ตอนที่ 212 เพลิงเซียนวิญญาณไม้

แม่ครัวยอดเซียน

“ท่านประมาทมากเกินไป” ผู้อาวุโสหลินไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

“จะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงใครก็อย่าใช้เขา” หลิวหลีกล่าว และเมื่ออีกฝ่ายทวนก็พบว่าคำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้ง

“ท่านเจ้าตำหนักปราดเปรื่องยิ่งนัก” ในที่สุดผู้อาวุโสหลินก็มองคนผู้นี้เป็นคนปกติเสียที

“ข้าจะเข้าฌานเพื่อดูดซึมเพลิงเซียน ธุระภายในตำหนักรบกวนผู้อาวุโสหลินช่วยจัดการด้วย” หลิวหลีสัมผัสได้ถึงเสียงร้องของเส้นลมปราณเพลิงอัคคีภายในร่างกาย เฮ้อ กลับไปดูดซึมเพลิงเซียนดีกว่า ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพลิงอัคคีทั้ง 10 ของนาง

ณ วังนภาธารา หนานกงเวิ่นเทียนเปลี่ยนชุดเป็นชุดสีฟ้า ท่าทางเย็นชาทำให้เขายิ่งดูน่ามองมากขึ้น เพียงแต่ที่นี่ทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นเหมือนทางฝั่งหลิวหลี ผู้บำเพ็ญหญิงในห้องตัดเย็บพร่ำบนอยู่นาน กว่าจะตัดชุดที่เหมาะสมชุดนี้ออกมาให้หนานกงเวิ่นเทียนได้ พวกนางแอบมองหนานกงเวิ่นเทียนเป็นระยะๆทำให้ผู้อาวุโสอวี้ที่อยู่ข้างๆทำหน้าไม่ถูก หากทำให้เจ้าตำหนักหนานกงเวิ่นเทียนตกใจจนเตลิดไปจะทำอย่างไร

หลังจากนั้นหนานกงเวิ่นเทียนไปเดินดูเคล็ดวิชา วังนภาธาราเน้นการช่วยเหลือคนเป็นหลัก ดังนั้นเคล็ดวิชาที่เน้นการโจมตีจึงมีน้อยมาก หนานกงเวิ่นเทียนมองอยู่นาน ในที่สุดก็พบเคล็ดวิชาที่เขาใช้บำเพ็ญเพียรได้ และเข้ากับคุณสมบัติร่างกายของเขาได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่รู้ทำไมเคล็ดวิชานี้ถึงไม่ค่อยมีคนฝึกมากนัก

เมื่อเจอเคล็ดวิชาที่จะบำเพ็ญเพียร เวิ่นเทียนจึงไปสอบถามว่า ตนเองจะหาคนได้จากที่ไหนเพื่อใช้สอยในตำหนัก เขาจะได้บำเพ็ญเพียรอย่างไม่ต้องกังวล

ผลคือเมื่อเห็นตำหนักมีผู้ชายอยู่เพียงไม่กี่คน หนานกงเวิ่นเทียนก็ยิ่งเย็นชามากขึ้น นี่จะไม่ให้เขาไม่ผ่อนคลายเลยใช่ไหมทำไมถึงได้มีแต่พวกผู้หญิงได้!

“อะแฮ่ม เจ้าตำหนักเวิ่นเทียน  ท่านก็รู้นี่ ว่าที่วังนภาธารามีผู้บำเพ็ญหญิงมากที่สุด” ผู้อาวุโสอวี้สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จึงรู้ได้ทันทีว่าเจ้าตำหนักท่านนี้ไม่ค่อยจะพึงพอใจนัก

