ภาคที่ 2 ตอนที่ 97 การจัดการของสำนักจงโจวและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย

มรรคาสู่สวรรค์

เมื่อได้ยินหนานว่างกล่าวเช่นนี้ เหอกั๋วกงและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดที่แท้สำนักชิงซานไม่ใช่แค่พูดจาดุร้ายได้เท่านั้น แต่ยังพูดจาแปลกๆ เก่งมากอีกด้วย

หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังแห่งวัดกั่วเฉิงเห็นบรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วน จึงกล่าวเตือนไปสองสามประโยค

เหอกั๋วกงเอามือค้ำที่พักแขนบนเก้าอี้ ขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้นพลางกล่าวเสียงเบาว่า “คงไม่ใช่ว่าจะเปิดศึกกันเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม?”

หนานว่างขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “แล้วทำไมจะไม่ได้?”

หากเปลี่ยนเป็นสำนักบำเพ็ญพรตสำนักอื่น ต่อให้เจอกับเหตุการณ์เหมือนอย่างวันนี้ก็ไม่มีทางที่จะเปิดศึกสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน เพราะอีกฝ่ายนั้นคือสำนักจงโจว

ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ มีเพียงสำนักชิงซานเท่านั้นที่มีคุณสมบัติและนิสัยเช่นนี้ พวกเขาอาจจะเลือกเปิดศึกขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้

บรรยากาศภายในห้องแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง

เหอกั๋วกงรีบกล่าวว่า “แต่ฉานจึเองก็กล่าวไว้แล้วว่าเจ้ายอดเขาชิงหรงจะต้องเข้าใจแน่นอน ถึงแม้คนที่ลงมือจะเป็นเว่ยเฉิงจึ แต่นี่ไม่ใช่เจตนาของสำนักจงโจวทั้งสำนักอย่างเด็ดขาด”

หนานว่างส่งเสียงเหอะออกมาทีหนึ่ง มิได้กล่าวกระไร ศิษย์ชิงซานที่เหลือเองก็นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร

ฉานจึกล่าวถูกต้อง

สำนักชิงซานไม่คิดว่าการลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ยนั้นจะเป็นความต้องการของสำนักจงโจว เพราะนี่มิได้มีประโยชน์อันใดต่อสำนักจงโจว

เจ้าล่าเยวี่ยเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด แต่ในประวัติศาตร์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ศิษย์อัจฉริยะแบบนี้ก็มิใช่ว่าจะหายากเย็นอะไร ตอนนี้ยอดเขาเทียนกวงก็มีจัวหรูซุ่ยอยู่อีกคนหนึ่งมิใช่หรือ?

หากฆ่านาง อนาคตของสำนักชิงซานอาจจะได้รับผลกระทบ แต่มันกลับมิได้ส่งผลอะไรต่อความแข็งแกร่งของสำนักชิงซานในตอนนี้

สิ่งสำคัญคือนางเป็นศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง เป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ สถานะความอาวุโสล้วนแต่สูงส่ง

หากสำนักจงโจวต้องการสังหารนางจริงๆ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาคิดจะเปิดศึกกับสำนักชิงซานอย่างเต็มที่

แต่ถ้าจะเปิดศึกอย่างเต็มที่ สำนักจงโจวก็จำเป็นต้องกระทำการใหญ่โตที่สามารถสั่นสะเทือนทั้งแผ่นดิน เพื่อสั่นคลอนรากฐานของชิงซาน

อย่าว่าแต่เจ้าล่าเยวี่ยเลย กระทั่งหนานว่างก็ไม่มีคุณสมบัตินั้น

ผู้ที่เป็นเป้าหมายที่สำนักจงโจวจะลงมือนั้นอาจมีแค่เพียงยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์อย่างเจ้าสำนักและหยวนฉีจิงสองคนนี้เท่านั้น

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหนานว่างและคนอื่นๆ เหอกั๋วกงก็ทราบว่าคำชี้แนะของฉานจึนั้นถูกต้อง วิกฤติอันตรายที่รุนแรงที่สุดของมนุษย์คงจะไม่เกิดขึ้นแล้วล่ะ ตอนนี้เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดก็คือสืบหาความจริงของคดีนี้และดูว่าสำนักจงโจวจะยอมจ่ายค่าตอบแทนอะไรเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองสำนัก

“หากเป็นฝีมือของปู้เหล่าหลินจริงๆ หรือว่าอิทธิพลของพวกเขาได้รุกเข้าไปถึงเขาเมิ่งอวิ๋นแล้ว?”

เหอกั๋วกงจงใจเปลี่ยนประเด็น กล่าวถามว่า “ยิ่งไปกว่านั้นการที่ให้ปู้เหล่าหลินมากระทำเรื่องราวที่ใหญ่โตเช่นนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นจะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากมายขนาดไหนกัน?”

“แล้วก็ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง หากปู้เหล่าหลินเป็นคนเรียกมารชั่วดินแดนหมิงให้มาสังหารท่านผู้อาวุ….เว่ยเฉิงจึเพื่อปิดปาก เหตุใดหลังเสร็จเรื่องราวแล้วจึงไม่กำจัดร่องรอยเหล่านั้นให้สะอาด? หากเป็นเพราะเวลาเร่งด่วนไม่ทันการ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ควรจะให้มารชั่วดินแดนหมิงลงมือ ความผิดที่ร่วมมือกับเผ่าหมิงนี้ ต่อให้เป็นปู้เหล่าหลินก็คงไม่ยินดีที่จะแบกรับแน่”

เจ้ากรมชิงเทียนกล่าวต่อ

หนานว่างกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะมีเบื้องหลังอะไรแอบซ่อนอยู่ สรุปแล้วก็คือผู้อาวุโสของสำนักจงโจวของพวกเจ้ากระทำเรื่องแบบนี้ เช่นนั้นก็พูดอะไรที่พวกเจ้าสมควรจะพูด”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

ความหมายของหนานว่างชัดเจน

ตอนนี้คนที่ควรจะก้าวออกมาพูดคือสำนักจงโจว

คำพูดที่ควรจะพูดก็ย่อมต้องเป็นการขอโทษและการชดเชย

สายตาหลายคู่มองไปยังมุมหนึ่งของห้อง

ตรงนั้นมีชายรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่

ลั่วไหวหนานซึ่งมาถึงเรือนซีซานตั้งแต่เช้ายืนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด

ตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ เขามิได้ขยับไปไหน มิได้ดื่มน้ำ แล้วก็มิได้กินอาหาร ท่าทีดูสง่าผ่าเผย

จนกระทั่งในเวลานี้ ในที่สุดสำนักชิงซานก็เอ่ยปากถามออกมาอย่างเป็นทางการ เขาถึงได้กล่าวคำพูดประโยคแรกของตนเองออกมา

“เรื่องนี้ สำนักจงโจวของพวกเราจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่”

คำพูดนี้พูดได้สวยงาม แต่มันก็คล้ายกับหลายๆ สิ่งบนโลกนี้ ยิ่งดูดีก็ยิ่งไม่จริง เพราะการที่ไม่สามารถบรรยายได้ก็ย่อมหมายถึงการที่ไม่สามารถตรวจสอบได้เช่นกัน

หนานว่างเลิกคิ้วกล่าวว่า “เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ?”

สีหน้าลั่วไหวหนานราบเรียบเป็นปกติ กล่าวว่า “หลังทราบเรื่อง อาจารย์แม่ก็ได้ลงไปทางใต้แล้ว เวลานี้น่าจะขึ้นไปบนยอดเขาเทียนกวงแล้ว”

หัวหน้าอารามหลี่ว์ถังแห่งวัดกั่วเฉิงกล่าวอามิตตาพุทธ ก่อนกล่าวว่า “เช่นนี้ก็ดี”

เหอกั๋วกงเองก็มีสีหน้ายินดี กล่าวว่า “เช่นนี้ดีที่สุด”

หนานว่างนิ่งเงียบ ไม่ได้กล่าวกระไรอีก

เจ้าสำนักจงโจวคือยอดคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ถ้าจะบอกว่าบนเขาอวิ๋นเมิ่งยังมีใครที่มีสถานะสูงส่งกว่าเขา เช่นนั้นก็มีเพียงผู้ที่เป็นคู่รักบำเพ็ญพรตที่บรรลุขั้นทะลวงสวรรค์เหมือนอย่างเขาผู้นั้นเท่านั้น

หรือก็คือคนที่ลั่วไหวหนานเรียกว่าอาจารย์แม่

ฮูหยินของเจ้าสำนักเดินทางไปสำนักชิงซานด้วยตัวเอง การแสดงออกของสำนักจงโจวเรียกได้ว่ามีความจริงใจ

รายละเอียดต่างๆ นางย่อมต้องเป็นคนปรึกษาหารือกับเจ้าสำนักชิงซานและหยวนฉีจิงด้วยตัวเอง เชื่อว่าสำนักจงโจวจะต้องชดเชยให้เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน

เมื่อเทียบกันแล้ว การเดิมพันหินผลึกในการประลองหมากล้อมของจิ๋งจิ่วและถงเหยียนนั้นไม่มีค่าให้พูดถึงเลย

สำนักจงโจวแสดงท่าทีออกมาเช่นนี้ เหอกั๋วกงและหัวหน้าอารามหลี่ว์ถังของวัดกั่วเฉิงต่างถอนใจออกมาพร้อมกัน

พวกเขามองดูปฏิกิริยาของหนานว่าง ในใจครุ่นคิดว่าหลังจากนี้แค่เพียงทำให้เจ้าล่าเยวี่ยใจเย็นลงได้ก็พอแล้ว

หนานว่างรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวไปตามตรงว่า “ท่านคิดผิดแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ”

เหอกั๋วกงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวถามว่า “ยังมีใครอีก?”

