ภาคที่ 2 ตอนที่ 98 เจ้าว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง

มรรคาสู่สวรรค์

จิ๋งจิ่วยืนอยู่ริมหน้าต่าง ในมือถือถ้วยชาเอาไว้ สายตามองไปยังชายหลังคาวัดไท่ฉางที่ปรากฏตะคุ่มๆ อยู่ไกลๆ นิ่งเงียบมิกล่าวกระไร

ชาในถ้วยเย็นชืดไปแล้ว

เขามิได้ชื่นชอบชา เพียงแต่ลองถือถ้วยเหมือนคนธรรมดา ด้วยคิดอยากจะใช้วิธีนี้มาช่วยให้ตนเองเข้าใจคนธรรมดาเหล่านั้น

เขากำลังคิดถึงการชดเชยของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย และคำพูดของเด็กสาวผู้นั้นก่อนที่จะจากมา

สุดท้ายเขาก็ยังคิดไม่เข้าใจ จึงส่ายศีรษะ

เรื่องราวเป็นแบบนี้แล้ว สิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ก็คือเดินต่อไปข้างหน้า เหตุใดต้องเหลียวกลับไปถามสาเหตุด้วย?

ต่อให้รู้เรื่องอดีตของเจ้า ประสบการณ์ความรู้สึกที่ผ่านมาและความผิดพลาดที่เผลอทำผิดเป็นบางครั้ง แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด เวลาไม่ควรถูกเอามาใช้กับเรื่องเหล่านี้

มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

จิ๋งจิ่วเดินจากหน้าต่างกลับเข้ามาในห้อง มือขวาลูบสร้อยข้อมือจุดเพลิงกระบี่ขึ้นมา จากนั้นปล่อยให้มันตกลงไปบนกาน้ำชา

เสียงแอ้ดดังขึ้น

พี่ใหญ่ตระกูลจิ๋งเปิดประตู

มิรู้ว่าเป็นเพราะรู้จักอีกฝ่าย หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น เขาจึงมิได้ปฏิเสธไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามา ไม่แม้กระทั่งขออนุญาตจิ๋งจิ่ว

ผู้มาเยือนเดินเข้ามาพร้อมสายลมสดชื่นยามค่ำคืน ฝีเท้าที่เหยียบลงไปบนกลีบดอกไห่ถังไม่ส่งเสียงใดๆ

เด็กสาวที่สวมชุดสีขาวใบหน้างดงาม สีหน้าดูบอบบาง แววตาใสกระจ่าง คล้ายดั่งบ่อน้ำสะอาด

ราวกับเป็นเซียนที่ลงมายังโลกมนุษย์

จิ๋งจิ่วเชิญนางนั่ง ก่อนจะยกกาน้ำชาที่เดือดขึ้นมาใหม่อีกครั้งขึ้นมา จากนั้นเทชาให้นางถ้วยหนึ่ง

เขาคิดเอาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะส่งคนมาปลอบตนเอง หรือพูดอีกอย่างก็คือกล่อมตัวเอง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนผู้นี้

ไป๋เจ่าคือบุตรสาวสองสามีภรรยาเจ้าสำนักจงโจว สถานะในเขาอวิ๋นเมิ่งมีความพิเศษ ต่อให้มองไปทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรต สถานะก็ยังสูงศักดิ์เป็นอย่างมาก

นางมาพบจิ๋งจิ่ว ต้องบอกเลยว่าสำนักจงโจวแสดงออกถึงความเคารพเป็นอย่างมาก

ไป๋เจ่ากล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

นางคิดไม่ถึงว่ารสชาติของชาถ้วยนี้จะย่ำแย่ถึงเพียงนี้

ต่อให้สำนักชิงซานจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ แต่พวกเขาก็มีเรือนเป่าซู่คอยรับใช้อยู่ ไม่ว่ายังไงก็ไม่น่าจะดื่มชาแบบนี้หรือเปล่า…

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเห็นได้ชัดว่าชานี้ชงไม่ถูกต้อง