หนานกงเวิ่นเทียนยังคงทำหน้านิ่ง ในขณะผู้บำเพ็ญหญิงหลายคนใจเต้นระรัวจนเกือบจะหลุดออกมาขณะมองหนานกงเวิ่นเทียน หนานกงเวิ่นเทียนก็พบคนที่น่าสนใจคนหนึ่ง พลังบำเพ็ญเพียรอีกฝ่ายไม่ต่างจากเขานัก ถึงแม้จะไม่ต่างออกไปแต่หนานกงเวิ่นเทียนพอจะมองร่องรอยในแววตาอีกฝ่ายออกว่ามันไม่ใช่ความเสน่หา แต่เป็นความนับถือกับแรงผลักดัน หนานกงเวิ่นเทียนโยนป้ายบัญชาการ นางรับได้แต่ก็ยังมีท่าทีตกใจ ทุกคนเองก็งุนงงเช่นกัน

“เจ้าเป็นขุนนางเซียนตำหนักหลิวหลี”

“ยังไม่ขอบคุณเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนอีก” ผู้อาวุโสอวี้นึกไม่ถึงว่าเวิ่นเทียนจะเลือกคนผู้นี้ เลือกแล้วจะมีปัญหาไหมนะ

“ข้าน้อยอวิ๋นจู ขอบคุณเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนที่ไว้วางใจ” อวิ๋นจูนึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องดีๆ เช่นนี้จะเกิดขึ้นกับนาง

“เจ้าจะได้รับมอบหมายให้ดูแลตำแหน่งทหารสวรรค์ 30 ตำแหน่ง เจ้ามีสิทธิ์ตัดสินใจได้เลย” หนานกงเวิ่นเทียนมอบสิทธิ์ในการเลือกทหารจำนวนหนึ่งในสามให้กับอวิ๋นจู

“อวิ๋นจูจะทำอย่างเต็มที่เจ้าค่ะ” อวิ๋นจูตื่นเต้นเล็กน้อย นี่จะต้องเชื่อใจนางมากขนาดไหน

“ผู้อาวุโสอวี้ ขุนนางเซียนอีก 2 คนกับทหารที่เหลือรบกวนท่านช่วยเลือกด้วยแล้วกัน ข้าจะเข้าฌานแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนจัดการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว และกำชับคนอื่นว่า ที่เหลือท่านจัดการไปเลย อย่าให้เขาต้องเป็นกังวลก็พอ

“ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง” ช่างเป็นเจ้าตำหนักที่มีขยันหมั่นเพียรจริง ๆ นางจะจัดการให้เรียบร้อย เจ้าตำหนักจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล จะได้บำเพ็ญเพียรให้ดี

ณ ตำหนักเวิ่นเทียน หลิวหลีหาห้องเพื่อไว้ใช้บำเพ็ญเพียร แล้วดูดซึมเพลิงเซียนที่เหลือทั้งเก้า เมื่อเพลิงเซียนเข้าไปในร่างกาย มีเพียงเส้นชีพจรที่เพลิงวิญญาณไม้อาศัยอยู่เท่านั้นที่เเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง แต่ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด

“เพลิงเซียนไม่พอ” หลิวหลีถอนหายใจออกมา เพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งปี เพลิงเซียนก็ไม่พอใช้เสียแล้ว

เมื่อหลิวหลีออกฌาน ก็พบว่าตำหนักเวิ่นเทียนของตนดูมีชีวิตมากขึ้น คนเดินไปมา มีทั้งชายและหญิง

“เจ้าตำหนักหลิวหลี ท่านออกฌานแล้วหรือ” อวิ๋นเฟยถึงกับตกใจเมื่อพบว่า เจ้าตำหนักหลิวหลีท่านนี้เป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งปี พลังในตัวก็เริ่มจะคงที่แล้ว

“อืม”

“ช่วงเวลาครึ่งปีที่ท่านเข้าฌาน เจ้าตำหนักไป๋อี้แห่งตำหนักเหอซู่ เจ้าตำหนักเหลยจ้านแห่งตำหนักเหลยถิง เจ้าตำหนักเหลยเซียวแห่งตำหนักเหลยหมิง เจ้าตำหนักมู่หยางแห่งตำหนักจิ่วหยาง เทพหวั่นฉิงแห่งตำหนักเฟยอวิ๋น มาขอเข้าพบ เมื่อทราบว่าท่านเข้าฌาน จึงแจ้งว่าหากท่านออกฌาน ให้ข้าน้อยรีบรายงานให้พวกเขาทราบทันที พวกเขาจะได้มาขอเข้าพบอีกครั้งหนึ่ง” อวิ๋นเฟยรายงานเรื่องที่สำคัญที่สุดในช่วงครึ่งปีนี้ต่อหลิวหลีอย่างนอบน้อม

