ตอนที่ 60 เจ้าเป็นบ้าหรือ

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 60 เจ้าเป็นบ้าหรือ

ฝั่งตะวันออกของบ้าน

เปลวเพลิงของตะเกียงน้ำมันสาดแสงส่องไปที่ใบหน้าของทุกคน หยุนลี่เต๋อก้มศีรษะลงพลางเช็ดคราบน้ำมันบนริมฝีปาก

“ผู้เฒ่าหยูพูดว่าอย่างไรบ้าง?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามขณะดันชามผัดผักใบใหญ่ไปตรงหน้าของสามี

“ให้เราจ่ายเงินอีกยี่สิบตำลึง ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!”

“ยี่สิบตำลึงรึ?!” แม่นางเหลียนตกตะลึง “พวกเราคืนของขวัญมงคลหมดแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดพวกเขาถึงต้องการเงินอีก?”

“แล้วท่านปู่มีท่าทีอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม

หยุนลี่เต๋อถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ

หยุนลี่เต๋อไม่เอ่ยคำใด ทว่าใบหน้าของเขากลับมืดมนและแผ่รังสีความน่าเกรงกลัวออกมา ในขณะที่ดวงตาของเขาแดงก่ำ

เอาเงินยี่สิบตำลึงไปให้ผู้อื่นแบบเปล่าประโยชน์ หากไม่เรียกว่าโง่จะเรียกอะไรได้อีก?!

หลายครั้งแล้วที่ตระกูลหยุนถูกเอารัดเอาเปรียบ

“ตระกูลหยูทำอะไรท่านหรือไม่?” แม่นางเหลียนลุกขึ้นตักโจ๊กใส่ชามให้หยุนลี่เต๋อ “ทำไมท่านถึงกลับมาเอาป่านนี้ พวกเขาไม่ได้ทำร้ายท่านใช่หรือไม่?”

หยุนลี่เต๋อตักโจ๊กเข้าปากอย่างเงียบ ๆ

“พูดอะไรหน่อยสิ…”

“พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย”

“การเจรจาใช้เวลากี่ชั่วยามหรือเจ้าคะ? เหตุใดท่านพ่อถึงเพิ่งกลับมา”

หยุนลี่เต๋อนิ่งเงียบ

“ตอนที่ข้าเห็นท่านพี่หน้าหมู่บ้าน สีหน้าของท่านพี่ไม่สู้ดีเอาเสียเลย”

หยุนลี่เต๋อยังคงก้มหน้ากินโจ๊กอย่างเงียบ ๆ

หยุนเชวี่ยพลันคิดว่าตระกูลหยูต้องพูดอะไรบางอย่างกับหยุนลี่เต๋อแน่ ทว่าเขาไม่อยากให้ภรรยาเป็นกังวลจึงปิดปากเงียบ

เป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้ แม่นางเหลียนใช้เวลาคาดคั้นอยู่ครู่ใหญ่ หยุนลี่เต๋อจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเกาศีรษะและบอกความจริงทุกอย่าง

เขาเดินทางไปยังเรือนของตระกูลหยูเพื่อคืนของขวัญมงคลทั้งหกชนิดและเจรจาเพื่อสร้างความสันติ ทว่าหลังจากไปถึง ตระกูลหยูไม่ได้ส่งใครมาต้อนรับและไม่เปิดประตูเรือนให้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยืนรออยู่นอกเรือนภายใต้แสงแดดที่แผดเผา

หลังจากยืนรอเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ผู้เฒ่าตระกูลหยูจึงปรากฏตัวขึ้น เขายอมรับของขวัญมงคลทั้งหกคืนและกล่าวเย้ยหยันหยุนลี่เต๋ออยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากพูดเรื่องเงินยี่สิบตำลึง

หยุนลี่เต๋อกล่าวคัดค้านว่าตระกูลหยุนไม่รับข้อเสนอนี้ แต่เขากลับถูกผลักและด่าทอ อีกทั้งยังโดนทุบตี

จึงสรุปได้ว่าพ่อของนางถูกกลั่นแกล้งให้ยืนรออยู่ท่ามกลางอากาศร้อน อีกทั้งยังถูกด่าทอและทำร้ายร่างกาย

“เหตุใดพวกเขาถึงชั่วช้าเช่นนี้!” แม่นางเหลียนทั้งโกรธและกังวลใจในเวลาเดียวกัน นางพลันพับแขนเสื้อขึ้นขณะที่ดวงตาแดงก่ำด้วยความโมโห

หยุนลี่เต๋อเหยียดยิ้ม “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”

“คราวหน้าท่านไม่ต้องไปแทนพวกเขาแล้วนะ ปล่อยให้พี่เขยไปเอง! พวกเราแยกครอบครัวออกมาแล้ว พวกเขาจะใช้งานท่านเช่นทาสไม่ได้!” แม่นางเหลียนอดไม่ได้ที่จะโกรธเคือง