ชาที่เย็นชืดไปแล้วถูกเพลิงกระบี่ต้มใหม่อีกครั้ง รสชาติย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน

จิ๋งจิ่วไม่รู้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เขานึกว่านางไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร จึงกล่าวไปว่า “เชิญว่ามา”

ไป๋เจ่าครุ่นคิด ที่แท้ก็เป็นคนใจร้อน ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นตัวเองก็เปลี่ยนแปลงวิธีเจรจาหน่อยแล้วกัน

“โอกาสที่เว่ยเฉิงจึจะบรรลุขั้นจิตก่อรูปช่วงท้ายนั้นมีน้อยมาก ทางสำนักจึงมิได้สนับสนุนเขามากเท่าไร แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักจงโจว มีโอกาสน้อยมากที่จะถูกซื้อตัวไป การที่ปู้เหล่าหลินสามารถทำเช่นนี้ได้ แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของพวกเขาแผ่ออกไปไกลกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้ สิ่งที่ยุ่งยากมากที่สุดก็คือตอนนี้ดูเหมือนปู้เหล่าหลินอาจจะมีความสัมพันธ์กับเผ่าหมิงแล้วด้วย”

นางมองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “ดังนั้นความคิดของพวกเราคือ การสืบคดีนี้ควรจะระมัดระวังขึ้นอีกหน่อย”

สำนักชิงซานและสำนักจงโจวต่างก็เป็นผู้นำของโลกบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะ ดังนั้นย่อมสมควรตรวจสอบคดีที่เจ้าล่าเยวี่ยถูกลอบสังหารจากทั่วทุกมุมมอง จากนั้นค่อยทำการวิเคราะห์ที่เหมาะสมที่สุดออกมา

จิ๋งจิ่วเข้าใจในสิ่งที่นางพูด เพียงแต่ตัวเขามิถนัดทำการตัดสินใจเรื่องเหล่านี้ พูดอีกอย่างคือไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญ จึงกล่าวว่า “เหตุใดจึงมาหาข้า?”

“ข้าได้ยินศิษย์พี่ลั่วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนดอกเหมยเก่า ถึงแม้นเขาและข้าจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ดูแล้วเหมือนเจ้าแห่งยอดเขาล่าเยวี่ยจะให้ความสำคัญกับความเห็นของเจ้าอย่างมาก”

เสียงของไป๋เจ่าอ่อนโยน น้ำเสียงดูจริงใจเป็นอย่างมาก “หากช่วงนี้เจ้ายอมใจเย็นอยู่เฉยๆ ก่อน บางทีนางก็น่าจะยอมเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ก็คงจะไม่วุ่นวายอะไร”

จิ๋งจิ่วกล่าว “พวกเจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าเว่ยเฉิงจึเป็นคนของปู้เหล่าหลิน?”

ไป๋เจ่ากล่าว “ขอโทษด้วย เรื่องนี้มิสะดวกที่จะพูด”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ต่อให้พวกข้าไม่พูดอะไร แต่อาจารย์ในชิงซาน รวมไปถึงพ่อแม่ของเจ้าอาจจะปล่อยปู้เหล่าหลินไป”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าของไป๋เจ่าพลันมีรอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นมา

จิ๋งจิ่วรู้ว่ารอยยิ้มนี้มิใช่ยิ้มให้ตน อย่างนั้นยิ้มให้ใคร?

ไป๋เจ่ามองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่นอกหน้าต่าง จากนั้นกล่าวเสียงเบาๆ ว่า” ข้ารู้จักพ่อแม่ของข้า แล้วก็รู้จักเหล่าอาจารย์ของเจ้า เพราะโดยเนื้อแท้แล้วพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน พวกเขาไม่มีทางยอมที่จะเปิดศึกง่ายๆ อย่างแน่นอน เพราะปู้เหล่านั้นจัดการได้ไม่ง่าย ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขาเคยชินกับการบำเพ็ญพรตอย่างเงียบๆ แล้ว”

