เล่มที่ 8 บทที่ 226 คนมากความสามารถ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สีหน้าของผู้เป็นแม่ทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล

“ไม่มีอะไร ทุกอย่างที่ข้าทำก็เพื่อเจ้า”

สกุลหลินถูกแต่ละฝ่ายจับตามอง หวู่เอ๋อร์ของนางจะต้องไม่ถูกสกุลหลินลากลงมาตกต่ำ

“ท่านแม่ แม้ท่านพ่อกับพี่ชายจะลำเอียง แต่ท่านอย่าได้คิดทำเรื่องโง่ๆ เด็ดขาด หากว่า…หากว่าท่านพ่อรู้เข้าแล้วล่ะก็ แม้แต่ชีวิตของพวกเราก็คงจบสิ้น”

หลินเมิ้งหวู่รู้นิสัยของพ่อนางดี เมื่อก่อนเคยมีรองแม่ทัพทำผิดพลาด แต่เพราะเขาทำงานกับท่านพ่อมานานสิบกว่าปี สุดท้ายท่านพ่อก็สั่งโบยเขาสี่สิบไม้แล้วไล่ออกจากค่ายทหาร

หากท่านแม่ก่อเรื่องอะไรขึ้นมา เกรงว่าท่านพ่อจะไม่มีวันปล่อยพวกนางสองแม่ลูกไป

เมื่อถึงเวลานั้น….

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนเองจะต้องสูญเสียตำแหน่งคุณหนูสกุลหลิน หลินเมิ้งหวู่รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลายลงตรงหน้า

“เด็กโง่ เพื่อเจ้าแล้ว ข้าไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆ อย่างแน่นอน เด็กโง่ เจ้าวางใจเถิด แต่เพราะตอนนี้พวกเราถูกคุมขัง ดังนั้นข้าจึงอยากติดต่อกับบ้านฝั่งท่านตาของเจ้า ถึงอย่างไรตอนนี้ตระกูลของท่านตาก็เป็นถึงขุนนางชั้นสูงที่กุมอำนาจเอาไว้ พ่อของเจ้าไม่มีทางไม่เห็นแก่หน้าเขาอย่างแน่นอน”

ซ่างกวนฉิงมีแผนในใจ ตอนที่นางตกเป็นเครื่องมือเพื่อแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ ท่านพ่อของนางเคยรับปากว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งนางเป็นอันขาด

หากได้รับความช่วยเหลือจากท่านพ่อ ต่อให้เป็นหลินมู่จือ เขาก็ต้องไว้หน้ากันบ้าง

ขอเพียงออกไปจากที่นี่ได้ นางก็จะเริ่มแผนการของตนเองทันที

“ที่แท้ก็คิดจะพึ่งสกุลของท่านตา เช่นนั้นลูกเองก็วางใจ แต่ตอนนี้พวกเราไม่อาจออกไปด้านนอกได้ เช่นนั้นจะมีใครส่งข่าวแทนเราได้หรือไม่เจ้าคะ?”

หลินเมิ้งหวู่รู้สึกวางใจ ท่านตาและท่านยายเอ็นดูนางมาตั้งแต่เด็ก

หากขอร้อง พวกท่านจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน

“แม่นมของเจ้าสามารถช่วยพวกเราได้ นางเป็นเพ่ยเจี้ยของข้า คนในสกุลของท่านตารู้จักนางเป็นอย่างดี”

ซ่างกวนฉิงปลอบโยนลูกสาวอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะพาลูกสาวไปยังห้องนอน

มองดูสวนที่รกรุงรังและเย็นยะเยือก มุมปากเหยียดยิ้มขมขื่น

ตลอดหลายปีมานี้นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาที่ว่างในหัวใจของสามี

แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะไม่เคยได้หัวใจของเขากลับมา

ช่างเถิด นางหลับตาลงรู้สึกเหมือนหัวใจแหลกสลาย หยาดน้ำตารื้นขึ้น

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตากลับเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา

หลินมู่จือเอ๋ยหลินมู่จือ เขาคิดจริงๆ หรือว่าเขาจะเมินเฉยต่อนางไปได้ตลอดชีวิต?

เขาเป็นคนบีบให้นางทำทุกอย่าง!

