“ดูสิดู เจ้าเด็กไป๋อี้พอออกไป ก็พาสาวงามกลับมาด้วย” เหลยเซียวเหลือบมองไป๋อี้กับหญิงสาวชุดฟ้าที่เดินเข้ามาพร้อมกัน
“ใครๆก็รู้ เจ้าตำหนักไป๋อี้แห่งตำหนักเหอซู่เป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ จะมีเซียนมาตกหลุ่มรักเขาก็ธรรมดา” มู่หยางก็กระเซ้าอีกฝ่ายเช่นกัน
“ทุกท่าน ข้าพาแขกคนสำคัญมา แขกคนสำคัญมาเยือนแล้ว ทุกท่านอย่าล้อเล่นเช่นนี้เลย” หลิวหลีที่อยู่ข้างๆปล่อยความเยือกเย็นออกมาทันที
“แขกคนสำคัญ ไหนขอข้าดูหน่อย” เหลยเซียวพูดอย่างมึนเมา เมื่อเห็นวงหน้างาม ความเมาก็หายไปทันที แย่แล้ว เป็นคนที่ตัวเองหลงรัก
“เจ้าตำหนักหลิวหลี เป็นแขกคนสำคัญจริงๆ” คนพวกนั้นที่เดิมจะกระเซ้า ก็สร่างเมาทันที หญิงสาวผู้นี้คือหลิวหลีสาวงามอันดับหนึ่งของดินแดนนภาเพลิง
“สวัสดีทุกท่าน” หลิวหลีเรียกชื่อทุกคนไม่ถูก จึงเรียกรวมๆ
“หลิวหลี ข้าจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก เริ่มจากทางขวา เหลยเซียว เหลยจ้าน มู่หยาง หงซวี่ หวั่นฉิง ทุกท่าน ข้าเชิญแขกคนสำคัญมาที่นี่ อย่าทำให้แขกต้องตกใจสิ” ไป๋อี้พูดติดตลก
“เจ้าตำหนักหลิวหลีได้โปรดอย่าถือสา พวกข้าเป็นเช่นนี้กันมาโดยตลอด เสียมารยาทแล้ว” เหลยเซียวรีบเรียกคะแนนให้ตัวเอง คู่แข่งเยอะขนาดนี้ แถมมีคู่แข่งที่ยังไม่เคยเห็นหน้า หลายหมื่นปีมานี้กว่าจะเจอคนที่ถูกใจไม่ใช่เรื่องง่าย จะปล่อยให้นางมีภาพจำแย่ๆไม่ได้
“เรียกหลิวหลีก็พอ” หลิวหลีบอกให้พวกเขาเรียกแค่ชื่อนาง พอเติมคำว่าเจ้าตำหนักเข้าไปแล้วรู้สึกแปลกๆ
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าเรียกว่าหลิวหลีก็แล้วกัน น้องหลิวหลี ดูท่าแล้วเจ้าก็น่าจะอายุประมาณหมื่นปีแล้วใช่ไหม” เหลยจ้านพูดอย่างเป็นมิตร จริงๆแล้วเขาอยากจะพูดตัวเลขมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
หงซวี่กับมู่หยางที่อยู่ข้างๆได้ยินเรื่องราวจากปากของเสด็จพ่อมาก่อน จึงทำหน้าไม่ถูก
“ยังไม่ถึงพันปีเลย”
“อะไรนะ” สุราในแก้วของหลายคนหกออกมาโดยไม่รู้ตัว ยังไม่ถึงพันปี พวกเขานึกว่าหมื่นปีก็ถือว่าเยินยอมากแล้ว ใครจะไปรู้ว่านังหนูคนนี้ อายุยังไม่ถึงพันปี ช้าก่อน หลิวหลีเข้าฌานไปสามร้อยปี อายุยังไม่ถึงพันปีอีกหรือ
“หืม อายุของข้ามีปัญหางั้นหรือ” หลิวหลีขมวดคิ้ว ถึงแม้นางจะจำไม่ค่อยได้แล้วว่านางอายุเท่าไรกันแน่ แต่นางมั่นใจว่ายังไม่เกินพันปี
“มีปัญหามาก” ทุกคนพูดออกมาพร้อมกัน จะตามขอความรักก็ไม่กล้า คนอายุยังไม่ถึงพันปีแต่พลังบำเพ็ญเพียรพอๆกับพวกเขา พวกเขาอายุเป็นแสนปีแต่กลับมีพลังบำเพ็ญเพียรเท่านางจะให้ตามจีบนางก็หายใจไม่ทั่วท้อง พอตอนนี้มาคิดๆดูแล้ว จะให้พวกเขาไปเอาความกล้าจากไหนมาขอความรักจากผู้ถูกเลือกในผู้ถูกเลือก
“มีปัญหาหรือ ข้าว่าข้าจำไม่ผิดแน่” หลิวหลีครุ่นคิด นางไม่ได้จำผิดจริงๆ ยังเหลืออีกตั้งร้อยกว่าปีกว่านางจะอายุถึงหนึ่งพันปี
