บทที่ 104 ความเกรี้ยวกราดของลั่วปิง

The king of War

แว็บเดียว สายตาของทุกคน มองไปยังคนพูดคนนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

คนที่พูดคือหัวหน้าฝ่ายขาย ชื่อเผิงกาง อายุราวๆสี่สิบกว่าปี บนศีรษะมีผมไม่กี่เส้น มันแวววับ หวีไปไว้ที่ด้านหลัง แล้วยังใส่แว่นตาขอบสีทองอีกด้วย

ในแผนกใหญ่ๆแต่ละแผนกของบริษัท เผิงกางมีวัยวุฒิมากที่สุด หลังจากที่ได้ก่อตั้งสาขาที่เจียงโจว ถูกตระกูลอวี่เหวินแต่ตั้งแต่หัวหน้าแผนก

ก่อนหน้านี้ตำแหน่งรองผู้จัดการแผนกการขายไม่มีมาโดยตลอด คนจำนวนมากคิดว่าเผิงกางจะเลื่อนขั้นเป็นรองผู้จัดการทั่วไป แต่วันนี้กลับถูกฉินยีแย่งตำแหน่งไป

ลั่วปิงขมวดคิ้ว กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณมีความเห็นต่างอะไร?”

เผิงกางกล่าว “ตั้งแต่เธอเข้ามาในบริษัท จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่ถึงสองเดือน ก็เลื่อนขั้นเป็นรองผู้จัดการ ไม่ตรงกับเงื่อนไขในการเลื่อนขั้นของบริษัทแต่อย่างใด”

“เหอะ!”

ลั่วปิงถูกถามต่อหน้าผู้คน เขาไม่พอใจแน่นอน จึงได้กล่าวอย่างสงบว่า “ใช่ที่ฉินยีเพิ่งจะเข้ามาทำงานได้ไม่นาน แต่โปรเจ็คที่ร่วมมือกันทางการค้าครึ่งหนึ่งของบริษัท เธอเป็นคนทำสำเร็จ”

“ในช่วงสองเดือนมานี้ มูลค่าที่เธอคนเดียวได้สร้างให้กับบริษัท ก็ปาไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าเธอไม่มีสิทธิ์แล้วใครจะมีสิทธิ์? ”

“อีกอย่าง เยี่ยนเฉินกรุ๊ปใครที่มีคุณภาพก็ได้ตำแหน่งไป เมื่อไหร่กันที่เอาวัยวุฒิเข้ามาตัดสินการเลื่อนตำแหน่ง?”

“อีกอย่าง ผมขอเน้นอะไรหน่อยนะ หนังสือแต่งตั้งเป็นคำสั่งของสำนักงานใหญ่ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผมลั่วปิง ถ้าคุณมีปัญหา ก็ไปร้องเรียนกับส่วนกลาง ผมมีหน้าที่ประกาศตามคำสั่งของสำนักงานใหญ่เท่านั้น”

เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วปิง ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมต่างเข้าใจขึ้นมาทันที

แม้ฉินยีจะวัยวุฒิยังน้อย แต่ได้ทำโปรเจ็คขนาดใหญ่มากมายให้กับบริษัท โดยเฉพาะช่วงหนึ่งเดือนนี้ ระดับงานของฉินยีดีขึ้นไปอีก

นี่อาจทำให้พนักงานระดับล่างมากมายของบริษัท เกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างมาก โดยเฉพาะคำพูดใครที่มีคุณภาพก็ได้ตำแหน่งไปของลั่วปิงประโยคนั้น

เรื่องของฉินยี เป็นแรงบันดาลใจอย่างมาก ให้กับพนักงานระดับล่าง

“เอาละ ถ้าทุกท่านไม่มีอะไรแล้ว เลิกประชุม”

ลั่วปิงมองไปหาทุกคน แล้วกล่าว

งานที่หยางเฉินสั่งไว้ เขาทำมันสำเร็จแล้ว ยังอยากรีบรายงานเรื่องนี้แก่หยางเฉินโดยเร็ว

“ลั่วปิง ในเมื่อแกไม่มีเมตตาธรรม ก็อย่าว่าฉันไม่ชอบธรรมก็แล้วกัน”

เผิงกางเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใด เรียกชื่อลั่วปิงดังๆ ต่อหน้าพนักงานทุกคน

