ตอนที่ 56 ส่งตัวลูกชายผู้โง่เขลาไปแก้ปัญหา
ประตูบ้านถูกปิด ลานบ้านเงียบจนผิดปกติ
แม่เฒ่าจูไม่ได้ก่นด่าใคร ส่วนแม่นางเฉินก็ไม่ได้บ่นพึมพำ
“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยหยิบฟืนขึ้นมาเพราะพบว่าฟืนในกองเหลือน้อยลง
“อาสะใภ้สามขโมยฟืนของเราไปอีกแล้วหรือ?”
แม่นางเหลียนเพิ่งกลับจากทำนา นางจึงเดินไปล้างมือที่อ่างน้ำ
“โอ้ เราใช้ฟืนไม่มากหรอก ช่างนางเถอะ”
แม่นางเฉินไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะแม่นางเฉินมักมาขโมยของเช่นนี้ตลอด แม้จะพูดเตือนหรือตำหนิ แต่แม่นางเฉินทำเป็นหูทวนลมและไม่คิดจะใส่ใจ อีกทั้งนางยังคร้านที่จะมีปากเสียงกับบ้านหลังนั้นเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย
“ไปกันเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวถ้าฟืนหมดไฟก็จะดับเอง!” หยุนชวี่ยขมวดคิ้วพร้อมเผยท่าทีไม่พอใจ
หยุนเชวี่ยไม่ได้มีนิสัยตระหนี่แต่อย่างใด เพียงแค่เอ้อหลาง ซานหลาง หยุนเยว่ และหยุนเซียงมีนิสัยขี้เกียจตัวเป็นขน พวกเขาไม่เคยแม้แต่หยิบฟืนด้วยซ้ำ พวกเขาเกียจคร้านจนติดเป็นนิสัยแล้ว!
“ปล่อยให้นางเอาไปเถอะ ไม่อย่างนั้นท่านย่าคงหาเรื่องด่าพวกเราอีกแน่” หยุนเยี่ยนเอ่ยถาม
“ถ้าฟืนของเราไม่เพียงพอให้พวกเขาใช้ในฤดูหนาวจะทำอย่างไร?” หยุนเชวี่ยบ่นพลางเผยสีหน้าโกรธเคือง “และอีกอย่างพวกเราแยกบ้านออกมาแล้วไม่ใช่หรือ?”
“คนเราไม่สามารถเขียนตัวอักษรสองตัวพร้อมกันได้ ดังนั้นเราจะสามารถพูดได้อย่างไรว่าแยกครอบครัวออกมาแล้ว?” แม่นางเหลียนกล่าว
หยุนเชวี่ยเข้าใจในความเป็นจริง ทว่าในใจของนางกลับไม่มีความสุข
ยามหมดประโยชน์ปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับศัตรู แต่ยามที่ต้องการผลประโยชน์ก็ปฏิบัติกับพวกเขาราวกับครอบครัว
“หยุนเชวี่ยบ่นพึมพำ “ท่านพ่ออยู่ที่ไหนหรือ?”
“ท่านปู่ต้องเรียกหาท่านพ่อทันทีที่กลับมาแน่” หยุนเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองน้องสาวด้วยสายตากังวล
ท่านปู่เรียกอีกแล้วหรือ? นางไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงรู้สึกไม่ชอบมาพากลทันทีที่มาถึงบ้าน
หยุนเชวี่ยเม้มริมฝีปาก “ข้าว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่”
“อย่าพูดจาไร้สาระสิ” แม่นางเหลียนพับแขนเสื้อขึ้นก่อนปรุงอาหารในหม้ออย่างประณีต
“ดูนั่นสิ”
หยุนเชวี่ยหันไปมองบ้านหลังใหญ่ด้วยสีหน้าว่างเปล่า
นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านแม่อยากย้ายออกจากที่นี่แล้วไปใช้ชีวิตตามลำพังหรือไม่เจ้าคะ?”
แม่นางเหลียนรู้สึกประหลาดใจ
“ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว”
พวกเขาถูกสาปแช่งจากท่านย่าตลอดทั้งวันไม่ว่าจะเป็นเช้า กลางวัน หรือกลางคืน หยุนลี่จงและแม่นางจ้าวไม่ทำงาน หยุนลี่เซี่ยวและแม่นางเฉินต้องการเพียงเงิน ส่วนหยุนซิ่วเอ๋อไม่เห็นครอบครัวนางเป็นคนด้วยซ้ำ
หยุนเชวี่ยทนกับพฤติกรรมของคนที่เรียกว่าครอบครัวไม่ไหวแล้ว
“อย่าพูดเช่นนี้อีก” แม่นางเหลียนหลุบตาลงต่ำ “หากเราย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ย่าของเจ้าคงสาปแช่งเราแน่”
ไม่มีชาวบ้านในชนบทคนไหนอดตายหลังจากแยกครอบครัวออกมาอยู่ด้วยตนเองหรอก ซึ่งส่วนใหญ่คนเหล่านั้นมักอยู่ร่วมกับครอบครัวใหญ่มาก่อนและแยกครอบครัวออกมาสร้างเนื้อสร้างตัวทีหลังทั้งนั้น
แต่คนที่มีนิสัยชอบบงการชีวิตผู้อื่นเช่นแม่เฒ่าจูจะไม่สาปแช่งพวกเขาไปตลอดชีวิตเลยหรือ หากรู้ว่าพวกนางจะแยกครอบครัวออกไปอยู่ที่อื่น!
