ตอนที่ 57 หุบปากซะ
ตราบใดที่หยุนซิ่วเอ๋อยังไม่ได้ออกเรือน ชีวิตของหยุนลี่เต๋อก็จะไม่ได้รับความสงบสุข
ในบรรดาลูกชายทั้งสามคนของผู้เฒ่าหยุน ลูกชายคนโตมีนิสัยเห็นแก่ตัวนึกถึงแต่ตนเอง และลูกชายคนที่สามมีนิสัยอันธพาลสร้างแต่ความวุ่นวาย ดังนั้นจึงมีเพียงลูกชายคนรองที่สามารถพึ่งพาได้เมื่อมีปัญหา
เงื่อนไขที่หยุนเชวี่ยตั้งขึ้นนั้นสมเหตุสมผล
ตระกูลหยุนต้องคืนของขวัญมงคลให้ตระกูลหยูดังเดิม
“เชวี่ยเอ๋อมีเหตุผล ในเมื่อเราปฏิเสธการแต่งงาน เราจะเก็บของขวัญไว้ไม่ได้จึงต้องส่งคืน” เมื่อแม่นางเหลียนกล่าวเห็นด้วย
“ตกลงตามนั้น ข้าจะไปเสนอเงื่อนไขนี้กับท่านพ่อหลังอาหารเย็น” หยุนลี่เต๋อพยักหน้า
ภายในห้องโถง
ชายหญิงนั่งแยกโต๊ะกัน
หยุนลี่เซี่ยวพึมพำขณะคีบอาหารในชามใส่ปาก
“ถุย! ไอ้พวกตระกูลหยูไร้ยางอาย ถ้ามาลอบทำร้ายข้านะ ข้าจะกระทืบมันให้กลับบ้านเกิดเลย! พี่สองเป็นคนประเภทเดียวกับพวกมันคงจะตกลงกันได้ง่าย!”
แม่นางเฉินรีบกล่าวเสริมราวกับเกรงว่าโลกนี้ยังวุ่นวายไม่พอ “เฮ้อ หากตระกูลหยูไม่ยอมรามือ ชื่อเสียงของซิ่วเอ๋อคงป่นปี้แน่นอน…”
“ตึง” หยุนซิ่วเอ๋อกระแทกจานลงบนโต๊ะพลางเหลือบมองแม่นางเฉินด้วยสายตาขมขื่น
แม่นางจ้าวหลุบตาลงต่ำพลางถอนหายใจ “น้องสะใภ้สามเงียบก่อนเถอะ แค่นี้ก็วุ่นวายกันพอแล้ว!”
แม่นางเฉินเบ้ปากอย่างไม่ใส่ใจ
“เจ้ามีความสามารถมาก ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปที่เรือนตระกูลหยูเพื่อสร้างสันติสิ” ผู้เฒ่าหยุนมองหยุนลี่เซี่ยวด้วยสายตาว่างเปล่า
ขณะนี้หยุนลี่เซี่ยวแสร้งป่วยเป็นเวลาเจ็ดถึงแปดวันแล้ว ทว่าเขายังคงมีน้ำมีนวลและกินอิ่มครบทุกสามมื้อเช่นเดิม
“ข้าไม่ไปขอรับ” หยุนลี่เซี่ยวยักไหล่พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ปล่อยให้พี่รองจัดการเถอะ เพราะเขาเสนอทางแก้นี้เอง…”
รังสีความโกรธแผ่ออกมาจากร่างกายของผู้เฒ่าหยุน
หยุนลี่จงไม่กล้ากล่าวคำใด เพราะเกรงว่าทุกคำพูดจะทำให้ตนเดือดร้อน ดังนั้นเขาจึงวางชามข้าวลงแล้วเดินกลับขึ้นบ้านไปโดยอ้างว่าต้องไปอ่านตำราต่อ
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
หยุนลี่เต๋อไปที่บ้านใหญ่เพื่อพูดคุยกับผู้เฒ่าหยุน
“ท่านพ่อ”
“หืม มีเรื่องอะไรหรือลี่เต๋อ?” ผู้เฒ่าหยุนยืนขมวดคิ้วอยู่ข้างโต๊ะกินข้าว
สองสามวันที่ผ่านมามีเรื่องให้ผู้เฒ่าหยุนต้องขบคิดมากมาย เนื่องจากวันก่อนลูกชายคนโตเอ่ยปากขอเงินหนึ่งร้อยตำลึง และไม่กี่วันต่อก็เกิดเรื่องขึ้นกับซิ่วเอ๋ออีกครั้ง เขาชราลงทุกวันทว่าเหตุใดยังต้องพบเจอกับเรื่องน่าอายเช่นนี้?
