ตอนที่ 58 ซื่อสัตย์

หยุนลี่เต๋อเดินทางเข้าในเมืองตั้งแต่เช้าตรู่

เขากลับบ้านในยามตะวันโด่งฟ้า ก่อนไปรายงานให้ผู้เฒ่าหยุนและแม่เฒ่าจูที่บ้านหลังใหญ่

“ข้าไปสอบถามมาแล้ว หากต้องการซื้อของทั้งหมด เราต้องจ่ายห้าตำลึง”

“หา? ห้าตำลึง!”

หยุนเชวี่ยได้ยินเสียงหญิงชราตะโกนเสียงดังมาจากบ้านฝั่งตะวันตก “ เหตุใดเจ้าไม่ซื้อของคุณภาพต่ำมาเล่า? ของขวัญที่พวกมันให้เรามีแต่ของไร้ค่า!”

“ท่านแม่ ขาหมูสองขาราคาหนึ่งตำลึง ส่วนเหล้าหมักและผ้าซาตินนั้นมีราคาแพงอยู่แล้ว” หยุนลี่เต๋อตอบตามจริง

“หมากินสมองเจ้าไปแล้วรึ!” แม่เฒ่าจูก่นด่าขณะต้องเขม็งไปที่ลูกชาย “ซื้อขาหมูอันเล็กสิ ผ้าพวกนั้นก็ซื้อราคาถูกกว่านี้ ส่วนเหล้าหมักเจ้าไม่มีสักโถเลยหรือ? อย่าลืมเติมน้ำเข้าไปในโถเหล้าก่อนมอบให้ตระกูลหยูด้วยล่ะ…”

หยุนเชวี่ยแอบฟังอยู่ครู่หนึ่ง

ท่านแม่พูดออกมาได้อย่างไร…

หยุนลี่เต๋อ…

“อะไร ไม่เต็มใจแบ่งเหล้าหมักให้หรือ?!” แม่นางจูกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “อย่าลืมสิว่าเจ้าคลานออกมาจากท้องของข้า!”

“ข้าไม่เคยลืมขอรับท่านแม่” หยุนลี่เต๋อมองผู้เฒ่าหยุนด้วยความละอายใจ “ข้าเกรงว่าเราจะส่งของคุณภาพต่ำแบบนั้นให้พวกเขาไม่ได้”

คนซื่อสัตย์ทำได้แต่สิ่งดี ๆ ซึ่งหากได้ของสิ่งใดมา เขาต้องส่งคืนให้ครบไม่ขาดแม้แต่อย่างเดียว

“ลี่เต๋อ เจ้ากล้าขัดคำสั่งรึ ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งแต่เล็กจนโต! แต่เจ้าคิดถึงจิตใจของคนนอกมากกว่าข้า! คิดว่าเงินมันงอกออกมาเองหรือ? พูดออกมาได้อย่างไรว่าต้องใช้เงินห้าตำลึง ให้ตายเถอะ ข้าทนฟังไม่ไหวแล้ว!”

แม่เฒ่าจูยังคงก่นด่าไม่หยุดปาก

หยุนลี่เต๋อก้มศีรษะและหลุบตามองต่ำอีกครั้ง

“เอาเงินไป” ผู้เฒ่าหยุนกล่าวพลางวางถุงเงินบนโต๊ะ

แม่เฒ่าจูที่นั่งอยู่ด้านข้างนิ่งอึ้ง

“เอาเงินไปซื้อของเหล่านั้นเสีย” ผู้เฒ่าหยุนกล่าวย้ำพลางขมวดคิ้ว

“เขาต้องการห้าตำลึง ท่านก็ให้ห้าตำลึง ช่างใจกว้างเสียจริง” แม่เฒ่าจูเดินไปเปิดลิ้นชักบนหัวเตียงอย่างไม่เต็มใจ

นางเป็นคนดูแลเรื่องเงินทองของตระกูลหยุนก็จริง ทว่าคนที่ออกคำสั่งภายในบ้านนี้คือผู้เฒ่าหยุน

ในเมื่อผู้เฒ่าออกคำสั่ง แม้จะเจ็บแค้นใจเพียงใด นางก็ต้องทำตามแต่โดยดี

แม่เฒ่าจูดึงถุงผ้าสีแดงออกจากลิ้นชักตรงหัวเตียง พลางนับเงินให้ครบจำนวน

หยุนลี่เต๋อนั่งรออยู่ด้านข้างด้วยท่าทีเก้กัง

หลังจากนับเงินเสร็จ แม่เฒ่าจูจึงยื่นเงินให้ผู้เฒ่าหยุนก่อนเหลือบมองทางหางตาพร้อมกล่าวออก “ท่านเข้าไปในเมืองกับลี่เต๋อด้วยสิ”

ชัดเจนแล้วว่านางกลัวหยุนลี่เต๋อนำเงินที่ให้ไปใช้ทำอย่างอื่น

ผู้เฒ่าหยุนไม่เอ่ยคำใดเพียงแต่รับเงินมาอย่างเงียบ ๆ

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปทำงานก่อนนะขอรับ หากในตอนบ่ายท่านพ่อเตรียมตัวพร้อมแล้วให้เรียกหาข้าได้เลย”

หยุนลี่เต๋อเหยียดยิ้มอย่างจริงใจ แม้บิดาไม่เอ่ยคำใด แต่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าต้องทำอย่างไร

บิดาและมารดากำลังปฏิบัติราวกับเขาเป็นโจร!