หยุนเยี่ยนยกอ่างน้ำมาวางไว้ด้านหน้าบิดาพลางยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้เขา “ท่านพ่อ ล้างหน้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ”

เมื่อหยุนลี่เต๋อผู้ซื่อสัตย์มีจิตใจงดงามเห็นใบหน้าภรรยาผู้มีเมตตาและลูกน้อยทั้งสามคน ความสุขก็พลันเบ่งบานในจิตใจราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง

สำหรับหยุนลี่เต๋อแล้ว ความรู้สึกของคนนอกที่มีต่อเขาไม่สำคัญเท่ากับความสุขของภรรยาและลูก ๆ

หยุนลี่เต๋อรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

แต่ผู้เป็นภรรยากลับมองเขาด้วยสายตาขุ่นเคือง “ท่านยังจะหัวเราะอีกรึ?”

หยุนเชวี่ยเลื่อนสายตามองเพดานห้องพลางครุ่นคิด บางครั้งนางรู้สึกราวกับว่าไฟจากแสงตะเกียงนั้นส่องสว่างมากจริง ๆ!

รุ่งเช้าวันถัดมา

หยุนเชวี่ยกอดห่อขนมแป้งทอดสองสามชิ้นไว้ในอ้อมแขนขณะเดินขึ้นไปทางภูเขา ระหว่างทางนางพบกับเหอยาโถวที่เดินมาจากท้ายหมู่บ้านพลางยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ

“เชวี่ยเอ๋อ!”

“เจ้าไปที่บ้านเสี่ยวส้วยเอ๋อมารึ?”

“อืม” เหอยาโถววิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาหานางก่อนตบหน้าอกพลางหอบหายใจ “ข้าเหนื่อยมาก”

หยุนเชวี่ยกล่าวหยอกล้อ “เพียงไม่กี่ก้าวจากหน้าหมู่บ้านไปท้ายหมู่บ้านยังเหนื่อยเพียงนี้ แล้วเจ้าจะวิ่งตามพี่สาวคนสวยได้อย่างไร?”

“เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว” เหอยาโถวโบกมือ ลำคอระหงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ “ท่านแม่สั่งให้ข้าเอาเมล็ดพืชสองถุงไปให้แม่ของเสี่ยวส้วยเอ๋อน่ะ”

“ท่านน้าช่างใจดีจริง ๆ”

แม่นางหลี่มารดาของเสี่ยวส้วยเอ๋อสุขภาพไม่แข็งแรงนัก ทั้งสองอาศัยอยู่ในกระท่อมผุพังท้ายหมู่บ้าน โดยอาศัยที่ดินสองไร่จีนเพื่อปลูกผัก

ชาวบ้านสงสารพวกนางสองคนแม่ลูกอย่างมาก ดังนั้นในวันสุดสัปดาห์บ้านที่อยู่ฝั่งทิศตะวันออกจะแบ่งขนมแป้งทอดให้พวกนางสองชิ้น และบ้านที่อยู่ฝั่งตะวันตกจะช่วยเรื่องธัญพืช ดังนั้นพวกนางจึงไม่ต้องใช้ชีวิตแบบอดอยากอีกต่อไป

ขณะที่หยุนเชวี่ยกำลังเก็บฟืน นางได้พบกับเสี่ยวส้วยเอ๋อผู้มีใบหน้าซีดเซียว ร่างกายผอมบางกำลังลากฟืนมัดใหญ่อย่างแข็งขัน

“เสี่ยวส้วยเอ๋อว่าอย่างไรบ้าง? นางตกลงจะขายลูกพลัมกับเราหรือไม่?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม

“เหตุใดนางจะไม่ตกลงล่ะ นางยินดีที่จะร่วมงานกับเราทันทีที่รู้ว่ามีค่าจ้าง! แล้วนางยังถามย้ำด้วยนะว่าพวกเราจะไปในเมืองอีกเมื่อใด!”

หยุนเชวี่ยพยักหน้า “ถ้านางขยันและตั้งใจทำงาน เราก็จะจ้างนางอย่างถาวร ด้วยวิธีนี้นางจะมีรายได้เพื่อจุนเจือครอบครัวอีกทางหนึ่ง”

“ฮ่าฮ่า เราไปกันเถอะ!”

ทั้งสองจึงออกเดินพร้อมกัน

“เจ้าจะไปส่งข้าวและน้ำให้ชายคนนั้นที่บนภูเขาหรือ?” เหอยาโถวเอ่ยถามเมื่อเห็นตะกร้าไม้ไผ่ในมือหยุนเชวี่ย

“อืม เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?”