“ท่านพ่อ ข้ามาพูดคุยเรื่องที่ท่านจะให้ข้าไปบ้านตระกูลหยูเพื่อเจรจา ข้าคิดว่าท่านต้องคืนของขวัญมงคลให้แก่พวกเขา…”
“นั่น…” ผู้เฒ่าหยุนกล่าวออกพลางเผยท่าทีกังวลใจ
หากยึดตามพิธีการทั้งหกแล้ว ตระกูลของฝ่ายหญิงจะได้รับเงินอย่างน้อยสี่หรือห้าตำลึง ซึ่งทรัพย์สินในส่วนนี้ของตระกูลหยุนจะถูกพรากไปแล้ว!
“คืนของขวัญมงคลรึ?!”
เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงินทอง แม่เฒ่าจูก็หูผึ่งทันที “เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว เหตุใดต้องพูดถึงมันอีก?!”
“ท่านแม่…”
“เนื้อและปลาพวกนั้นตกอยู่ในท้องหมดแล้ว! กินเสร็จก็สะบัดก้นหนีกันทุกคน ปล่อยให้นังแก่คนนี้จัดการ! เป็นแบบที่ข้าคิดไม่ผิด!”
แม่เฒ่าจูไม่เปิดโอกาสให้หยุนลี่เต๋อได้อธิบายแม่แต่คำเดียว นางเอาแต่อ้าปากสาปแช่งด้วยท่าทีเกลียดชัง… หนีรึ? ไม่มีประตูให้หลบหนีเลยสักบาน!
หยุนเชวี่ยแอบกลอกตาอย่างเงียบ ๆ
ทั้งชาตินี้และในอดีตชาติ นางไม่เคยพบเจอใครที่จู้จี้จุกจิกและไร้เหตุผลเช่นแม่เฒ่าจูเลย!
นางสามารถบงการชีวิตของทุกคน และอย่าหวังว่าจะได้รับเงินแม้แต่เหรียญเดียวจากนาง การที่จะได้เห็นนางใจดีช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้น!
เมื่อพูดถึงเนื้อและเหล้าหมักแล้ว พวกเขาไม่ได้แบ่งเนื้อให้ครอบครัวของหยุนเชวี่ยด้วยซ้ำ
แม่นางจูยังคงก่นด่าอย่างต่อเนื่อง ยิ่งก่นด่ามากเท่าไร นางก็ยิ่งหยาบคายมากขึ้นเรื่อย ๆ
“โชคชะตาช่างเลวร้ายนัก! กำหนดให้ข้าตั้งท้องในเดือนสิบ และให้กำเนิดลูกที่ไม่เอาถ่าน อีกทั้งยังมีลูกสะใภ้อกตัญญู!”
หยุนลี่เต๋อทำได้เพียงก้มศีรษะพร้อมหลุบตามองต่ำด้วยความอับอายโดยไม่กล้าโต้แย้งสักคำ
“อย่าทะเลาะกัน!” เส้นเลือกบนหน้าผากของผู้เฒ่าหยุนปูดโปน “ลี่เต๋อพูดถูก เราต้องคืนทุกอย่างให้พวกเขา”
“อะไรนะ? เราไม่ได้ร้องขอให้พวกเขามอบของเหล่านั้นให้เสียหน่อย!” แม่เฒ่าจูเผยสายตาเย้ยหยัน “ตระกูลหยูเต็มใจยกมันให้เรา เหตุใดต้องคืนของเหล่านั้นด้วย?”
เอ่อ…
หยุนเชวี่ยหมดคำจะกล่าว
ประตูห้องถูกเปิดออก หยุนลี่เซี่ยวสวมเสื้อผ้าหลุดลุ่ยยืนพิงประตูพลางกล่าวค้าน
“ท่านพ่อ เราจะคืนของขวัญเหล่านั้นไม่ได้ เพราะตระกูลของเราอาจเสียหน้า และอีกอย่างมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ที่เราต้องสูญเสียเช่นนี้!”
ผู้เฒ่าหยุนขมวดคิ้วแน่น
หยุนเชวี่ยดึงชายเสื้อของหยุนลี่เต๋ออย่างเงียบ ๆ
“หยุนลี่เต๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ท่านพ่อ ใครจะพูดก็พูดได้ แต่… เรื่องที่ข้าต้องไปเจรจากับตระกูลหยูนั้นไม่ง่ายเลย!”
หยุนลี่เซี่ยวเผยสีหน้าไม่พอใจทันที “การแต่งงานถูกยกเลิกไปแล้ว แล้วเหตุใดถึงต้องคืนของเหล่านั้นด้วย?”
“ท่านปู่เจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นให้อาสามไปแทนท่านพ่อเถิด” หยุนเชวี่ยเหลือบมองหยุนลี่เซี่ยวพร้อมส่งยิ้ม “อาสามมีความสามารถและมีวาทศิลป์มากกว่าท่านพ่ออีกเจ้าค่ะ”
“ตระกูลหยุนต้องการความคิดเห็นของเด็กหญิงเช่นเจ้าตั้งแต่เมื่อไร!” หยุนลี่เซี่ยวตอบกลับพร้อมจ้องเขม็งไปที่หยุนเชวี่ย “พี่รอง ท่านไม่สั่งสอนลูกสาวรึ? เหตุใดนางถึงมารยาททรามเช่นนี้!”