สิ่งที่เขาสนใจที่สุดคือสกุลหลินและลูกสาวลูกชายของนังแพศยาใช่หรือไม่?

เช่นนั้นนางจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของเขาให้ดู!

ระหว่างทางกลับจวน หลินเมิ้งหยานั่งเงียบกริบ

“หากเจ้ายังไม่อาจทำใจแยกจากมาได้ เช่นนั้นเจ้าสามารถอยู่ดูแลพ่อและพี่ของเจ้าได้อีกสองสามวัน”

หลงเทียนอวี้กล่าวเสียงเรียบ แม้เขาที่นั่งอยู่ด้านหน้าประตูจะไม่หันหน้ากลับมา ทว่าน้ำเสียงกลับเผยให้เห็นความเป็นห่วงเป็นใย

หลินเมิ้งหยาเงยหน้ามองเขา

แม้แสงในรถม้าจะมีเพียงน้อยนิด ทว่าเขาที่มีรูปร่างสูงโปร่งกลับนั่งตัวตรงด้วยท่วงท่าสง่างาม

นางส่ายหน้า เม้มปากเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงอ่อนโยน

“หากหม่อมฉันอยู่บ้านต่อ ท่านพ่อกับท่านพี่จะลำบาก แม้แต่ท่านอ๋องเองก็จะพลอยลำบากไปด้วย ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกเสียเมื่อไร รอพายุสงบวันใด หม่อมฉันค่อยกลับไปดูแลท่านพ่อก็ได้เพคะ”

นางเพียงพูดตามที่คิดเท่านั้น แต่หลงเทียนอวี้กลับหันมามองนางอยู่หลายครั้ง

ด้านนอกจวนของท่านแม่ทัพมีคนคอยจับตามองดูอยู่อย่างมากมาย หรือนางจะสังเกตเห็นด้วย?

“เจ้าเองก็สังเกตเห็นหรือ?”

หลงเทียนอวี้อดที่จะรู้สึกประหลาดใจกับประสาทสัมผัสอันแสนว่องไวของนางไม่ได้

แม้แต่คนของเขาเองก็พยายามหลบซ่อนเพื่อจับตามองการเคลื่อนไหวของสกุลหลิน

นางรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

“บนถนนที่ทอดยาวของจวนหม่อมฉันมีร้านขายของทั้งหมดหกร้าน กอปรไปด้วยร้านขายข้าว ร้านขายผ้า โรงรับจำนำ ร้านเหล่านี้มีมาก่อนที่หม่อมฉันจะแต่งงานออกเรือน แต่พอวันนี้ได้กลับมาอีกครั้ง หม่อมฉันพบว่ามีโรงน้ำชา ร้านเหล้าที่เพิ่มขึ้นมา อีกทั้งยังค้าขายได้ไม่เลว แต่คนที่จะมาดื่มชาละแวกจวนของหม่อมฉันมีน้อยมาก ดังนั้นคนเหล่านี้จึงเป็นพวกที่ปลอมตัวเข้ามา ปกติแล้วโรงน้ำชาและร้านเหล้ามักมีคนเข้าออกร้านไม่ขาดสาย แม้จะมีคนแปลกหน้าปรากฏที่นั่นก็มิใช่เรื่องน่าสงสัย และที่สำคัญที่สุด ร้านทั้งสองแห่งตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเห็นบ้านท่านแม่ทัพหรือพ่อของหม่อมฉันได้ หม่อมฉันจึงคิดว่าเจ้าของร้านทั้งสองจะต้องมิได้เปิดขึ้นเพื่อทำการค้าเพียงอย่างเดียวแน่นอน”

ความทรงจำในสมองมีภาพของร้านรวงดังกล่าวอยู่

หลังจากที่หลงเทียนอวี้ได้ยินการวิเคราะห์ของนาง เขาอดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