คำพูดของเขา ทำให้ทุกคนตะลึง

อยู่ไกลทำเรื่องโดยพลการ ที่สาขา ถึงแม้ลั่วปิงจะเป็นแค่ผู้จัดการทั่วไป แต่กลับเป็นหัวหน้าใหญ่สุดของที่นี่ วันนี้เผิงกางกลับกล้าชนต่อหน้าทุกคน

“เพื่อนร่วมงานทุกท่าน ตอนนี้ผมจะให้ทุกคนดูอะไรบางอย่าง เชื่อว่าหลังจากที่ทุกท่านได้ดูแล้ว จะเข้าใจว่าฉินยีเลื่อนขั้นเป็นรองผู้จัดการทั่วไปได้อย่างไรกัน”

เผิงกางตะโกนเสียงดัง หยิบกระเป๋าหนังใบหนึ่งขึ้นมาทันใด จากนั้นก็หยิบรูปขึ้นมาหนึ่งปึก ยกมือขึ้นแล้วโยนไปรอบๆ

แว็บเดียว ในห้องประชุมเต็มไปด้วยรูปภาพ

ฉินยีหยิบมาได้หนึ่งรูป ตอนที่เธอเห็นรูป ก็หน้าถอดสีทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

เพราะในรูป เธอนั่งอยู่ในอ้อมกอดของลั่วปิง แล้วมือสองข้างก็กอดคอของลั่วปิงไว้ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

เมื่อเห็นรูป ในห้องประชุมต่างโหวกเหวกกันขึ้นมา

ทุกคนมองไปที่ฉินยีอย่างตะลึง แม้แต่เพื่อนรักที่อยู่ข้างๆฉินยีซุนเถียน ก็ตะลึง

ซุนเถียนคิดว่าเป็นความจริง จินตนาการได้ ว่าคนอื่นๆก็คิดถึงฉากที่สกปรกนี้ไปแล้ว

“ผมว่า ตอนนี้ไม่ต้องให้ผมพูด ทุกคนก็เข้าใจ ว่าทำไมฉินยีถึงได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้จัดการทั่วไปแล้วนะ?”

เผิงกางดูแคลนกล่าว “เดิมทีผมก็สงสัย ว่าทำไมฉินยีถึงได้โปรเจ็คใหญ่มากมายขนาดนั้น จนกระทั่งมีคนส่งจดหมายที่ด้านในเต็มไปด้วยรูปภาพมาให้ผม เมื่อผมเห็นภาพแล้วนั้น จึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไม่แน่ การร่วมมือเหล่านั้นลั่วปิงอาจจะเป็นคนทำได้เอง แล้วตั้งใจพูดว่าฉินยีเป็นผู้บรรลุโปรเจ็ค ประธานลั่ว เพื่อชู้ ใช้อุบายเก่งเหมือนกันนะเนี่ย!”

สีหน้าของลั่วปิงบูดบึ้งสุดๆ เขาแอบช่วยฉินยีในการบรรลุโครงการมากมายจริง ดังนั้นฉินยีจึงคุยเรื่องความร่วมมือสำเร็จอย่างง่ายดาย

แต่เรื่องนี้เขาทำอย่างลึกลับมากๆ ไม่มีทางถูกคนนอกจับติดแน่นอน

แต่รูปนี้มันเกิดอะไรขึ้น?

“คุณพูดมั่ว ฉันกับประธานลั่วเราไม่มีอะไรกัน รูปนี้เป็นรูปปลอมทั้งนั้น!”

ฉินยีเคร่งเครียดอย่างมาก โมโหจนตัวสั่น

เธอยังเป็นสาววัยรุ่น จะแบกรับกับการใส่ร้ายป้ายสีแบบนี้อย่างไรไหว?

“ฉินยี ต่อให้คุณคิดจะแก้ตัวก็ไร้ประโยชน์ เดิมทีผมก็สงสัยความถูกต้องของรูป จนกระทั่งวันนี้ที่คุณได้เลื่อนขึ้นเป็นรองผู้จัดการทั่วไป ผมจึงมั่นใจ ว่ารูปนี้เป็นของจริง”

เผิงกางหน้าตาประชดประชัน “ทำก็ทำ กล้ารับแล้วยังไม่กล้าให้คนอื่นรู้อีกเหรอ?”