หยุนลี่เต๋อดันตัวของหยุนเชวี่ยไปหลบที่ด้านหลังของเขา “ท่านพ่อ หากตระกูลหยูรายงานเรื่องนี้กับสำนักงานเขต พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยุนซิ่วเอ๋อก็ใช้ฝ่ามือปิดใบหน้าและร้องไห้คร่ำครวญทันที
หากลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลต้องถูกพาตัวไปสอบสวนที่สำนักงานบริหาร ชื่อเสียงของนางจะต้องป่นปี้เป็นแน่
เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ต้องพูดถึงการแต่งเข้าตระกูลขุนนางเลย แม้แต่สู้หน้าชาวบ้านยังถือเป็นเรื่องยาก
“ลี่เต๋อ เจ้าคงไม่อยากให้น้องสาวต้องขายหน้าหรอกนะ! จงไปเจรจาเพื่อความสงบสุขของชีวิตน้องสาวเสีย!” แม่เฒ่าจูบ่นพร้อมเผยสีหน้าไม่พอใจ
หยุนลี่เต๋อนิ่งเงียบ
หยุนเชวี่ยไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของแม่เฒ่าจูนัก นางจะยอมอ่อนข้อก็ต่อเมื่อต้องการเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของใคร เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวของนางแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ ข้าขอตายดีกว่าเข้าไปในสำนักงานบริหาร!” หยุนซิ่วเอ๋อตกใจกลัวจนใบหน้าของนางซีดเผือดไปชั่วขณะ “คืนของขวัญเหล่านั้นให้ตระกูลหยูเสีย! หากข้าได้แต่งงานกับตระกูลขุนนางในภายภาคหน้า พวกท่านจะขอสินสอดมากกว่านี้ก็ย่อมได้!”
“หึ” หยุนลี่เซี่ยวเยาะเย้ย “คิดดีแล้วรึ ถ้าพี่ใหญ่สอบไม่ผ่านอีกเล่า? เจ้าจะไม่เสียดายหรือ? แต่งงานกับตระกูลหยูตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง”
“หุบปากซะ!” หยุนซิ่วเอ๋อชี้ไปที่พี่ชาย “พี่สามพูดเรื่องดี ๆ ไม่เป็นหรือ เหตุใดถึงต้องคอยกระแนะกระแหนคนในครอบครัว? ข้าทนเห็นหน้าท่านต่อไปไม่ได้แล้ว!”
“ลี่เซี่ยว!” ผู้เฒ่าหยุนไม่ชอบใจในสิ่งที่เขากล่าวออกมาเช่นกัน
ผู้เฒ่าหยุนครุ่นคิดอย่างหนัก ทรัพย์สมบัติที่เขาเก็บออมมาเกือบทั้งชีวิตคงต้องสูญเปล่า ส่วนลูกชายคนโตคงสอบไม่ผ่านเช่นเดิม
ความหวังอันน้อยนิดเลือนหายไปแล้ว…
“ตลอดทั้งวันข้าไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลย!” ผู้เฒ่าหยุนคำรามด้วยความขุ่นเคือง “ออกไปซะ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า!”
หยุนลี่เซี่ยวยืนกอดอกพลางกลอกตาและเดินออกไปก่อนพึมพำ “ดูสิ…”
“เอ่อ ท่านพ่อว่าอย่างไรขอรับ?” หยุนลี่เต๋อรอคอยให้พ่อของเขาตัดสินใจ
ผู้เฒ่าหยุนจิบชาก่อนกล่าวออก “พรุ่งนี้เจ้าจงไปในเมือง และเลือกดูว่าของทั้งหกชิ้นนั้นมีราคาเท่าไหร่”
เมื่อพูดจบ ผู้เฒ่าหยุนก็เหลือบมองหยุนเชวี่ยด้วยสายตาพึงพอใจ
เด็กผู้หญิงคนนี้ติดตามบิดามาที่นี่ เพราะนางกลัวว่าการพูดคุยเกี่ยวกับเงื่อนไขการคืนของขวัญมงคลจะไม่สำเร็จ
ลูกคนรองมีนิสัยซื่อสัตย์สุจริต และเขาได้ให้กำเนิดเด็กสาวอัจฉริยะ
ยิ่งผู้เฒ่าหยุนได้คลุกคลีกับนางมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้ว่านางมีจิตใจที่แข็งแกร่ง
หยุนเชวี่ยรู้ว่าผู้เฒ่าหยุนกำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงเงยหน้าขึ้นพลางยกยิ้มอย่างไร้เดียงสาเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงตัวกันอย่างสวยงาม