“ไม่ล่ะ ข้าเหนื่อยมากเลย แล้วเขาหายดีหรือยัง?”

หยุนเชวี่ยเพียงแต่ถอนหายใจแทนคำตอบ

ณ ภูเขาหลังหมู่บ้านไป่ซี

เมื่อชายผู้นั้นเห็นหยุนเชวี่ย ดวงตาสีเข้มของเขาก็แทบจะถลนออกมา

“เชวี่ยเอ๋อ!”

“มานี่สิ” หยุนเชวี่ยวางตะกร้าไม้ไผ่พลางกวักมือเรียก

สืออีเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าของหยุนเชวี่ยอย่างเชื่อฟังราวกับสุนัขตัวน้อย ทว่าร่างกายของเขากลับสูงกว่านางมากโข

“ยังมีไข้อยู่หรือ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถาม

สืออีก้มลงเล็กน้อยทำให้ใบหน้าของทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้น มุมปากของเขายกยิ้ม ในขณะที่ลมหายใจอุ่นรินรดขนตาของหยุนเชวี่ยเบา ๆ

หยุนเชวี่ยใช้หลังมือแตะหน้าผากของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา

สืออีพลันครุ่นคิดภายในใจว่ามือของเด็กหญิงตัวน้อยนั่นนุ่มนิ่มยิ่งนัก เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงใช้หน้าผากถูมือของนางสองสามครั้งอย่างไม่รู้ตัว

หยุนเชวี่ยกลอกตาพลางยื่นห่อขนมแป้งทอดให้เขา

“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าดีกับข้ามากเกินไปแล้ว” สืออีนั่งลงข้างหยุนเชวี่ยขณะเคี้ยวขนมแป้งทอดอย่างเอร็ดอร่อย

“เจ้าเลี้ยงง่ายต่างหาก”

หยุนเชวี่ยมองสืออีกินขนมแป้งทอดด้วยสายตาเอ็นดู หากจะซ่อนเขาไว้ที่นี่ตลอดคงเป็นไปไม่ได้ แล้วนางควรทำอย่างไรดี?

“เสี่ยวอู่เล่า?” สืออีเอียงศีรษะพลางเลียเศษขนมตรงมุมปาก

“เขาเรียนตำรากับบัณฑิตผู้มีพรสวรรค์อยู่ในหมู่บ้านน่ะ” หยุนเชวี่ยยื่นมือไปแตะไหล่ซ้ายของเขาเบา ๆ “ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”

สืออีขมวดคิ้วพร้อมส่ายศีรษะ

“ขอข้าดูหน่อย”

หยุนเชวี่ยถอดเสื้อของสืออีออก เขากางแขนเพื่อช่วยนางอย่างเชื่อฟังพลางโน้มตัวไปด้านหน้าและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นตุ่มเล็ก ๆ บริเวณลำคอยาวระหง

“ข้าจะล้างหนอง อดทนหน่อยนะ”

“อืม”

ยาสมุนไพรที่ซื้อมาจากร้านขายยาไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้ บาดแผลของเขาแย่ลงเรื่อย ๆ ในขณะหนองและเลือดเริ่มซึมเข้าไปในกระดูก

หยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้นมองสืออี

ริมฝีปากของสืออีเม้มแน่น

“ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาเถิด เราอยู่กันเพียงสองคน ไม่มีใครหัวเราะเยาะเจ้าหรอก” หยุนเชวี่ยคลายเกลียวน้ำเต้าด้วยมือข้างเดียวก่อนแช่ผ้าขนหนูผ้าฝ้ายลงในเหล้าหมักสาลี่

พ่อของนางดื่มเหล้าหมักอายุสิบปีโถนี้ไม่หมด เนื่องจากมันมีราคาถูกและรสชาติแย่

สืออีกัดฟันแน่นทันทีที่แผลหนองถูกราดด้วยเหล้าหมัก “ข้าไม่… เจ็บ!”

“เสแสร้ง” หยุนเชวี่ยหลุบตาลงพลางกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิต

แผลหนองนั้นกัดกินเนื้อลึกเกินไป นางไม่สามารถรักษามันให้หายจึงทำได้เพียงบีบเค้นแรง ๆ เท่านั้น ขณะเดียวกันเหงื่อเย็นพลันผุดขึ้นตรงปลายจมูกของนาง

สืออีส่งยิ้มให้หยุนเชวี่ย “มะ… มันไม่เจ็บ… จริง ๆ”

“เยี่ยม เจ้าเก่งมาก!”

หมาป่าตัวน้อยกำหมัดแน่นก่อนหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่า”

หยุนเชวี่ยเหลือบมองเขาด้วยความงุนงง “ชายคนนี้เป็นนี้เป็นบ้าหรือ?”