“แกหุบปากไปซะ!”

ฉินยีเกรี้ยวกราด “ฉันไม่ได้ทำ! รูปพวกนี้ตัดต่อทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด!”

“ในเมื่อคุณพูดว่าไม่เกี่ยวข้องกับคุณ งั้นคุณก็บอกผมมา ว่าทำไมคนที่ได้เลื่อนขั้นเป็นรองผู้จัดการทั่วไปคือคุณ? พนักงานใหม่ที่เพิ่งเข้าทำงานได้สองเดือน ก็ได้เป็นตำแหน่งรองผู้จัดการทั่วไปแล้ว คุณเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนมั้ย?” เผิงกางดูแคลนไม่หยุด

เหล่าพนักงานในห้องประชุม ได้เริ่มถกเถียงกันต่างๆนานา แล้วต่างพากันชี้ไปที่ฉินยี

จำนวนมากเชื่อคำพูดของเผิงกาง เพราะเขากำลังเสี่ยงกับการถูกไล่ออกในการทำเรื่องแบบนี้ แต่เรื่องที่ฉินยีเลื่อนขั้นเป็นรองผู้จัดการทั่วไปภายในสองเดือน ก็ไม่มีใครเชื่อเช่นกัน

“เงียบให้หมด!”

ลั่วปิงทุบโต๊ะแรงๆ ด้วยสีหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ในห้องประชุมเงียบลงทันใด เขามองไปที่เผิงกางอย่างเลือดเย็น “พูดมา ใครเป็นคนส่งแกมา!”

เดิมทีลั่วปิงคิดว่าเผิงกางไม่พอใจ จึงได้ต่อต้านฉินยีเลื่อนขั้นเป็นรองผู้จัดการทั่วไปต่อหน้าผู้คน แต่หลังจากที่สงบสติอารมณ์แล้ว ลั่วปิงก็รู้ถึงเหตุผลที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน

อันดับแรกรูปปลอมอย่างสิ้นเชิง ประการที่สองเขาแอบช่วยฉินยีบรรลุความร่วมมือ ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร

ถ้าเผิงกางมีคำพูดที่แค้นเคืองจริง ก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ ต่อหน้าพนักงานทุกคน ถ้าบอกว่าไม่มีใครบงการเขาอยู่เบื้องหลัง เขาก็ไม่เชื่อ

“ลั่วปิง คุณพาลโกรธแล้วหรือเปล่า? เดิมทีเป็นความจริง ถูกผมแฉ ตอนนี้กลับบอกว่าอาจมีคนอยู่เบื้องหลัง?”

เผิงกางไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด ดูแคลนไม่หยุด “ผมทำงานที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปมาสิบปีแล้ว มีวัยวุฒิมากกว่าคุณ เยี่ยนเฉินกรุ๊ปก็เหมือนเป็นบ้านของผม ผมก็แค่ไม่อยากเห็นบริษัทถูกคุณทำลาย จึงได้พูดความจริงต่อหน้าทุกคน”

“แน่นอน ถ้าคุณอยากไล่ผมออก ผมก็ไม่กลัว แต่ผมจะพูดกับสำนักงานใหญ่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้พวกเขามาตรวจสอบ ผมละอยากจะรู้ ตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของคุณ จะเป็นได้อีกนานเท่าไหร่กัน”

ท่าทางของเผิงกางดูเหมือนทุ่มสุดตัว ก็ต้องรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม ทำให้พนักงานจำนวนไม่น้อยแอบเห็นด้วย

“เผิงกาง แกคิดว่าฉันลั่วปิงโง่ และหลอกได้ง่ายงั้นหรือ? ”

ลั่วปิงสายตาเลือดเย็น กล่าวอย่างสงบว่า “แกคิดว่าฉันจะไล่แกออกง่ายๆแบบนี้? ถ้าวันนี้แกไม่พูดความจริง อย่าหวังจะได้ออกจากบริษัท!”

ขณะนี้ อารมณ์ของลั่วปิงเกรี้ยวกราด ตวาดออกมา “เข้ามา!”

เมื่อเขาพูดจบ ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนเข้ามาในห้องประชุม เดินไปที่เผิงกาง