คนซื่อสัตย์เช่นเขาช่างน้อยใจนัก

ยามบ่าย

เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงแผดเผา ผู้เฒ่าหยุนยืนอยู่ใต้ชายคาบ้านพร้อมตะโกนเรียกลูกชาย “ลี่เต๋อ ไปกันถอะ”

แม่นางเหลียนเดินไปส่งสามีที่ประตูก่อนกล่าวด้วยความกังวล “ถ้าท่านเข้าไปในเมืองแล้ว จงพูดจาให้เกียรติและอย่าหาเรื่องทะเลาะกับผู้อื่น”

“เจ้ายังไม่รู้นิสัยของข้าอีกหรือ” หยุนลี่เต๋อยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เข้าบ้านเถอะ ข้างนอกอากาศร้อน”

“เดินทางปลอดภัยล่ะ…”

“อืม!”

หลังจากที่ผู้เฒ่าหยุนและหยุนลี่เต๋อเดินลับตาไป

หยุนเชวี่ยดึงแขนเสื้อของแม่นางเหลียน “ท่านแม่”

“พ่อของเจ้า… ครั้งนี้เขาต้องทำเพื่อคนในครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้… ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…”

หยุนเชวี่ยพลันคิดได้ทันทีว่าพ่อของตนต้องแบกรับความรับผิดชอบผู้อื่นแม้เขาจะไม่แสดงความรู้สึกที่แท้จริง ทว่าภายในใจกลับทุกข์ไม่น้อย

ขณะพักผ่อนหลังอาหารมื้อกลางวัน

แม่นางเหลียนไม่สามารถข่มตาหลับได้จึงยันกายลุกขึ้นนั่งหลังจากนอนพลิกตัวไปมาอยู่ครู่ใหญ่

“ท่านแม่เป็นอะไรหรือเจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเปิดม่านพลางโผล่หน้าออกมา

“แม่จะไปรอพ่อของเจ้าที่หน้าหมู่บ้าน”

“ตอนนี้ท่านพ่ออยู่ในเมืองนี่เจ้าคะ”

“เจ้าบอกว่าตระกูลหยูจะไม่ทำให้เขาอับอายใช่หรือไม่?”

“ท่านแม่อย่าคิดมากเลย ท่านพ่อไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน การเจรจาต้องผ่านไปด้วยดีแน่เจ้าค่ะ”

แม่นางเหลียนรู้สึกกระวนกระวายใจ

“ข้ารู้นิสัยพ่อเจ้าดี ถ้าเขารู้ว่าตนเองผิด แม้อีกฝ่ายจะทุบตีอย่างไร เขาไม่มีทางตอบโต้แน่” ดวงตาเศร้าสร้อยของแม่นางเหลียนพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“ท่านปู่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อหรือเจ้าคะ?” หยุนเยี่ยนเอ่ยถามขณะมองไปทางบ้านหลังใหญ่

“ท่านปู่ไปในเมืองเพื่อซื้อของขวัญเท่านั้น พี่ก็รู้ว่าท่านปู่รักศักดิ์ศรีเพียงใด…”

ยังไม่ทันที่หยุนเชวี่ยจะพูดจบ เสียเปิดประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ท่านปู่กลับมาแล้ว” หยุนเยี่ยนมองผ่านหน้าต่างบานเล็ก “แต่ท่านพ่อไม่ได้กลับมาด้วย”

เป็นไปตามที่คิดไว้ไม่มีผิด!

เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าเดินตรงไปที่บ้านหลังใหญ่ แม่นางเหลียนจึงถอนหายใจ “เฮ้อ… ว่ากันว่าจักรพรรดิทรงรักพระโอรสองค์โตและประชาชนก็รักพระองค์ แต่พ่อเจ้าเป็นลูกคนที่สอง ดังนั้นจึงไม่มีใครรักและห่วงใยเขาเลย…”

หยุนเชวี่ยนั่งไขว่ห้างพลางกระดิกเท้า “บางทีตระกูลหยุนอาจมีบัลลังก์ให้ลุงใหญ่สืบทอดก็ได้เจ้าค่ะ!”

สิ่งที่หยุนเชวี่ยกล่าวเป็นเพียงเรื่องตลกขบขัน ทว่าแม่นางเหลียนกลับผงะไปชั่วครู่

“อย่าพูดจาไร้สาระ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เจ้าอาจถูกตัดหัวได้! เจ้าเด็กคนนี้ช่างไม่กลัวอะไรเสียเลย!”

