“เจ้าตำหนักหลิวหลี ชอบชุดนี้หรือไม่” ผู้อาวุโสหลินตะลึงในความงามของหลิวหลี ยามสวมชุดผู้ชายก็ดูสง่าผ่าเผย ยามสวมชุดผู้หญิงก็มีเสน่ห์น่ามอง เกิดมาเพื่อเป็นไม้แขวนเสื้อจริงๆ นักตัดเย็บในห้องตัดเย็บชอบเจ้าตำหนักหลิวหลีท่านนี้ไม่น้อย พวกเขาอยากจะให้หลิวหลีเปลี่ยนชุดทุกวันเลยด้วยซ้ำ
“ไม่เลว” หลิวหลีค่อนข้างถูกใจ ชุดผู้หญิงเรียบง่ายสีฟ้าอ่อน ไม่มีของประดับที่ยุ่งยาก ที่สำคัญเลยคือ สะดวกต่อการต่อสู้ สำหรับเครื่องประดับ คงต้องขอโทษที นางไม่ได้ชื่นชอบแม้แต่น้อย ปล่อยผมก็ดีอยู่แล้ว อย่างน้อยผมของนางก็ไม่เคยพันกัน
“ไม่ทราบว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีจะไปไหนต่อ?” ผ้อาวุโสหลินรู้สึกว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีดูแลง่าย เวลาเลือกอะไรก็ไม่เรื่องมาก ไม่ร้องขออะไรที่สร้างความลำบากใจให้กับคนอื่น แม้ใบหน้าจะเย็นชา แต่ก็ดูออกว่าเป็นคนที่มีมารยาท อยู่ๆ เขาก็อยากเป็นขุนนางเซียนประจำตำหนักหลิวหลี ทำอย่างไรดี
“ห้องปรุงยา” ผู้อาวุโสหลินเข้าใจทันที สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในดินแดนนภาเพลิงของเขาก็คือ ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ คาดว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีท่านนี้คงจะเคยได้ยินมาก่อน ในดินแดนทั้งห้า ดินแดนนภาสุวรรณมีชื่อเสียงในด้านการทำอาวุธ ดินแดนนภาพฤกษามีชื่อเสียงในการเพาะปลูกพืช ดินแดนนภาธารามีชื่อเสียงในด้านการรักษาโรค ดินแดนนภาเพลิงมีชื่อเสียงในด้านการปรุงยา ดินแดนนภาพสุธามีชื่อเสียงในด้านการป้องกัน
แต่ตัวหลิวหลีเองนั้น เพียงเพราะนางเป็นนักปรุงยาตอนอยู่โลกเบื้องล่าง จึงอยากจะดูว่ายาเซียนศักดิ์สิทธิ์ของโลกเซียนปรุงกันอย่างไร
“เจ้าตำหนักหลิวหลี เชิญทางด้านนี้”
บริเวณนอกห้องปรุงยา คนเดินผ่านไปพลุกพล่าน ผู้ดูแลห้องปรุงยาเห็นผู้อาวุโสหลินพาคนมาทั้งยังมีท่าทีนอบน้อม จึงเดาว่าคงเป็นเจ้าตำหนักหลิวหลีที่เป็นพูดถึงอย่างมากในช่วงนี้แน่
“ท่านผู้อาวุโสหลิน ท่านนี้น่าจะเป็นเจ้าตำหนักหลิวหลี ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองมาที่ห้องปรุงยาด้วยเหตุอันใด” ผู้ดูแลถามอย่างนบนอบ
“ผู้ดูแลเหอ นำยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ออกมาให้เจ้าตำหนักหลิวหลีดูหน่อย” ผู้อาวุโสหลินสั่ง
“ขอรับ” เพียงไม่นาน ผู้ดูแลเหอก็นำยาเซียนศักดิสิทธิ์ออกมาจำนวนหนึ่ง หลิวหลีเปิดออกมาดูทีละขวด ขมวดคิ้ว คุณภาพแย่จริงๆ หลิวหลีลองพยายามใช้เพลิงอัคคี ก็พบว่าเพลิงอัคคีดูเหมือนจะถูกพันธนาการไว้จึงไม่สามารถใช้งานได้
“ผู้อาวุโสหลิน โลกเซียนมีเพลิงอัคคีหรือไม่?”