ตอนแรกป๋ายหลี่อู๋เฉินอยากซื้อร้านหนึ่งในนั้น แต่เขาไม่เห็นด้วยเพราะเหตุผลนี้

คนที่ปลอมตัวมาจำนวนมากไม่รู้จักสถานการณ์ตรงหน้าดีพอจึงถูกจับได้

ดูเหมือนเขาจะมองพระชายาของตนเองผิดไปแล้ว

หลินเมิ้งหยามีความโดดเด่นครบทุกด้าน

“ถูกต้อง ด้านนอกนั้นมีคนแฝงเร้นอยู่มากมาย แต่เจ้าเองก็รู้ว่าสถานะของสกุลหลินตอนนี้สำคัญมาก คนทั้งหลายย่อมจับตามองอยู่”

ร่องรอยของการเยาะเย้ยถูกวาดขึ้นบนดวงตาของหลินเมิ้งหยา

“หนึ่งในนั้นก็มีคนของท่านอ๋องด้วยใช่หรือไม่?”

หลงเทียนอวี้พูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรออกมา

สบมองดวงตาคู่สวย เขาไม่คิดหลีกเลี่ยงคำถาม ดังนั้นจึงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะอธิบาย

“อันที่จริงข้าคิดอยากปกป้องครอบครัวของเจ้าแต่เพียงเท่านั้น”

ปกป้องอะไรกัน ก็แค่จับตามองไม่ใช่หรือ? ไม่แตกต่างจากคนอื่นเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นนางก็มิได้ใส่ใจ

ถึงอย่างไรหลงเทียนอวี้เองก็เป็นหนึ่งในฝ่ายที่มีอำนาจแห่งต้าจิ้น

“ขอบพระทัยเพคะ”

หลินเมิ้งหยายกยิ้มจริงใจ

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ หัวใจของหลงเทียนอวี้พลันสั่นไหว

แขนทั้งสองข้างกอดเข้าหากัน แม้แต่เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจกับท่าทางของตนเอง

“อันที่จริง…หากเจ้าไม่ชอบ…ข้าสามารถ…”

คำพูดสุดท้ายกลับติดอยู่ที่คอ เขาไม่อาจพูดออกมาได้

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกไม่อยากทำเรื่องที่นางไม่พอใจ

ตกตะลึงกับความคิดของตนเอง หัวใจที่อ่อนโยนมากขึ้นทุกครั้งที่อยู่กับนางเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน?

“ไม่จำเป็นหรอกเพคะ หม่อมฉันหาได้ไม่พึงพอใจ หม่อมฉันเป็นลูกสาวสกุลหลิน อันที่จริงก็เคยชินกับเรื่องเหล่านี้แล้ว ท่านอ๋องอย่าใส่พระทัยไปเลยเพคะ หม่อมฉันหาใช่คนที่ไม่มีเหตุผล”

หลินเมิ้งหยาปกปิดความผิดหวังของตนเองเอาไว้ อันที่จริงนางเองก็หวังว่าหลงเทียนอวี้จะเอ่ยประโยคนั้นออกมา

แต่สุดท้ายแล้วนางก็ต้องผิดหวัง

ผู้ชายคนนี้จะยอมเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเพราะนางได้อย่างไร?

นางล้วนคิดไปเองทั้งนั้น

“คนของข้าจะช่วยสกัดพวกคนที่คิดไม่ดีกับสกุลหลิน หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ข้าจะบอกกับเจ้าอย่างแน่นอน”

สายตาลอบชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างที่กำลังเผยให้เห็นถึงความผิดหวังของนาง ใบหน้านวลงามแต่กลับเศร้าสร้อยส่งผลให้เขาใจอ่อนยวบยาบ

คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น อีกครั้งแล้วที่เขาต้องตกใจกับความคิดของตัวเอง

ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนว่างเปล่า ทั้งที่ทั้งสองกำลังหายใจ แต่เสียงภายในรถม้ากลับเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน

“ท่านอ๋อง พระชายา ถึงจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ เชิญเสด็จเถิด”

ด้านนอก เสียงของหลินขุยดังขึ้น

“อืม”

หลงเทียนอวี้พยักหน้า แหวกผ้าม่าน ก่อนจะลงจากรถม้า

หลินเมิ้งหยาวางหนังสือในมือลง ก่อนจะจัดแต่งเส้นผมที่ปรกลงมาบนหน้าผาก

ใบหน้านวลแย้มยิ้มอ่อนโยน ตอนนี้นางอยู่ในโลกที่ตนเองไม่รู้จัก แต่ถึงกระนั้นนางก็ต้องปฏิบัติตนเป็นชายาที่เพียบพร้อมที่สุด

