ตอนที่ 59 หัวขโมย

ขณะนี้เหอยาโถวและหยุนเชวี่ยไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่เหรียญเดียว เนื่องจากพวกเขานำเงินที่ได้ไปลงทุนจนหมด

ดอกไม้งามเหอยาโถวใช้นิ้วเกี่ยวปลายผมเล่น “ถ้าข้าจ้างใครไม่ได้เลย เจ้าจะทำอย่างไร?”

“เหตุใดเจ้าไม่ไปถามเสี่ยวส้วยเอ๋อล่ะ?”

เสี่ยวส้วยเอ๋อเป็นเด็กผู้หญิงที่ขยันขันแข็งอย่างมาก มารดาของนางแซ่หลี่แต่งงานกับลูกชายคนที่ห้าของตระกูลเผย หลังจากให้กำเนิดลูกสาว นางก็ป่วยหนัก และต่อมาจึงได้รับการรักษาจนหายดีทว่านางจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก

ไม่นานลูกชายคนที่ห้าของตระกูลเผยได้ขอหย่ากับนางและไปแต่งงานกับหญิงสาวจากหมู่บ้านใกล้เคียง เวลาผ่านไปแม่เลี้ยงทนความซุกซนของเสี่ยวส้วยเอ๋อไม่ได้จึงส่งนางกลับไปหามารดาผู้ยากไร้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังหมู่บ้านเป็นเวลาหลายปีแล้ว

“เสี่ยวส้วยเอ๋อรึ?” เหอยาโถวเอ่ยถามด้วยความลังเล

“เด็กยากจนมักกลับบ้านตั้งแต่หัวค่ำ ดูอย่างชีจินสิ เขาไม่มีทางเลือกเลย”

มารดาของชีจินเป็นแม่ม่าย นางต้องทำงานเลี้ยงน้องชายสามีที่ล้มป่วยและพ่อสามีที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ ดังนั้นนางจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัว

เหอยาโถวพยักหน้า “จริงด้วย หลังจากที่ชีจินได้ยินว่าข้าชวนมาหาเงินด้วย เขาก็มีความสุขจนเนื้อเต้น”

“ข้ารู้ดีว่าการหาเงินนั้นไม่ง่าย ดังนั้นข้าจะทำงานหนักขึ้น”

ด้านหน้าเรือน กลิ่นหอมฟุ้งลอยไปตามลม

“พวกเจ้าซุบซิบอะไรกันอีกแล้ว?” หยุนเยี่ยนยืนอยู่ในห้องครัว

“พี่เยี่ยเอ๋อ” เหอยาโถวลุกยืนขึ้นก่อนปัดกางเกงพลางขยิบตาให้หยุนเชวี่ย “พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปที่ท้ายหมู่บ้าน”

หยุนเยี่ยนถือตะหลิวในมือ “กินข้าวด้วยกันก่อนสิ วันนี้ข้าทำไก่ฟ้าตุ๋น”

โดยปกติแล้วหากมีแขกมาที่บ้านในตอนเย็น เจ้าบ้านจะเอ่ยชวนแขกให้มาร่วมวงรับประทานอาหารเพื่อเป็นมารยาท

“วันนี้ที่บ้านข้าทำเนื้อตุ๋นน่ะพี่เยี่ยนเอ๋อ” เหอยาโหวโบกมือลาพลางเหลือบมองไปยังบ้านหลังใหญ่ก่อนกระซิบด้วยรอยยิ้ม “ถ้าย่าของเจ้าเห็นข้า นางต้องด่าจนบรรพบุรุษของข้าต้องลุกออกมาจากหลุมแน่”

หยุนเยี่ยน…

หยุนเชวี่ยหัวเราะคิกคัก “ไปเร็วเข้า เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว…”

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง

อาหารที่อยู่ในหม้อส่งกลิ่นหอมคลุ้ง พี่น้องทั้งสามคนนั่งเรียงหน้ากระดานอยู่ด้านหน้าบ้านพลางจ้องมองไปที่ประตู

“จ๊อก ๆ”  เสียงท้องร้องของใครสักคนดังขึ้น

หยุนเยี่ยนถอนหายใจ “พวกเจ้าสองคนไปกินข้าวก่อนเถอะ ข้าจะออกไปตามท่านพ่อกับท่านแม่”

“ข้าไปด้วย…” หยุนเชวี่ยลุกยืนขึ้นพลางหันมองหม้อไก่ตุ๋นที่อยู่บนเตาฟืน

หากไม่มีคนเฝ้าอาหารในหม้อ แม่นางเฉินคงมาขโมยกินจนไม่เหลือให้พวกนางแน่

ขณะที่หยุนเชวี่ยลังเลอยู่นั้น เสียงของแม่นางเหลียนก็ดังขึ้น “ทำไมท่านถึงอยู่ที่นั่นนานเพียงนี้? คืนของขวัญมงคลไปหมดแล้วหรือ? ตระกูลหยูไม่ได้ทำให้ท่านอับอายใช่หรือไม่?”

