะไรตื่นเต้น ๆ สักหน่อยแล้วกัน’
หลังจากอำพรางสภาวะพลังทั้งหมดของตัวเองแล้ว ฉินอวี้โม่และคณะอสูรของนางก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เกิดการต่อสู้กันตามที่เสี่ยวจินบอกอย่างช้า ๆ เพื่อดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น
ผ่านไปไม่นาน ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงก่อนที่ภาพทั้งหมดจะปรากฏสู่สายตา ที่แห่งนี้มีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง ๆ
หลังจากหามุมมืดเพื่อซ่อนตัวแล้ว อดีตนักฆ่าสาวก็เฝ้าสังเกตการณ์อย่างระมัดระวัง
ตรงที่โล่งด้านหน้ามีคนสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ฝ่ายหนึ่งมีคนอยู่มากกว่าสิบคนซึ่งทั้งหมดเป็นคนที่ฉินอวี้โม่ไม่รู้จัก
ส่วนอีกฝ่ายมีจำนวนคนน้อยกว่า พวกเขามีเพียงห้าถึงหกคนเท่านั้น และคนกลุ่มนี้ก็ล้วนเป็นบุคคลที่นางเคยเห็นหน้า
คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มบุรุษที่เคยคิดจะเข้ามาชิงป้ายของนางก่อนหน้านี้ แต่เมื่อรู้ว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงสตรีบอบบางอ่อนแอและอยู่ตัวคนเดียว พวกเขาก็ยอมจากไปโดยไม่ทำอันตรายนาง
ตอนนี้คนในกลุ่มของพวกเขาจากที่มีนับสิบกลับเหลืออยู่เพียงแค่ห้าหกคนเท่านั้น ดูเหมือนว่าสมาชิกบางส่วนจะหายตัวไป ที่สำคัญเท่าที่เห็นในขณะนี้บุรุษใจซื่อกลุ่มนั้นกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างหนัก
และท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดนั้น เสียงเจรจาของบุรุษสองคนก็ดังเข้าหูอดีตสาวนักฆ่าที่กำลังซุ่มดูอยู่
“หลิวเหนิง เหตุใดเจ้าถึงได้ต่ำช้าเช่นนี้ เจ้าถึงขั้นคิดลงมือฆ่าคน ลูกอสูรมายาตัวนั้นพวกเราเป็นคนพบก่อน พวกเจ้าเข้ามาปล้นชิงของผู้อื่นไม่พอแต่ยังลงมืออย่างโหดเหี้ยม หากไม่ใช่เพราะข้าสั่งให้พี่น้องของข้าทำลายป้ายเพื่อหนีออกไป ป่านนี้พวกเขาก็คงจะถูกเจ้าฆ่าตายไปแล้ว !”
ผู้เอ่ยวาจาเกรี้ยวกราดนั้นคือบุรุษที่เป็นผู้นำกลุ่ม จอมยุทธ์นภมายาที่เคยเจรจากับฉินอวี้โม่มาก่อนหน้านี้ เวลานี้สายตาของเขาอัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้น และเมื่อฟังจากสิ่งที่เขากล่าว ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะรู้จักและเกลียดชังกลุ่มคนที่เขากำลังเผชิญหน้าด้วยเป็นอย่างมาก
“สือซาน ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะโทษก็ต้องโทษความอ่อนหัดของตัวเอง ถ้าพวกเจ้าแข็งแกร่งพวกเราก็คงปล้นอะไรจากเจ้าไปไม่ได้” ชายที่มีนามว่าหลิวเหนิงตอบโต้ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขายกยิ้มชั่วร้ายก่อนจะกล่าวต่อ
“ส่วนเจ้าคนพวกนั้นต้องโทษที่พวกมันอ่อนหัดแล้วยังกล้าเสนอหน้าเข้ามาสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนัก นี่ถือเป็นการดูหมิ่นพวกเรา โชคดีของพวกมันที่หนีไปได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้พวกมันได้เห็นเองว่าการไม่รู้จักเจียมตัว กล้าเอาความอ่อนแอน่ารังเกียจมาใช้ต่อกรกับผู้แข็งแกร่งทั้งหลายจะได้รับผลเช่นไร !”