หนานว่างกล่าว “จิ๋งจิ่ว”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ ผู้คนที่อยู่ในห้องต่างพากันตกใจ พวกเขามองว่าต่อให้จิ๋งจิ่วจะเป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่สำนักชิงซานให้ความสำคัญ ทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมากหลังการประลองหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย และได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะมาพัวพันกับเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้

แต่ลั่วไหวหนานกลับนิ่งเฉย คล้ายคาดเดาได้แต่แรกแล้ว

เยาซงซานกล่าวว่า “อาจารย์อาจิ๋งจิ่วเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างมาก”

เหล่าศิษย์ชิงซานพากันพยักหน้า

เมื่อตอนที่เพิ่งจะเข้ามายังธารสี่เจี้ยนครานั้น หลิ่วสือซุ่ยเพื่อที่จะมาพบเขาแล้ว จึงถูกกู้หานตีไปหลายที ภายหลังในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ จิ๋งจิ่วก็เอากระบี่ฟาดไปบนตัวกู้ชิงกลับไป

ในงานชุมนุมทดสอบกระบี่เมื่อปีที่แล้ว จิ๋งจิ่วจัดการเล่นงานหม่าหวาจนตกลงมายังเบื้องล่างของป่าหิน โจมตีกู้หานจนได้รับบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายกระทั่งกระบี่ของกั้วหนานซานก็ยังถูกเขาหัก ทั้งหมดนี้คือการล้างแค้น

ในเวลานี้มีข่าวส่งมาที่เรือนซีซาน

ผู้คนถึงได้รู้ว่าจิ๋งจิ่วไปที่เรือนตระกูลเจ้า

มิได้รั้งอยู่นานนัก เขาก็จากไป

ไม่มีใครรู้ว่าเขากับเจ้าล่าเยวี่ยคุยอะไรกัน

“ตอนที่เขาออกมาจากเรือนตระกูลเจ้า ได้เกิดเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้น”

อารมณ์บนใบหน้าของเหอกั๋วกงค่อนข้างซับซ้อน กล่าวว่า “มั่วซีที่เป็นศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยถูกคนหักแขนหักหา แล้วโยนไปที่เท้าของเขา”

หนานว่างมองดูลั่วไหวหนาน มิได้กล่าวกระไร

ทุกคนต่างเข้าใจความหมายของนาง

นี่คือคำอธิบายที่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมอบให้สำนักชิงซาน

หลายๆ คนรวมไปถึงเหอกั๋วกงต่างคาดเดาได้ว่าผู้ที่จัดการเรื่องนี้น่าจะเป็นกั้วตง

วิธีการจัดการเรื่องราวของเด็กหญิงผู้นั้นช่างเหมือนอาจารย์ของนางจริงๆ รุนแรงเหมือนดั่งลมตะวันตก

ลั่วไหวหนานพลันรู้สึกว่า การให้ศิษย์น้องไปกล่อมจิ๋งจิ่วเหมือนจะไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไร

……

……

หน้าประตูเรือนตระกูลเจ้า

มั่วซีนอนอยู่แทบเท้าของจิ๋งจิ่ว เนื้อตัวอาบไปด้วยเลือด

นางเงยหน้าจ้องมองจิ๋งจิ่ว ในดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเกลียดชัง

จิ๋งจิ่วยกมือบอกให้ผู้ดูแลเรือนตระกูลเจ้าเข้ามา ก่อนกล่าวว่า “ส่งกลับไปสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยสภาพเดิม ”

ในอดีตสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยสงบเงียบเรียบร้อย จนกระทั่งมีเหลียนซานเยวี่ย

ภาพเหตุการณ์ที่รุนแรงเช่นนี้ เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

เขาเองก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย

ในเมื่อได้เห็นแล้ว แค่นั้นก็พอแล้ว

จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินจากไป

มั่วซีตะโกนเสียงดังออกมา “หรือเจ้าไม่อยากรู้ว่าทำไมข้าถึงทำเช่นนี้?”

“ไม่อยาก”

จิ๋งจิ่วมิได้หยุดฝีเท้า

มั่วซีมองดูเขาหายลับไปในความมืด สีหน้าเหม่อลอย

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง บนถนนที่เงียบเชียบมีเสียงร่ำไห้อย่างเจ็บปวดดังขึ้นมา มิรู้ว่าสำนึกเสียใจหรืออย่างไรกันแน่

………………………………………………………………