“ท่านแม่ ถ้าข้าหาเงินได้เยอะ ๆ เมื่อไร ครอบครัวเราจะออกได้ย้ายออกไปสักที”
ภายในหมู่บ้านยังมีที่ดินว่างเปล่าอีกมากมาย พวกเขาเพียงต้องหาไม้และหินมาปลูกบ้านเท่านั้น ส่วนแรงงานในการสร้างนั้นชาวบ้านผู้ชายจะร่วมกันลงแรงปลูกบ้านให้เสร็จภายในไม่กี่วัน โดยที่เจ้าของบ้านไม่ต้องจ่ายเงินสักแดงเดียว
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีแม่นางเหลียนไม่กล้าแม้แต่จะคิดเรื่องนี้ แล้วนางจะคาดหวังเรื่องย้ายออกได้อย่างไร?
ในทางตรงกันข้าม นัยน์ตาของหยุนเยี่ยนที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับเต็มไปด้วยความหวัง
ชามอาหารถูกจัดวางไว้บนโต๊ะเล็กในห้องโถงก่อนที่หยุนลี่เต๋อจะออกมาจากบ้านหลังใหญ่
ฉับพลันท่าทีของแม่นางเหลียนและหยุนเยี่ยนก็เปลี่ยนเป็นประหม่า
“ท่านพ่อพูดว่าอย่างไรบ้าง?”
หยุนลี่เต๋อเผยสีหน้าหดหู่ “ท่านพ่อบอกว่าตระกูลหยูก่อกวนหวังหลี่เจิ้ง อีกทั้งยังยืนกรานว่าครอบครัวเราจะต้องเสียใจที่ยกเลิกการแต่งงาน”
“หืม?” แม่นางเหลียนตกตะลึง
การถูกระรานหลังจากปฏิเสธการแต่งงานในสมัยราชวงศ์เหลียงสามารถนำเรื่องไปฟ้องร้องที่สำนักงานบริหารได้ หากปล่อยไปแล้วโดยฟ้องร้อง ชื่อเสียงของครอบครัวฝ่ายหญิงอาจถูกทำลายได้
“สินสอดของตระกูลหยูพวกเขาก็เก็บไว้ แล้วจะเรียกว่าการแต่งงานที่ไม่เต็มใจได้อย่างไร? หยุนเชวี่ยเผยสีหน้าสงสัย “พวกเขาหลอกลวงเราอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่! เพราะมันยังไม่ครบทุกพิธีการ” หยุนลี่เต๋อเกาศีรษะพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ตระกูลหยูมาที่นี่แต่ยังไม่ได้มอบสินสอด และต่อมาพวกเขาก็ขอวันเกิดของซิ่วเอ๋อไปเสี่ยงทาย”
การแต่งงานในสมัยราชวงศ์เหลียงจะต้องผ่าน ‘หกพิธีการ’ จึงจะถือว่าการแต่งงานนั้นเสร็จสิ้น
สิ่งที่เรียกว่า ‘หกพิธีการ’ คือหกขั้นตอนในการแต่งงานระหว่างชายและหญิง
ขั้นตอนแรกฝ่าชายจะเชิญแม่สื่อหรือพ่อสื่อมาที่บ้านของฝ่ายหญิง หากผู้หญิงสนใจจะแต่งงาน ฝ่ายชายจะนำของขวัญมงคลมอบให้ครอบครัวของฝ่ายหญิงซึ่งคนของฝ่ายหญิงจะเรียกว่า ‘การยอมรับ’
ขั้นตอนที่สองคือการถามชื่อ หลังจากครอบครัวของฝ่ายหญิงยอมรับของขวัญมงคลแล้ว ครอบครัวของฝ่ายชายจะขอให้แม่สื่อถามชื่อและวันเกิดของฝ่ายหญิงเพื่อนำไปเสี่ยงทาย
ในขั้นตอนที่สามคือ การมอบสินสอด หลังจากที่เสี่ยงทายและผลออกมาว่าดวงของทั้งคู่สมพงษ์กันแล้ว ฝ่ายชายจะไปที่บ้านของฝ่ายหญิงพร้อมแม่สื่อเพื่อมอบสินสอดซึ่งถือว่าเป็นการหมั้นอย่างเป็นทางการ
หยุนซิ่วเอ๋อและตระกูลหยูดำเนินการถึงเพียงขั้นตอนที่สองเท่านั้น
ในขั้นต้นทั้งสองครอบครัวตกลงกันว่าสินสอดจะประกอบด้วยเงินสดยี่สิบตำลึงและที่ดินห้าไร่ แต่หลังจากขั้นตอนถามชื่อ จู่ ๆ ตระกูลหยุนก็ขอเพิ่มค่าสินสอดเป็นเงินสดห้าสิบตำลึงและเกวียนสองหลัง ทว่าตระกูลหยูไม่พอใจ ดังนั้นการหมั้นหมายจึงถูกยกเลิก