“เพลิงอัคคีไม่มีหรอก แต่โลกเซียนมีเพลิงเซียนหลากหลายชนิด ดินแดนนภาเพลิงของข้ามีเพลิงเซียนมากที่สุด” ผู้อาวุโสหลินพูดแนะนำ เจ้าตำหนักหลิวหลีต้องการเพลิงอัคคีงั้นหรือ
“อืม วังนภาเพลิงมีหรือไม่?” หลิวหลีถามต่อ
“มีขอรับ หากเจ้าตำหนักหลิวหลีต้องการ สามารถไปที่คลังเพลิงเซียนได้ ที่นั่นมีเพลิงเซียนหลายร้อยชนิด” ผู้อาวุโสหลินเดาว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีน่าจะพอเข้าใจเรื่องการปรุงยา
“ได้เจ้าค่ะ รบกวนผู้อาวุโสหลินนำทางด้วย” หลิวหลีตัดสินใจจะไปดูคลังเพลิงเซียน ไม่แน่ว่าอาจจะเจออะไรบ้าง
ณ คลังเพลิงเซียนคนไม่พลุกพล่านเท่าที่ห้องปรุงยา
“ผู้อาวุโสหลิน ไม่ทราบว่ามาที่คลังเพลิงเซียนด้วยสาเหตุใด?” ผู้ดูแลรีบปรี่เข้ามาต้อนรับ
“ผู้ดูแลหลี่ เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ ข้าแค่พาเจ้าตำหนักหลิวหลีมาเดินดูเท่านั้นเอง” ผู้อาวุโสหลินกล่าว
“ขอรับ”
หลิวหลีสัมผัสได้ว่า เส้นลมปราณเพลิงอัคคีหลายเส้นภายในร่างกายของนางเกิดความเคลื่อนไหว
“ได้เพลิงเซียนมาจากไหน ผู้อาวุโสหลิน” หลิวหลีพยายามกดความเคลื่อนไหวนั้นและหันไปถามผู้อาวุโสหลินที่อยู่ข้าง ๆ
“หากเจ้าตำหนักหลิวหลีต้องการเพลิงเซียน ท่านมารับได้ 10 ดวงต่อปี” ผู้อาวุโสหลินคิดๆแล้วพูดขึ้น
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าขอรับในส่วนของปีนี้ได้หรือไม่ ผู้อาวุโสหลิน” หลิวหลีถาม เพลิงวิญญาณไม้ เพลิงอัสนีคราม เพลิงสุวรรณรำไรที่อยู่ในภายร่างกาย เคลื่อนไหวไม่หยุด
“ได้ขอรับ” เจ้าตำหนักหลิวหลีท่านนี้ไม่รู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไรคงจำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคี
“ผู้ดูแลหลี่ ท่านนี้คือเจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนซึ่งเป็นตำหนักที่ 9 มาขอรับเพลิงเซียนในส่วนของปีนี้” ผู้อาวุโสหลินแนะนำ
“ได้ขอรับ เจ้าตำหนักหลิวหลีกับผู้อาวุโสหลินกรุณารอสักครู่” ผู้ดูแลหลี่เดาได้ว่าคนข้างๆผู้อาวุโสหลินคงจะเป็นเจ้าตำหนักที่เพิ่งเข้ามาใหม่
“ไม่ทราบว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีจะแบ่งรับเพลิงอัคคีกี่รอบ?” ผู้ดูแลหลี่เอ่ยถาม
“ขอรับวันนี้ทั้งหมดเลย” หลิวหลีต้องการจะรับทั้งหมดในวันนี้
“เจ้าตำหนักหลิวหลีจะรับไปทีเดียวทั้งหมดเลยหรือขอรับ” ผู้ดูแลหลี่กับผู้อาวุโสหลินตกใจเล็กน้อย เจ้าตำหนักเหลยจ้านแห่งตำหนักเหลยถิงยังต้องแบ่งรับสามครั้ง
“ใช่แล้ว” หรือว่าไม่ได้หรือเนี่ย?