“มิได้ หลิวหลีอาจจะยังไม่รู้ คนที่อายุน้อยที่สุดในพวกข้าก็คือหงซวี่ อายุเขาก็แสนปีแล้ว เจ้ายังอายุน้อยมากจริงๆ” หวั่นฉิงอธิบาย นี่เป็นการกดดันพวกเขาชัดๆ
“เฮ้อ ไม่น้อยแล้ว” หลิวหลีเจ็บปวดใจน้อยๆ อายุจะหลักพันอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าห้องหอกับสามี คงไม่มีใครเป็นเช่นนางแถมตอนนี้สามีอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
“โยนเรื่องอายุทิ้งไปเถอะ พวกเราคุยเรื่องอื่นดีกว่า แต่หลิวหลี อย่างไรพวกเราก็อายุมากกว่าเจ้า ขอเรียกแทนตัวเองว่าศิษย์พี่แล้วกัน หากเจ้ามีปัญหาในการบำเพ็ญเพียร พวกข้าช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้นะ” เหลยจ้านแบกหน้าพูด ตนเองยังรู้สึกได้เลยว่าใบหน้าแดงน้อยๆ
“เจ้าค่ะ ขอบคุณศิษย์พี่ทุกท่าน” หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรต้องถาม หากพวกเขานำเพลิงเซียนของพวกเขามอบให้นาง นางคงรู้สึกตื้นตันใจกว่านี้
การพบปะครั้งนี้กินเวลาไปสิบวัน หลิวหลีกลับไปถึงตำหนักเวิ่นเทียนของตัวเอง อวิ๋นเฟยก็รีบวิ่งเข้ามา ข้างหลังตามมาด้วยชายหนึ่งหญิงหนึ่ง หลิวหลีขมวดคิ้ว ใครกัน
“นายท่าน ท่านกลับมาแล้วหรือ” อวิ๋นเฟยออกมาต้อนรับ
“อืม” หลิวหลีเดินเข้าไปในห้องโถง รอคนข้างหลังแนะนำตัว
“ข้าน้อยจื่อจู๋ (ชิงหลิ่ว) คารวะ เจ้าตำหนักหลิวหลี” ทั้งสองก้าวขึ้นมาข้างหน้าเพื่อทำความเคารพหลิวหลี
“ลุกขึ้น” หลิวหลีรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองค่อนข้างชินกับวิถีชีวิตแบบนี้แล้ว
“ขอบคุณนายท่าน ข้าทั้งสองเป็นขุนนางที่ผู้อาวุโสหลินเลือกไว้ให้ท่าน ข้ารับผิดชอบเรื่องการป้องกันภายในตำหนักเวิ่นเทียน ส่วนชิงหลิ่วรับผิดชอบเรื่องการอยู่อาศัยของท่าน” จื่อจู๋แนะนำ
หลิวหลีจ้องคนทั้งสองอยู่นาน ตอนแรกพวกเขาก็รู้สึกแปลกๆ สักพักก็เริ่มสงบลง หลิวหลีจึงชื่นชม และนำป้ายบัญชาการของตำหนักเวิ่นเทียนมอบให้ทั้งสองคน
“พวกเจ้าเป็นขุนนางเซียนประจำตำหนักเวิ่นเทียน ต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบ ห้ามทำอะไรตามอำเภอใจ หากข้ารู้เข้า จะถูกลงโทษอย่างหนัก หากทำหน้าที่ได้ดี ข้าจะมีรางวัลให้แน่นอน” ถึงแม้หลิวหลีจะรู้สึกว่าวิธีการลงโทษกับการให้รางวัลเป็นสิ่งล้าสมัย แต่ขอแค่ใช้การได้ก็พอ
“พวกข้าจะไม่ทำให้นายท่านต้องเสื่อมเสีย” ทั้งสามประสานเสียง
“นายท่าน เจ้าตำหนักทุกท่าน ผู้อาวุโสทั้ง 10 ท่านและจักรพรรดิได้ส่งของขวัญมาให้ไม่น้อย ท่านจะไปดูหน่อยหรือไม่” ชิงหลิ่วพูดอย่างนอบน้อม ตอนนี้นางเป็นขุนนางเซียนของตำหนักเวิ่นเทียน ย่อมต้องปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด
“ของขวัญ?” นางเข้าฌานไป 300 ปี มีเรื่องน่ายินดีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ
“ใช่เจ้าค่ะ เพื่อแสดงความยินดีที่ท่านรับตำแหน่งเจ้าตำหนักเวิ่นเทียน”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ชิงหลิ่วเจ้าแยกประเภท แล้วจัดการไปก็แล้วกัน” หลิวหลีไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่นางย่อมจะส่งของขวัญกลับไปแน่นอน
“ช่วงนี้ยังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง อยู่ๆโลกเซียนก็มีเพลิงเซียนชนิดใหม่เกิดขึ้นคือเพลิงเซียนวิญญาณไม้ คนจำนวนไม่น้อยกำลังตามหาอยู่” อวิ๋นเฟยรายงาน
“หากมีเพลิงเซียนชนิดใหม่เกิดขึ้น จะรู้กันไปทั่วทั้งโลกเซียนเลยหรือ” หลิวหลีนึกไม่ถึงเลยว่า เพลิงวิญญาณไม้ที่บรรลุขั้นสำเร็จ จะเป็นเรื่องฮือฮาขนาดนี้
“นายท่านนี่ไม่เหมือนกัน นี่คือเพลิงเซียนวิญญาณไม้เชียวนะขอรับ ต่างจากสิ่งที่ท่านได้รับมาจากคลังเพลิงเซียนและจากที่ทะเลเพลิง จึงได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ” อวิ๋นเฟยอธิบาย
“อย่างนี้นี่เอง บอกคนในตำหนักเวิ่นเทียน ให้คิดว่าเป็นเรื่องสนุกๆไปแล้วกัน หาเพลิงเซียนวิญญาณไม้ไม่เจอหรอก” หลิวหลีกำกับ
“ขอรับ” ถึงแม้จะไม่เข้าใจ แต่คิดๆแล้วก็ดูมีเหตุผล
“อวิ๋นเฟย เจ้าไปถามมาหน่อยว่าไปรับเตาปรุงยากับพืชเซียนได้ที่ไหน ข้าจะลองปรุงยา” หลิวหลีสั่งอวิ๋นเฟย ทั้งสามคนตกใจน้อยๆ นายท่านของพวกเขาสามารถปรุงยาได้
“ขอรับ นายท่าน” อวิ๋นเฟยได้สติ คนเราไม่สามารถตัดสินกันได้จากภายนอกจริงๆ เจ้าตำหนักหลิวหลีสามารถปรุงยาได้ ในบรรดา 9 ตำหนักมีเพียงเจ้าตำหนักมู่หยางเท่านั้นที่รู้เรื่องการปรุงยา
“จื่อจู๋ การจัดตั้งทหารองครักษ์สวรรค์ ให้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน ต้องการอะไรก็ให้อวิ๋นเฟยไปจัดเตรียม ส่วนชิงหลิ่วการกินอยู่ของข้าจัดการไม่ยาก เวลาว่าง ๆ เจ้าก็ช่วยอวิ๋นเฟยจัดการเรื่องต่างๆในตำหนักแล้วกัน” หลิวหลีพูดกับชิงหลิ่วและจื่อจู๋
“ขอรับ นายท่าน”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าไปทำงานเถอะ ใช่แล้ว อวิ๋นเฟยเจ้าไปรับเพลิงเซียนในส่วนของข้าในช่วงสามร้อยปีมานี้ให้ข้าด้วย” เรื่องนี้ก็สำคัญเช่นกัน
หลิวหลีพูดจบก็กลับไปที่ที่พักของตัวเอง
หลิวหลีไม่รู้ว่าอายุของตัวเองสร้างผลกระทบอะไรไปบ้าง เจ้าตำหนักหลายตำหนักกลับไปก็บอกว่าจะเข้าฌาน เพราะถูกหลิวหลีกดดัน เมื่อจักรพรรดิทรงได้ยินเรื่องนี้ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะเสียงดัง มีปีศาจเช่นนี้อยู่ก็เหมือนมีแส้ จักรพรรดิมั่นใจว่า ต่อให้หลิวหลีมีพลังบำเพ็ญเพียรเท่าเขา นางก็คงไม่สนใจตำแหน่งจักรพรรดิอยู่ดี
ณ วังนภาธารา เคล็ดวิชาที่หนานกงเวิ่นเทียนเลือกเหมาะสมกับเขามาก เขาฟังคำแนะนำจากขุนนางเข้าฌานที่บริเวณสระเหมันต์ ได้ผลที่ดีใช้ได้ อย่างน้อยประโยชน์ของสระบรรลุเซียนเขาก็นำมาใช้จนครบถ้วน
กลับมาที่ตำหนักหลิวหลี หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินกับความคึกคักในตำหนัก
“นายท่าน ท่านกลับมาแล้วหรือ” อวิ๋นจูเหลือบเห็นหนานกงเวิ่นเทียน
“อืม ไปที่ห้องโถง” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“นายท่าน คนผู้นี้คือปิงซิน ผู้นี้คือหานจิ่ว เป็นขุนนางที่ผู้อาวุโสอวี้เลือกให้ท่าน” อวิ๋นจูแนะนำคู่ชายหญิงข้างๆนาง
“ข้าน้อยปิงซิน คารวะนายท่าน ข้ารับผิดชอบเรื่องการกินอยู่ของท่าน”
“ข้าน้อยจิ่วหาน คารวะนายท่าน ข้ารับผิดชอบเรื่องการป้องกันภายในตำหนักหลิวหลี”
หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า นำป้ายบัญชาการของตำหนักหลิวหลีมอบให้ทั้งสองคน
“ขอบพระคุณนายท่าน”
“นายท่าน ในช่วงที่ท่านเข้าฌาน เจ้าตำหนักทั้ง 9 ท่านที่เหลือมาขอเข้าพบท่าน เมื่อทราบว่าท่านเข้าฌาน จึงได้ทิ้งของขวัญไว้ บอกไว้ว่าหากท่านออกฌาน พวกนางจะมาใหม่” อวิ๋นจูรายงานเรื่องสำคัญในสามร้อยปีนี้ต่อหนานกงเวิ่นเทียน
“เรื่องนี้ค่อยว่ากัน” หนานกงเวิ่นเทียนไม่กล้าล่วงเกินเจ้าตำหนักหญิงทั้ง 9 ท่าน
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง อยู่ๆก็มีเพลิงเซียนปรากฏขึ้นในโลกเซียน นามว่าเพลิงเซียนวิญญาณไม้ หลายคนกำลังสืบหาที่มาของเพลิงเซียนนี้ ไม่ทราบว่านายท่านสนใจจะไปด้วยหรือไม่” อวิ๋นจูบอกเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
“ไม่จำเป็น บอกคนในตำหนักหลิวหลี ไม่จำเป็นต้องไปสืบหาเรื่องราวของเพลิงอัคคี เพลิงอัคคีนี้มีเจ้าของแล้ว สืบหาไป ก็มีแต่จะเพิ่มเรื่องปวดหัวให้ตัวเองเปล่าๆ” หนานกงเวิ่นเทียนส่ายหัว คนคิดจะไปเอาของของนังหนู ไม่อยากอายุยืนแล้วหรืออย่างไร
“ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็ไปเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนให้คนออกไป มองไปยังทิศทางของดินแดนนภาเพลิง นังหนู เจ้ายังอยู่ดีหรือไม่
ณ วังนภาเพลิง หลิวหลีได้รับเตาปรุงยากับพืชเซียนที่อวิ๋นเฟยไปรับมา เตาเหนือสามัญของนางตอนนั้นไม่มีเจ้าของ จึงต้องอยู่โลกเบื้องล่าง ส่วนมีดยักษ์ของนาง หากมีเวลาจะไปดูหน่อยว่าสามารถเพิ่มวัตถุดิบอะไรให้กลายเป็นอาวุธเซียนได้บ้าง
หลิวหลีไม่ได้ปรุงยาในทันที แต่นำพืชเซียนออกมาดูความแตกต่างอย่างละเอียด พืชเซียนมีพลังเซียนค่อนข้างมาก หากนางนำมาปรุงยาอาจจะทำให้พลังเซียนลดลงก็เป็นได้ จะต้องค่อยๆตรวจดูก่อนนำไปปรุงยา
จนหลิวหลีเตรียมจะลงมือจัดการกับพืชเซียน นางก็ปล่อยเพลิงเซียนวิญญาณไม้ออกมา จักรพรรดิก็สัมผัสได้ทันที ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เพลิงอัคคีนี้เป็นของนังหนูที่มาใหม่ วาสนาดีจริงๆ คนพวกนั้นคิดจะตามหาเพลิงเซียน ช่างเป็นเรื่องตลกโดยแท้ ปล่อยให้พวกเขาหาไปก็แล้วกัน จักรพรรดิทรงคิดอย่างเจ้าเล่ห์
หลิวหลีจัดการกับพืชเซียนอย่างคล่องแคล่ว ทำเสียไปหลายร้อยอัน จนที่สุดก็ได้ผลออกมา แต่นางก็ขมวดคิ้วมุ่น คุณภาพก็ยังไม่ผ่านอยู่ดี