“เหอะ หลิวเหนิง ตอนอยู่ที่เมืองมู่กวงก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา ครั้งนี้เมื่อเห็นว่าเรามีคนน้อยกว่าจึงหาทางลอบกัด อย่ามาอ้างเหตุผลสวยหรูให้ตัวเองดูสูงส่ง หากไม่ใช่เพราะพี่น้องของข้าอยู่กันไม่ครบ เจ้าคงไม่ได้ยืนจองหองอยู่เช่นนี้แน่”
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่ได้รู้แล้วว่าผู้นำของกลุ่มคนใจซื่อผู้เป็นสุภาพบุรุษนั้นมีนามว่า*–สือซาน*
จากที่ได้ฟังบทสนทนาของพวกเขา อดีตนักฆ่าสาวก็จับใจความได้ว่าคนทั้งสองกลุ่มน่าจะมาจากเมืองเดียวกันซึ่งก็คือเมืองมู่กวง เมื่อครั้งอยู่ในเมืองมู่กวงพวกเขาคงจะมีความบาดหมางกันมาก่อนแล้ว ตอนนี้เมื่อได้เข้าร่วมการสอบในดินแดนต้องห้ามที่ซึ่งสถานที่และสถานการณ์เป็นใจเช่นนี้ พวกเขาก็คงคิดจะสะสางความแค้นกัน
กล่าวตามตรงเลยว่า บุรุษผู้ที่ชื่อว่าหลิวเหนิงนั้นมีเจตนาถึงขั้นจะสังหารอีกฝ่ายทิ้งเสียที่นี่เลยด้วยซ้ำ
และสือซานก็เป็นคนที่มีนิสัยเด็ดเดี่ยวไม่เกรงกลัวผู้ใด เมื่อรู้ว่าคนของเขากำลังจะถูกสังหารเขาก็พยายามซื้อเวลาให้คนอื่น ๆ ได้ทำลายป้ายแล้วหนีออกไปด้านนอก
ตอนนี้ฉินอวี้โม่รู้สึกชื่นชมในตัวสือซานผู้นี้มากกว่าเดิม การที่คนกลุ่มนี้ได้บุรุษผู้นี้มาเป็นผู้นำกลุ่มถือว่าเป็นวาสนานับหมื่นแล้ว
“ทุกคนหากว่ามีโอกาสให้พยายามฝ่าออกไปก่อนแต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ทำลายป้ายซะ หลิวเหนิงผู้นี้ไร้ยางอายและต่ำช้าเป็นที่สุด มันมีเจตนาจะฆ่าพวกเจ้าให้ตาย ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าทุกคนต้องมาบาดเจ็บล้มตายที่นี่ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมีผู้ใดเอาชีวิตมาทิ้งไว้แต่เพียงในการสอบเข้าโรงเรียนเช่นนี้”
สือซานร้องเตือนยอดฝีมือระดับมายารัตนะอีกห้าคนที่เหลือ ในตอนนี้ยอดฝีมือทั้งห้ากำลังพัวพันอยู่กับกลุ่มคนที่หลิวเหนิงพามาด้วย แม้ว่าพวกเขาจะเสียเปรียบอยู่ก็จริงแต่ก็ยังไม่เข้าขั้นวิกฤต
“พี่ใหญ่ แล้วท่านล่ะ?”
คนทั้งห้าเกิดความลังเลขึ้นมา
“เหอะ เจ้าหลิวเหนิงต่ำช้ากล้ามาลงมือทำร้ายพี่น้องของข้า ข้าสือซานจะทำให้มันต้องชดใช้ ข้าจะอยู่ที่นี่แสดงพลังของข้าให้พวกมันได้เห็น !”
สือซานเปล่งเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าหลิวเหนิงอยู่เล็กน้อย แม้ว่าจะตัวคนเดียวแต่ถ้าหากพยายามทุ่มเทกำลังทั้งหมด เขาก็น่าจะทำให้หลิวเหนิงบาดเจ็บได้บ้าง แม้จะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่มีจำนวนคนมากกว่าไม่ได้ แต่เขาก็ต้องการจะเล่นงานหลิวเหนิงให้หนักหน่วงที่สุดก่อนจะทำลายป้ายยอมแพ้ในการสอบครั้งนี้
นั่นคือสิ่งที่สุภาพบุรุษนภมายากำลังคิดอยู่ในหัวในขณะที่รีดเค้นพลังต่อกรกับศัตรู
“นายหญิง เหตุใดพวกเขาถึงยังมาสอบเข้าโรงเรียนกันอีกล่ะ ในเมื่อพวกเขาอายุมากขนาดนั้นแล้ว ?”
เสี่ยวเฮยตัวน้อยถามอย่างฉงน
อาชาขี้สงสัยเห็นว่า ทั้งสือซานบุรุษใจซื่อและหลิวเหนิงบุรุษใจคดที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นดูคล้ายจะอายุใกล้สามสิบกันแล้ว ส่วนพี่น้องของพวกเขาก็ดูจะมีอายุไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ แล้วเหตุใดถึงยังเลือกมาสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้อีก
“ฮึ ๆ เสี่ยวเฮย ปกติแล้วผู้ที่ต้องการจะเข้าโรงเรียนมีจุดประสงค์คือต้องการศึกษาหาความรู้และพัฒนาความแข็งแกร่ง เรื่องของการหาความรู้ อายุมิใช่ข้อจำกัด จะอายุเท่าไหร่ก็สามารถเรียนรู้ได้”
ฉินอวี้โม่อธิบายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะตั้งคำถามกับเหล่าอสูรมายาบนบ่าของนาง “บอกนายหญิงทีสิว่าเมื่อเห็นความอยุติธรรมอยู่ตรงหน้าแล้วพวกเราควรจะทำอย่างไรดี ?”
“นั่งกินขนมดูอยู่เฉย ๆ !” เสี่ยวเฮยร้องบอกเสียงใส
“แบ่งข้าด้วย” เสี่ยวจินตาเป็นประกาย
“ข้าว่ารอจนกว่าพวกมันจะเหนื่อยแล้วจับกินทั้งสองฝ่ายน่าจะอิ่มกว่า” อสรพิษเสี่ยวจิ่วแสดงความคิดเห็นน้ำลายสอ
“ไร้สาระ เดินผ่านไปเลยดีกว่า” หมีดำม่อเสียเอ่ยสั้น ๆ
เมื่อได้ยินคำตอบของอสูรมายาในสังกัดของนางแต่ละตัวแล้ว ฉินอวี้โม่ก็แทบจะเอามือก่ายหน้าผาก นายหญิงคนงามรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจขึ้นมาในฉับพลัน พวกมันติดตามนางมาตั้งนานทว่ากลับไม่ได้เรียนรู้อะไรกันเลยหรือ ?