“ฝ่ายหญิงสามารถยึดสินสอดไว้ได้ ซึ่งท่านปู่ท่านย่าทำแบบนั้น” หยุนเชวี่ยบ่นพึมพำ
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะมาถึง ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน
ในขณะนั้นตระกูลหยูได้นำเหล้าหมักสองขวด ขาหมูสองขา ขนมอบสองตะกร้า ผลไม้สองตะกร้า ผ้าซาตินสองชุด ปลาตัวใหญ่สองตัว
ไม่ว่าจะในชนบทหรือในเมือง ‘หกพิธีการ’ ถือว่าเป็นพิธีการที่สวยงาม หลังจากเสร็จพิธีการบ่าวสาวขึ้นไปนั่งบนเกวียนล่อเพื่อไปที่เรือนหอ โดยที่หน้าผากของล่อจะถูกผูกด้วยผ้าสีแดง ซึ่งหยุนซิ่วเอ๋อรู้สึกภูมิใจกับมากเพราะมันช่วยให้เธอดูเหนือกว่าหญิงสาวคนอื่น
“ตระกูลหยูต้องก่อปัญหาแน่ แต่เหตุใดท่านพ่อถึงเรียกท่านไปคุยเรื่องนี้เล่า?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ท่านพ่อบอกให้ข้าไปที่เรือนของตระกูลหยูที่อยู่ในเมืองเพื่อขอสงบศึกน่ะ” หยุนลี่เต๋อถูฝ่ามือพร้อมพึมพำ “มันต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่”
“….” แม่นางเหลียนตกตะลึง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที
“เหตุใดท่านปู่ถึงไม่ส่งท่านลุงไปเล่า?” หยุนเชวี่ยเอียงศีรษะพลางแสดงท่าทีไร้เดียงสา “ท่านลุงเป็นบัณฑิตน่าจะมีวาทศิลป์และมีความเข้าใจมากกว่า”
หยุนเชวี่ยถอนหายใจเงียบ ๆ ผู้เฒ่าหยุนมักส่งลูกชายผู้โง่เขลาของเขาออกไปรับหน้าแทนทุกครั้งที่เกิดปัญหาสินะ
สงบศึกรึ เขาควรไปขอร้องด้วยตนเองไม่ใช่หรือ?
“หากเกิดเรื่องนี้ขึ้นในเรือน หัวหน้าครอบครัวต้องเป็นคนจัดการไม่ใช่หรือ?” แม่นางเหลียนวางตะเกียบลงด้วยความไม่พอใจ “เด็กน้อยอย่างเชวี่ยเอ๋อยังรู้เรื่องนี้…”
แล้วเหตุใดผู้เฒ่าหยุนถึงไม่เข้าใจ?
ผู้เฒ่ารู้ดีแก่ใจ
“พี่ใหญ่เป็นบัณฑิตจะให้เขาทำเรื่องนี้ไม่ได้…” หยุนลี่เต๋อตอบอย่างตรงไปตรงมา
ดวงตาของแม่นางเหลียนแดงก่ำด้วยความโกรธ “พี่ใหญ่ทำไม่ได้ แต่ให้ท่านไปแทน… ท่านคิดอะไรอยู่… เราแยกครอบครัวออกมาแล้วนะ…”
“ท่านแม่ อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อปลอบมารดาพร้อมมองไปที่บิดาด้วยสายตาโกรธเคือง
“ท่านพ่อแก่แล้ว ส่วนน้องสามก็เป็นแบบนั้น…” หยุนลี่เต๋อรู้สึกสิ้นหวังเมื่อเห็นภรรยาหลั่งน้ำตาและแสดงท่าทีโกรธเคือง
แม่นางเหลียนปาดน้ำตาอย่างเศร้าสร้อย “พวกเขาชอบให้ท่านทำแต่เรื่องยุ่งยาก…”
หยุนลี่เต๋อก้มศีรษะลง “เจ้ารู้สึกเศร้าแทนข้าสินะ”
หยุนเชวี่ย…
ช้าก่อน… นี่ต้องเป็นเวลาที่แม่นางเหลียนไม่พอใจสิ เหตุใดถึงกลายเป็นช่วงแสดงความรักความห่วงใยได้?
หยุนเชวี่ยนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แม่นางเหลียนจ้องมองหยุนลี่เต๋อพลางถอนหายใจ จากนั้นตักโจ๊กเข้าปากก่อนส่งเสียงในลำคอย่างพึงพอใจ
“ท่านพ่อหากท่านต้องไปที่ตระกูลหยูเพื่อทำการสงบศึกจริง ท่านต้องสร้างเงื่อนไขกับท่านปู่ก่อน…”