“เรื่องเข้าพบให้รอไปก่อน อวิ๋นเฟย เจ้ารู้หรือไม่ว่า นอกจากเพลิงเซียนในส่วนที่จะได้รับทุกปีแล้ว จะไปหาเพลิงเซียนได้จากที่ไหนอีก” ตอนนี้นางสนใจแค่เรื่องเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรเท่านั้น

“ท่านมีป้ายบัญชาการของตำหนักเวิ่นเทียน สามารถไปบำเพ็ญเพียรที่ทะเลเพลิงได้ เจ้าตำหนักอื่นๆก็บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ทะเลเพลิงเช่นเดียวกัน” อวิ๋นเฟยตกใจเล็กน้อย เจ้าตำหนักท่านนี้ดูดซึมเพลิงเซียน 10 ดวงภายในเวลาแค่ครึ่งปี สำหรับพวกเขาถือเป็นเวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น

“นำทางที”

“ทางด้านนี้ นายท่าน” อวิ๋นเฟยนำทางให้กับหลิวหลี มาที่ทะเลเพลิง

“กลับไปเถอะ เจ้าดูตำหนักเวิ่นเทียนได้ไม่เลวทีเดียว” หลิวหลีทำได้เพียงแค่เอ่ยปากชมเท่านั้น จะทำอย่างไรได้ ตอนนี้นางไม่ได้ปรุงยา ไม่มียาจะมอบให้

“ขอบคุณนายท่านที่ชื่นชม” อวิ๋นเฟยดีใจน้อย ๆ

หลิวหลีใช้ป้ายบัญชาการเปิดทางเข้าไปในทะเลเพลิง เมื่อเข้าไปก็พบว่าด้านในมีพลังเพลิงที่มีพลังเซียนแฝงอยู่ หลิวหลีถึงกับตกใจ เพลิงอัคคีภายในร่างกายส่งเสียงร้องมากกว่าเดิม

“สภาพแวดล้อมที่นี่ใช้ได้ เพียงแต่คุณภาพของเพลิงเซียนสู้ของที่คลังเพลิงเซียนไม่ได้” หลิวหลีพูดกับตัวเอง แล้วไปหาสถานที่บำเพ็ญเพียร ถึงแม้คุณภาพจะแย่ไปหน่อย แต่ใช้จำนวนทดแทนเอา

พลังเพลิงที่เข้มข้นไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิวหลีตามเส้นทางที่นางโคจรเคล็ดวิชา โดยที่นางก็ยังใช้คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณเพื่อบำเพ็ญเพียร แต่ดูเหมือนว่าพอมาถึงโลกเซียนแล้วจะยากขึ้น แต่นางเองรู้สึกว่าเคล็ดวิชานี้ก็ดีอยู่แล้ว จึงไม่เปลี่ยนเคล็ดวิชา

ตอนนี้เพลิงอัคคีที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดในร่างกายของหลิวหลี ก็คือเพลิงวิญญาณไม้ พลังเพลิงที่หลิวหลีดูดซึมเข้าไป ไหลเข้าสู่เส้นชีพจรที่เพลิงวิญญาณไม้อยู่ เส้นชีพจรสีเขียวเริ่มเปล่งแสงออกมา ยิ่งหลิวหลีดูดซึมพลังเพลิงมากเท่าไร ก็ยิ่งส่องแสงประกายออกมาเท่านั้น เมื่อดูดซึมพลังเพลิงไปถึงจุดหนึ่ง เพลิงวิญญาณไม้ก็ทะลุออกมาจากเส้นชีพจร ดูดซึมพลังเพลิงอย่างบ้าคลั่งจนค่อยๆเกิดความเปลี่ยนแปลง จนในที่สุดก็มีกลิ่นอายเซียนลอยออกมาจากเพลิงวิญญาณไม้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