“ได้ขอรับ” ผู้ดูแลหลี่ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว จัดเตรียมเพลิงเซียนและส่งมอบให้หลิวหลี นางรับเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ
“ขอบคุณมาก” หลิวหลีกล่าวขอบคุณ และแอบเปิดเพลิงเซียนขวดหนึ่งแล้วดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ก่อนจะถูกดูดซึมจากเส้นลมปราณของเพลิงวิญญาณไม้ เส้พชีพจรเพลิงวิญญาณไม้นั้นเปล่งแสงน้อยๆ ดูท่าแล้วเพลิงอัคคี 10 ดวงนี้คงจะไม่พอใช้
“ผู้อาวุโสหลิน เพลิงเซียนพวกนี้ นอกจากในส่วนของทุกปีที่จะได้มา ยังมีวิธีไหนที่จะได้มาอีกไหม?” เฮ้อ เพลิงอัคคีของนางพอมาถึงโลกเซียน ก็กลายเป็นคนตะกละขึ้นมาเลยเชียว
“มีขอรับ แต่เจ้าตำหนักหลิวหลี ท่านควรจะจัดการเรื่องคนของตัวเองให้เสร็จก่อน จะได้บำเพ็ญเพียรได้โดยไม่ต้องเป็นกังวล” ผู้อาวุโสหลินไม่ได้มองพลาดแน่ เมื่อครู่เจ้าตำหนักหลิวหลีท่านนี้น่าจะเปิดขวดเพลิงเซียนแล้วดูดซึมเข้าไปหนึ่งดวง ผู้อาวุโสหลินเองก็ตกใจเป็นอย่างมากเช่นกัน เจ้าตำหนักหลิวหลีดูดซึมเพลิงอัคคีได้รวดเร็วมากจริงๆ
“ก็ดีเหมือนกัน ไม่ทราบว่าที่ไหนมีเซียนที่ยังไม่ถูกรับเข้าสังกัดบ้าง” หลิวหลีพยักหน้า เฮ้อ การจะฟื้นฟูเส้นชีพจรเพลิงอัคคีคงไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำให้เสร็จได้ภายในคืนเดียว
“หอเมฆาคล้อย เซียนที่ยังไม่มีตำหนักจะอยู่ที่นั่นทั้งหมด” ผู้อาวุโสหลินกล่าว
“รบกวนผู้อาวุโสช่วยนำทางด้วย” หอเมฆาคล้อยคล้ายสำนักเมฆาคล้อยอยู่มากทีเดียว
ภายในหอเมฆาคล้อย มีเซียนบางคนจับกลุ่มดื่มสุราสนทนากัน มีเซียนบางคนก็กำลังเล่าเรื่องราวนี่นั่น แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกตัวตอนที่หลิวหลีกับผู้อาวุโสหลินเข้ามา
หลิวหลีไม่ได้ส่งเสียงอะไร มองดูคนที่นี่ จุดบนหน้าผากของทุกคนแตกต่างกัน มีสีเงิน มีสีทอง อีกทั้งยังมีสีทองเข้ม สีเงินน่าจะเป็นเทพเสวียนเซียน สีทองเป็นเซียนสุขาวดี สีทองเข้มน่าจะเป็นเซียนสุวรรณนภา หลิวหลีสำรวจทุกคนดูคร่าว ๆ
ทันใดนั้นเองก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของหลิวหลี คนผู้นี้เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ชำนาญในการเข้าร่วมบทสนทนา แม้แต่ลูกเล่นต่างๆก็คล้ายคลึงกับฮัวจิงเฟยไม่น้อย
“ผู้อาวุโสหลิน เชิญเซียนท่านนั้นมาหน่อยได้หรือไม่” หลิวหลีบอกเจตจำนงค์
“ได้ขอรับ” ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหลินทำท่าอะไร คนผู้นั้นก็เดินเข้ามาหาด้วยความเบิกบานใจ
“ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสเรียกข้ามาด้วยเรื่องอะไร”
“ท่านนี้คือเจ้าตำหนักหลิวหลี ตำหนักที่ 9 ท่านเจ้าตำหนักเป็นคนเรียกเจ้า” ผู้อาวุโสหลินกล่าวพลางชี้หลิวหลีที่อยู่ข้างๆ
“อวิ๋นเฟย คารวะเจ้าตำหนักหลิวหลี” เมื่อครู่เขาเพิ่งจะได้ยินเรื่องเจ้าตำหนักที่ 9 ตำหนักเวิ่นเทียน
“อวิ๋นเฟย เจ้ายินดีที่จะมาเป็นขุนนางเซียนของตำหนักเวิ่นเทียนหรือไม่ มาช่วยข้าจัดการเรื่องต่างๆในตำหนัก” หลิวหลีพูดอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ผู้อาวุโสหลินที่อยู่ข้างๆ ประหลาดใจไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าจะรับอีกฝ่ายเข้ามาในตำหนักโดยไม่ทดสอบอะไรก่อนเลยหรือ การกระทำแบบนี้เรียกมั่นใจหรือว่าทำตามอำเภอใจกันแน่นะ
“เจ้าตำหนักหลิวหลีหมายความว่า ต้องการจะให้ข้าไปเป็นขุนนางเซียนในตำหนักท่านหรือ” อวิ๋นเฟยแทบจะไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง
“ใช่ เจ้ายินดีหรือไม่” หลิวหลีพยักหน้าเพื่อยืนยัน
“ข้าน้อยอวิ๋นเฟยยินดีที่จะติดตามเจ้าตำหนักหลิวหลี ได้รับโอกาสจากท่าน อวิ๋นเฟยจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอน” อวิ๋นเฟยนึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้ของตัวเองจะมาถึง วันที่มีคนเห็นความสามารถของเขา
“อือ นี่คือป้ายบัญชาการของตำหนักเวิ่นเทียน” หลิวหลียื่นป้ายบัญชาการให้อวิ๋นเฟยทันที
“อวิ๋นเฟยจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง” อวิ๋นเฟยพูดอย่างหนักแน่น
“อือ ข้าน่าจะมีทหารส่วนตัวที่อยู่ในสังกัดของข้า นี่คือป้ายบัญชาการ 30 อัน เจ้าเลือกคนได้เลย ข้าจะไม่ก้าวก่าย เลือกแล้วก็พามาตำหนักเวิ่นเทียน ให้ป้ายบัญชาการของตำหนักเวิ่นเทียนไปเสีย ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเลือกได้ดี” หลิวหลีกล่าว
“อวิ๋นเฟยจะจัดการให้เรียบร้อย” อวิ๋นเฟยตื่นเต้นอย่างมาก ช่วงเวลาที่จะได้แสดงความสามารถจะมาถึงแล้วหรือ
“อืม ผู้อาวุโสหลิน พวกเราไปกันเถอะ” หลิวหลีพยักหน้า ที่เหลือยกให้อวิ๋นเฟยจัดการแล้วกัน
“จริงสิ ตำหนักเวิ่นเทียนของข้ายังขาดตำแหน่งขุนนางเซียนอีก 2 ตำแหน่ง คนที่สนใจมาลงชื่อได้ที่ตำหนักเวิ่นเทียน” หลิวหลีเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะออกไป
หลังจากหลิวหลีออกไป หอเมฆาคล้อยก็เกิดความอลหม่านขึ้นทันที
“เจ้าตำหนักหลิวหลีดูเป็นคนง่ายๆ เลือกขุนนางเซียนยังเร็วกว่าเจ้าตำหนักหงซวี่เลือกสาวใช้เสียอีก”
“ข้าชอบคนที่ทำอะไรไม่ยืดเยื้อเช่นนี้แหละ ข้าจะไปลงชื่อไว้ ตำหนักเวิ่นเทียนเป็นตำหนักแรกที่ข้าจะเลือก”
“เจ้าตำหนักหลิวหลีช่างสง่างามจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่านิสัยของนางก็ทำให้คนสบายใจเหมือนอย่างใบหน้านาง”
“มีตำแหน่งว่าง 30 ตำแหน่ง ข้าจะไปขอลงชื่อที่อวิ๋นเฟย สมัครตำแหน่งทหารสวรรค์”
มีคนจำนวนไม่น้อยทยอยไปหาอวิ๋นเฟยเพื่อแย่งลงชื่อตำแหน่งทหารสวรรค์ ทั้ง 30 ตำแหน่ง และมีคนจำนวนไม่น้อยที่สนใจคำพูดของหลิวหลีที่ว่ายังมีตำแหน่งขุนนางเซียนอีกสองตำแหน่ง
“เจ้าตำหนักหลิวหลี ท่านเลือกขุนนางเซียนเช่นนี้ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ” ผู้อาวุโสหลินรู้สึกว่าหลิวหลีตัดสินใจเร็วเกินไป อาจเลือกมั่วได้
“ไม่หรอก ข้าค่อนข้างดูคนออก” หลิวหลีบอกอีกฝ่ายว่าสายตานางไม่เลว
“ตามที่เจ้าตำหนักหลิวหลีเห็นสมควรแล้วกัน” ผู้อาวุโสหลินถอนหายใจ เขาแค่เป็นผู้ช่วยเท่านั้น
“เจ้าตำหนักหลิวหลีคิดจะทำอะไรต่อไป”
“อืม ไม่ทราบว่าจะไปเอาเตาปรุงยากับพืชเซียนที่ไหนได้บ้าง ข้าอยากจะลองปรุงยาดู”
“เจ้าตำหนักหลิวหลีมีความรู้เรื่องการปรุงยาหรือ” ผู้อาวุโสหลินประหลาดใจเล็กน้อย
“อืม ตอนอยู่โลกเบื้องล่าง ข้าเป็นผู้บำเพ็ญสายปรุงยา” หลิวหลีแสดงตัวว่านางเป็นผู้บำเพ็ญสายปรุงยา แต่ไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าผู้อาวุโสหลินเข้าใจผิด นึกว่านางเป็นหญิงสาวบอบบาง จนเห็นหลิวหลีตอนสู้รบ เขาถึงได้รู้ว่าหลิวหลีมิได้เป็นเช่นนั้น แต่นางเป็นมังกรสาวที่บ้าระห่ำ
“ผู้บำเพ็ญสายปรุงยา ฝีมือการปรุงยาของเจ้าตำหนักหลิวหลีก็คงจะไม่ธรรมดาแน่” ผู้อาวุโสหลินพูดเอาใจ
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน พืชเซียนพวกนี้ต่างจากของโลกเบื้องล่าง ข้าคงต้องลองก่อน” หลิวหลีส่ายหัว จะง่ายดายได้อย่างไรกัน