หยุนเชวี่ยแลบลิ้นออกมาด้วยความซุกซน

หยุนเชวี่ยพลันลืมสิ้นว่าขณะนี้นางอยู่ในยุคของราชวงศ์เหลียง ซึ่งเป็นยุคที่ประชาชนไม่สามารถล้อเลียนจักรพรรดิ หากมีคนได้ยินพวกเขาอาจถูกกล่าวหาในข้อหา ‘สมรู้ร่วมคิดก่อกบฏ’ และจะถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งตระกูล

“เชวี่ยเอ๋อ เด็กดี…” แม่นางเหลียนเปิดผ้าม่านก่อนเดินไปนั่งบนขอบเตียงและมองดูลูกสาวอย่างเงียบ ๆ “เจ้าช่วยทำให้แม่สบายใจขึ้นหน่อยได้หรือไม่?”

“ได้เจ้าค่ะ!”

ดวงตาสีอ่อนของแม่นางเหลียนจ้องไปที่ลูกสาวโดยไม่กะพริบ

“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยยันกายขึ้นนั่งพลางชูนิ้วขึ้นสองนิ้วเพื่อสาบาน “ข้าสาบานว่าข้าจะไม่พูดจาไร้สาระอีกเจ้าค่ะ”

“แล้วอะไรอีก?”

“การที่ข้าชอบพูดยั่วโมโหหยุนซิ่วเอ๋อไม่ใช่เรื่องผิดนี่เจ้าคะ”

“แต่นางคืออาของเจ้านะ”

“เจ้าค่ะท่านอาหยุนซิ่วเอ๋อ”

แม้แม่นางเหลียนจะเศร้าโศก แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับความซุกซนของลูกสาว

หยุนเชวี่ยรู้ดีว่าตนผิดแต่นางไม่ยอมรับผิดและไม่แก้ไข และในฐานะแม่ นางจึงไม่สามารถปล่อยให้ลูกสาวทำแบบนี้ได้

ขณะนี้หยุนลี่เต๋อยังคงไม่กลับบ้าน

แม่นางเหลียนเดินทางไปรอสามีที่หน้าหมู่บ้านด้วยความเป็นห่วง ส่วนหยุนเยี่ยนอาสาทำอาหารรออยู่ที่บ้าน

เหอยาโถวชะโงกหน้าเข้ามาภายในบ้านพลางกล่าวคำเบา “เชวี่ยเอ๋อ… เชวี่ยเอ๋อ”

“เจ้าทำอะไรน่ะ? จะมาขโมยของหรือ?”

“ไปหาเงินกันเถอะ ข้าเกรงว่าถ้าย่าของเจ้าได้ยินเข้า นางจะสาปแช่งข้าน่ะ” เหอยาโถวเหลือบมองบ้านหลังใหญ่พร้อมกล่าวเสียงแผ่ว

“เข้ามาสิ” หยุนเชวี่ยดึงตัวเหอยาโถวไปทางหลังบ้าน “ลูกจ้างของเรามาหรือยัง?”

“โอ้ อย่าพูดถึงพวกเขาเลย!”

“ไม่มีใครตอบตกลงเลยหรือ?”

เหอยาโถวมองไปที่หินก้อนใหญ่พลางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมันก่อนนั่งลง

“ชีจินลูกชายของแม่ม่ายเหลียวยินดีที่จะร่วมมือกับเรา แม่ของพี่น้องโฉ่วเหือและโฉ่วช่วนบอกว่าพวกเราอาจพาลูกของนางไปเกเร ข้าจึงไปที่บ้านของตงเถาเถียน เจ้าลองทายดูสิว่าเถียนต้วนสื่อพูดว่าอะไร?”

หยุนเชวี่ยขมวดคิ้ว “เขาพูดว่าอะไร?”

“เขาบอกว่าให้เราจ่ายเงินก่อนแล้วทำงานทีหลัง!” เหอยาโถวกลอกตา “เหตุใดเขาไม่คิดถึงแต่เรื่องดี ๆ บ้าง!”

“แล้วเจ้าตอบว่าอย่างไร?

“ข้าบอกว่าถ้าข้าต้องการเงิน ข้าจะทำงานก่อน จากนั้นเขาก็ตบก้นแล้วเดินหนีออกไปพร้อมตะโกนว่าเขาไม่เชื่อหรอกว่าเราจะทำเงินได้” เหอยาโถวกล่าวออกด้วยความโมโห

“ถูกต้อง เราไม่สามารถจ่ายค่าจ้างให้เขาก่อน หากเขาหลอกเอาเงินเราไปแล้วไม่มาช่วยเราขายลูกพลัมล่ะ เราจะทำอย่างไร” หยุนเชวี่ยพยักหน้าเห็นด้วย