บนท้องฟ้าของโลกเซียน ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพลิงเซียนชนิดใหม่ถือกำเนิดขึ้น ช่างน่าแปลกจริงๆ หลายหมื่นปีมาแล้วที่ไม่มีเพลิงเซียนชนิดใหม่ถือกำเนิดขึ้นในโลกเซียน ดูจากสีแล้ว น่าจะเป็นเพลิงเซียนธาตุไม้

หลิวหลีมาถึงขั้นสุดท้าย ปราณก่อนกำเนิดเซียนภายในร่างกายปลดปล่อยกลิ่นอายเซียนที่มีความบริสุทธิ์มากกว่าเดิมออกมา

และในทันใดนั้นเองเพลิงวิญญาณไม้ก็ทอแสงเปล่งประกาย ท้องฟ้ากลายเป็นสีเขียว ราวกับประกาศให้โลกรู้ว่าเพลิงอัคคีชนิดใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว มีนามว่าเพลิงเซียนวิญญาณไม้

ทันใดนั้น สีเขียวบนท้องฟ้าค่อยๆ กลายเป็นสีเขียวขจี จากนั้นก็หายไป ทำให้ทุกคนต่างพากันสงสัยว่าเพลิงเซียนนี้ไปอยู่ที่ใด

เมื่อเพลิงเซียนวิญญาณไม้มีความเข้มข้นถึงจุดหนึ่งก็ถูกหลิวหลีดูดกลับเข้าไปไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของหลิวหลี และสุดท้ายก็กลับไปอยู่ที่เส้นลมปราณของเพลิงเซียนวิญญาณไม้ตามเดิม และเส้นลมปราณก็กลายเป็นสีเขียวมรกต ต่างไปจากเพลิงอัคคีที่อยู่ข้างๆอย่างเห็นได้ชัด

พลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากพลังเซียนวิญญาณไม้ และพลังเพลิงในร่างกายก็ไหลไปตามทางอย่างว่าง่าย เมื่อหลิวหลีลืมตาขึ้น เกิดแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นในดวงตาแล้วหายไป

“ข้าดูดพลังเพลิงไปสามร้อยปี เพิ่งจะสามารถเปลี่ยนเส้นชีพจรเพลิงอัคคีได้แค่หนึ่งเส้น คุณภาพเช่นนี้ใช้ไม่ได้ แต่สามร้อยปีข้าจะสะสมเพลิงเซียนได้ 3000 ดวง คิดว่าน่าจะสามารถเรียกเส้นชีพจรเพลิงอัคคีได้อีกหนึ่งเส้น” หลิวหลีพึมพำกับตัวเอง

เมื่อหลิวหลียื่นมือขวาออกมาก็เกิดเพลิงสีเขียวขยับไปมาอยู่บนมือนาง

“ไม่เจอกันนานเลยนะ สหายข้า”

เหมือนเพลิงเซียนวิญญาณไม้จะเข้าใจความหมายของหลิวหลี มันถูตัวไปมาบนมือของหลิวหลี แล้วหายไป

ณ ดินแดนนภาธารา ทุกคนต่างก็เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น หนานกงเวิ่นเทียนที่เข้าฌานไป 300 ปีเมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้ยินข่าวนี้

“เพลิงเซียนวิญญาณไม้ คงจะเป็นชื่อเพลิงวิญญาณไม้ที่บรรลุขั้นแล้วของนังหนู คนพวกนี้อยากจะครอบครองเพลิงเซียนวิญญาณไม้ แต่ของของนังหนูไม่ใช่ว่าใครจะเอาไปได้” หนานกงเวิ่นเทียนพึมพำกับตัวเอง แล้วกลับไปเข้าฌานตามเดิม

“เพลิงอัคคีนี้ ดูเหมือนจะเป็นของนังหนู” เอ๋าเลี่ยกลายร่างเป็นมนุษย์เด็กวัย 8 ขวบ พูดขึ้นมาด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย ข้างๆมีเด็กสาวอายุ 3 ขวบกับเด็กชายที่นั่งกินนิ้วตัวเอง