ไม่ว่าจะเพื่อสกุลหลินหรือหลงเทียนอวี้ นางจะต้องแสดงบทบาทนี้ต่อไป

ปกปิดความขมขื่นในหัวใจ มือเล็กแหวกผ้าม่านสีเทาออก

“ขอบพระทัยเพคะ”

ด้านนอก หลงเทียนอวี้กำลังรอนางอยู่

มือขาวดั่งหยกวางลงบนแขนเสื้อสีดำของเขา ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมาทางรถม้าอีกครั้งเพื่อมองดูหญิงสาวที่งดงามตรงหน้า

เหล่าผู้คนที่กำลังลอบมองพวกเขาทั้งคู่อยู่บริเวณรอบๆ สูดลมหายใจเย็นเข้าปอด

ท่านอ๋องและพระชายางดงามหล่อเหลาเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก

เพียงเดินผ่านประตูเข้ามา พวกเขาได้เห็นใบหน้าร้อนใจของน้าจิ้งเยว่

“ท่านอ๋อง พระชายา ในที่สุดพวกพระองค์ก็กลับมาแล้ว เหนียงเหนียงร้อนพระทัยเหลือเกินแล้ว พวก…พวกท่านรีบไปดูเถิดเพคะ”

เสียงของน้าจิ้งเยว่ขาดๆ หายๆ จนทำให้หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้เกิดความสงสัย

ตอนที่พวกเขาออกไป พระสนมเต๋อเฟยยังเป็นปกติดีทุกอย่าง เหตุใดชั่วเวลาเพียงวันเดียวจึงมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นมาได้?

คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น นับตั้งแต่วันที่หมู่เฟยกลับมาจากวัง นางเปลี่ยนไปราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

เย่ยังมิได้ส่งข่าวมาว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง

แต่อาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของหมู่เฟยทำให้เขาลำบากใจเหลือเกิน

“พระองค์ไปเถิดเพคะ หม่อมฉัน…ขอกลับไปที่ตำหนักหลิวซินก่อนดีกว่า”

พระสนมเต๋อเฟยไม่ชอบให้นางไปป้วนเปี้ยนอยู่ที่ตำหนักหยาเสวียน ฉะนั้นยิ่งเจอกันน้อยครั้งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

นางเองก็ไม่อยากเข้าไปรบเร้าแต่อย่างใด หากไม่มีเรื่อง นางก็ไม่คิดอยากแวะเวียนเข้าไปหา

“ไม่ เจ้าไปกับข้าเถิด”

หลงเทียนอวี้คว้าข้อมือของนาง ก่อนจะส่งสายตาจริงจัง

“หากพระสนมเต๋อเฟยเห็นหน้าหม่อมฉัน เหนียงเหนียงอาจจะไม่พอพระทัย ท่านอ๋องไปคนเดียวเถิดเพคะ”

หลินเมิ้งหยามองหลงเทียนอวี้อย่างไม่เข้าใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับจ้องหน้านางนิ่ง

“เจ้าเป็นชายาของข้า ฉะนั้นเจ้าต้องไปกับข้า”

หลงเทียนอวี้ตัดสินใจบางอย่าง

ชายาของเขามีเพียงหลินเมิ้งหยาคนเดียวเท่านั้น!

ไม่ว่าหมู่เฟยจะพยายามยัดเยียดใครคนไหนมาให้ แต่เขาก็ปฏิเสธทุกคนไปจนหมด

ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจะต้องอยู่กับเขาและทำให้หมู่เฟยถอดใจ หมู่เฟยจะได้ไม่ต้องยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขาอีก

หลินเมิ้งหยาจำใจเดินออกไปอย่างไม่เข้าใจ แต่ถึงกระนั้นก็สะบัดหลงเทียนอวี้ไม่หลุด

ทั้งสองเดินมาถึงตำหนักหยาเสวียน ยังไม่ทันที่จะก้าวผ่านประตูก็ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ดังลอดออกมา

ตั้งใจฟัง แต่หลินเมิ้งหยากลับได้ยินเสียงอันคุ้นหู

ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?