“เข้าไปข้างในแล้วค่อยคุยกันเถิด” หยุนลี่เต๋อเปิดประตู “เด็ก ๆ ยังไม่ได้กินข้าวรึ?”

“ท่านพ่อกลับมาแล้ว!”

เด็กทั้งสามถอนหายใจด้วยความโล่งอก หยุนเชวี่ยเอ่ยทักทายบิดา ส่วนหยุนเยี่ยนรีบไปตักน้ำให้เขาล้างหน้าทันที

“ท่านพ่อเหนื่อยมากแล้ว ล้างหน้าสักหน่อยเถิด”

หยุนเชวี่ยรู้สึกหม่นหมอง นางละอายใจทุกครั้งที่มองหน้าหยุนลี่เต๋อ

“ลี่เต๋อ เจ้ากลับมาแล้วรึ” ประตูห้องโถงเปิดออก ผู้เฒ่าหยุนที่นั่งอยู่ในบ้านตะโกนถาม

“ขอรับท่านพ่อ”

“ตระกูลหยูว่าอย่างไรบ้าง?”

“พวกเขายอมรับของขวัญมงคลทั้งหมดคืน แต่…” หยุนลี่เต๋อเช็ดเหงื่อพลางเผยสีหน้าลังเล

“เข้ามาคุยกันข้างในสิ”

“ขอรับ!”

แม่นางเหลียนดึงแขนเสื้อของสามีเบา ๆ เพื่อสื่อว่าเขาออกไปนอกบ้านทั้งวันแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้รับประทานอาหารดี ๆ เลยสักมื้อ!

“เจ้ากับลูกกินข้าวก่อนเถอะ” หยุนลี่เต๋อเหยียดยิ้มพลางลูบหลังมือของภรรยาด้วยความรักใคร่ก่อนเดินเข้าไปในห้องโถง

แม่นางเหลียนรู้สึกไม่พอใจทันที

“ท่านแม่ เรากลับไปกินข้าวกันก่อนเถอะ ข้างนอกมืดแล้ว” หยุนเชวี่ยพามารดาเข้าไปในบ้านอย่างเชื่อฟัง

เด็กทั้งสามคนช่วยกันยกโต๊ะไม้ตัวเล็กไปทางทิศตะวันตกของบ้านก่อนจุดตะเกียงน้ำมัน

แสงไฟจากตะเกียงส่องสว่าง

“วันนี้อากาศร้อนจนผิวไหม้ แล้วพ่อของเจ้าก็ยังไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่หยดเดียว…” คิ้วของแม่นางเหลียนขมวดแน่น

“ท่านแม่ ข้ารู้สึกผิดต่อท่านพ่อ อีกทั้งพี่สาวและเสี่ยวอู่ก็เสียใจเช่นกัน” หยุนเชวี่ยคีบข้าวในชามขึ้นมา “จากนี้ไป พวกเราทั้งสามคนจะเป็นลูกกตัญญูต่อท่านพ่อและท่านแม่”

หยุนเยี่ยนและเสี่ยวอู่พยักหน้าพร้อมเพรียงกัน ทั้งสองคนรู้ดีแก่ใจแต่ไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไร

เมื่อมองดูใบหน้าของเด็กดีทั้งสามคน หัวใจของแม่นางเหลียนก็อบอุ่นขึ้นทันที “พวกเจ้าปลอบโยนแม่สินะ…”

ภายในห้องโถง

ผู้คนบนโต๊ะทั้งสองกำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย หยุนลี่เต๋อนั่งลงข้างโต๊ะอาหาร เขารู้สึกว่าร่างกายของตนลีบเล็กลงราวกับช่องแคบในภูเขา

“พี่รอง เหตุใดถึงเพิ่งกลับมา?” หยุนลี่เซี่ยวเคี้ยวอาหารเต็มปาก ดวงตาของเขากลอกไปมา “ใช้จ่ายเงินที่เราให้ไปอย่างสบายใจเลยล่ะสิ!”