“เป็นของพี่สาว พี่เอ๋าเลี่ย เมื่อไหร่พวกเราจะโตกันสักที” การกลับมาเป็นเด็กช่างน่าอึดอัดจริงๆ อีกทั้งยังถูกคนโอ๋เหมือนเด็กน้อย เรื่องโอ๋น่ะ ช่างเถอะ แต่ทำไมถึงไม่มีของอร่อยๆให้เด็กกินบ้าง ตอนนั้นพี่สาวของเขาตั้งใจทำอาหารเด็กขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาโดยเฉพาะ

“ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราตั้งใจบำเพ็ญเพียรก็พอ ดูแล้ว นังหนูน่าจะอยู่ที่ดินแดนนภาเพลิง ส่วนเจ้าหนูเวิ่นเทียนน่าจะอยู่ที่ดินแดนนภาธารา เด็กสองคนนี้ก็เหลือเกิน ไม่รู้จักกลับไปหาที่บ้านบ้าง” เอ๋าเลี่ยบ่นขึ้นมาอย่างจนปัญญา

เรื่องนี้จะโทษพวกเขาสองคนไม่ได้จริงๆ ผู้นำสกุลทั้งสองท่านในโลกเบื้องล่าง ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กสองคนนี้จะบรรลุเป็นเซียนเร็วขนาดนี้ จึงไม่ได้บอกพวกเขา ตอนนี้เลยถูกแยกไปคนละดินแดน

“ดังนั้น พวกเราจะต้องเพิ่มพลังเพื่อไปหาเจ้าหนูนั่นกับนังหนู” ถึงแม้จะไม่มีพันธสัญญาแล้ว แต่มิตรภาพของพวกเขายังอยู่ อยู่ด้วยกัน 5 คนสบายใจกว่า

“ใช่ ข้าคิดว่านังหนูกับเจ้าเด็กนั่นจะต้องยังไม่ได้เข้าห้องหอกันแน่” เอ๋าเลี่ยพูดอย่างมั่นใจ

“พี่เอ๋าเลี่ย เรื่องนี้พวกเรารู้กันอยู่แล้ว” จื่อฉีอยากจะกลอกตา แต่ไม่ค่อยเหมาะกับสภาพเด็กอ้วนของเขาในตอนนี้นัก

หลิวหลีประคองจนพลังมั่นคงแล้วจึงออกฌาน และไปเจอกับเจ้าตำหนักไป๋อี้แห่งตำหนักเหอซู่อย่างบังเอิญ

“ใช่เจ้าตำหนักหลิวหลีหรือไม่” ไป๋อี้ตะโกนถาม

“ใช่แล้ว” หลิวหลีรู้สึกคุ้นๆ คนผู้นี้เหมือนจะเป็นเจ้าตำหนักใดตำหนักหนึ่ง

“เจ้าตำหนักหลิวหลี ท่านน่าจะไม่รู้จักข้า ข้าคือไป๋อี้จากตำหนักเหอซู่”

“ไป๋อี้ เรียกข้าว่าหลิวหลีก็พอ” หลิวหลีบอกให้อีกฝ่ายเรียกแค่ชื่อนางก็พอ เติมคำว่าเจ้าตำหนักเข้าไปรู้สึกแปลก ๆ

“ถ้าเป็นเช่นนั้น หลิวหลี ไม่ทราบว่าข้าจะขอเชิญเจ้า ไปเป็นแขกร่วมดื่มด้วยกันที่ตำหนักเหอซู่จะได้หรือไม่” ไป๋อี้เชื้อเชิญ

“จะได้ทำความรู้จักกัน เหลยจ้านจากตำหนักเหลยถิง เหลยเซียวจากตำหนักเหลยหมิง หวั่นฉิงจากตำหนักเฟยอวิ๋น มู่หยางจากตำหนักจิ่วหยาง หงซวี่จากตำหนักหงเมิ่งก็อยู่ด้วย” ไป๋อี้อธิบายเสริม

“รบกวนด้วย” พูดขนาดนี้แล้ว จะไม่ไปก็คงจะไม่ดี