หยุนลี่เต๋อเหลือบมองผู้เฒ่าหยุน

“แม้แต่กินข้าวก็ยังไม่หยุดพูดสินะ” ผู้เฒ่าหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

ผู้เฒ่าหยุนเหยียดยิ้มเย้ยหยัน

“น้องรอง ตระกูลหยูมีท่าทีอย่างไรบ้าง?” หยุนลี่จงวางตะเกียบลงพลางเอ่ยเอ่ยถามน้องชาย

หยุนลี่เต๋อลูบฝ่ามือสากของตน “เขารับของขวัญทั้งหมดที่เราคืนให้ แต่…”

เขาหลุบตาลงต่ำพลางเผยท่าทีอึกอัก

“อะไรกัน! เจ้าหมายความว่าอย่างไร! ไม่ได้เรื่อง! เหตุใดท่านพี่ถึงต้องให้คนไร้ประโยชน์จัดการเรื่องนี้ด้วย!” แม่เฒ่าจูรู้สึกกังวลจึงตะโกนด่าทอเสียงดัง

หยุนลี่เต๋อกล่าวคำเบา “ตระกูลหยูต้องการเงินยี่สิบตำลึง หากไม่จ่ายเงินจำนวนนี้ ตระกูลของเราจะต้องเดือดร้อน…”

ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้อง

ผู้เฒ่าหยุนผงะ มืออันซีดเซียวของเขาจับขอบโต๊ะแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

หยุนเชวี่ยเคี้ยวอาหารและกลืนมันลงไปขณะฟังเสียงแม่เฒ่าจูร้องไห้คร่ำครวญ “ให้ตายเถอะ! ไอ้พวกตระกูลหยูจอมเจ้าเล่ห์! พวกมันช่างไม่มีคุณธรรม จิตใจเหี้ยมโหด! เหตุใดชีวิตของซิ่วเอ๋อถึงขมขื่นได้เพียงนี้!”

หยุนเชวี่ยสำลักพลางตบหน้าอกเบา ๆ

“ค่อย ๆ กินสิ” หยุนเยี่ยนรีบนำน้ำมาให้นาง

“ตระกูลหยูน่ารำคาญ ชอบสร้างปัญหาให้กับผู้อื่นราวกับแมลงเม่า!” แม่นางเหลียนขมวดคิ้ว “พวกเขาจะต้องโทษว่าเป็นความผิดของพ่อเจ้าแน่”

“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ?”

หยุนเชวี่ยถือชามข้าวไว้ในมือพร้อมเอ่ยถามเสียงแผ่ว ทันทีที่นางพูดจบ เสียงของหยุนลี่เซี่ยวก็ดังขึ้น

“พี่รอง พวกเราให้ท่านไปเจรจาเพื่อขอโทษไม่ใช่รึ แต่เหตุใดเจ้าถึงยอมให้ตระกูลหยูข่มเหงเรา! ตระกูลหยูเสนอผลประโยชน์อะไรให้ท่าน?”

หยุนเชวี่ยนิ่งอึ้ง

นางประเมินความเลวร้ายของคนพาลคนนี้ต่ำเกินไปจริง ๆ

จากนั้นหยุนลี่จงผู้ไร้ประโยชน์ก็เอ่ยขึ้น “น้องรองไม่ควรทิ้งของขวัญเหล่านั้นไว้ให้พวกมัน! ตระกูลหยูอยากให้พวกเราเกรงกลัวอำนาจ มันจึงกล้าข่มขู่พวกเรา! โธ่เว้ย!”

หยุนเชวี่ยหมดคำพูด

ไม่สนใจความสูญเสียและไม่กลัวปัญหา เหตุใดนางต้องปล่อยให้บิดาถูกเขาด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้?

“งานแต่งถูกยกเลิกไปแล้ว แต่เหตุใดถึงจัดการกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ได้!” หยุนซิ่วเอ๋อร้องไห้คร่ำครวญ “พี่รอง หากข้าต้องไปที่สำนักงานบริหาร เจ้าก็อย่าหวังเลยว่าครอบครัวของเจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข!”

ตึง!

หยุนเชวี่ยกระแทกชามข้าวลงกับโต๊ะอีกครั้ง

พวกเจ้ากลั่นแกล้งคนซื่อสัตย์เกินไปแล้ว!

เมื่อมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น นางเพียงแค่อยากหดหัวอยู่ในกระดองเต่าเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกมันทุกคนกลับมาระรานบ้านของนาง

“เชวี่ยเอ๋อ” แม่นางเหลียนบีบไหล่ของลูกสาวเบา ๆ พลางส่ายศีรษะ “อย่ายุ่งกับพวกเขาเลย”

“ท่านแม่!” ขณะนี้ภายในใจของหยุนเชวี่ยอัดแน่นไปด้วยความโกรธจนแทบระเบิดออกมา

“รอดูท่าทีของพ่อเจ้าก่อน” แม่นางเหลียนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

ภายในห้องโถง แม่เฒ่าจูพ่นคำด่าทอออกมาจนแทบล้นบ้าน

หลังจากที่ทุกคนพากันด่าทอจนท้องฟ้ามืดสนิท หยุนเชวี่ยจึงนอนเล่นบนแคร่ทางทิศตะวันตกมองเห็นหยุนลี่เต๋อเดินออกจากห้องโถงด้วยท่าทางสลดใจ