เดิมทีคำกล่าวที่ว่าไม่ถูกเรื่องในโลกภายนอกรบกวนนั้นมีความหมายสองชั้น โดยความหมายในชั้นที่มีความสำคัญกว่าก็คือไม่ยอมถูกโลกภายนอกรบกวน

จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของนาง เพราะเขาเองก็เป็นคนแบบนี้

ผู้บำเพ็ญพรตเมื่อเดินมาถึงช่วงกลางและช่วงปลายของชีวิตอันยาวนาน ท่าทีที่มีต่อโลกย่อมต้องแตกต่างไปจากผู้บำเพ็ญพรตวัยเยาว์ มุมมองที่มีย่อมต้องยิ่งแตกต่างไปจากคนธรรมดาอย่างสิ้นเชิง

เพราะการนิ่งเงียบของเขา ไป๋เจ่าเลยเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง นางจึงกล่าวอีกประโยคว่า

“พวกเราเพียงแต่ขอให้ช่วงนี้เจ้าอยู่เฉยๆ ไปก่อน เพื่อจะได้ไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่าเดิม ความจริงพวกเราเตรียมพร้อมที่จะเปิดศึกกับปู้เหล่าหลินแล้ว”

จิ๋งจิ่วรู้ว่านางหมายถึงอะไร

เมื่อครู่ที่เขาถามนางว่าแน่ใจแล้วหรือว่าเว่ยเฉิงจึเป็นคนของปู้เหล่าหลินก็เป็นการยืนยันอย่างหนึ่ง

หลายปีก่อน ที่หลิ่วสือซุ่ยกินตานปีศาจเม็ดนั้นเข้าไปในแม่น้ำจั๋วนอกเมืองเฉาหนานก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเตรียมพร้อมนี้

เขาเพียงแต่ไม่แน่ใจว่า พวกเราที่ไป๋เจ่าเอ่ยถึงอยู่บ่อยครั้งนั้น…คือใคร

เขาถามว่า “พวกเจ้าเป็นใคร?”

ไป๋เจ่ามองเขาอย่างเงียบๆ มองอยู่เป็นเวลานาน

ภายในห้องเงียบสงัด

กาน้ำชาเหล็กที่ผ่านความร้อนสลับเย็นอย่างรุนแรงส่งเสียงของโลหะดังออกมาเบาๆ

ในขณะที่จิ๋งจิ่วคิดว่านางจะไม่พูดอะไร เสียงของนางพลันดังขึ้น

“ศิษย์พี่ลั่ว ถงเหยียน ข้า หว่านซูและศิษย์ร่วมสำนักอีกจำนวนหนึ่ง ถงหลูของสำนักกระบี่ซีไห่ สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย วัดกั่วเฉิง สำนักคุนหลุน ศิษย์รุ่นเยาว์จำนวนหนึ่งในวัดทงฮว่า”

ไป๋เจ่ากล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ในสำนักชิงซานของพวกเจ้า กั้วหนานซาน เจี่ยนหรูอวิ๋น กู้หาน หม่าหวา แล้วก็ยังมีศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างอีกจำนวนหนึ่ง”

นี่คือความเชื่อมั่นและความจริงใจอย่างที่ยากจะเข้าใจได้

ในเวลานี้จิ๋งจิ่วถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดลั่วไหวหนานและถงเหยียนจึงไม่ชอบตนเอง

“เจ้าก่อตั้ง…แบบนี้ขึ้นมา มีจุดประสงค์อะไร”

เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะเรียกสิ่งที่ศิษย์อัจฉริยะของแต่ละสำนักก่อตั้งขึ้นมานี้ว่าอะไร

“ความคิดของพวกเราไม่เหมือนกับเหล่าอาจารย์ แต่พวกเราอายุยังน้อย ยังไม่แข็งแกร่งพอ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องช่วยกันและกัน”

“ไม่เหมือนกันตรงไหน?”

“เมื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากแคว้นเสวี่ย มนุษย์จำเป็นต้องสามัคคีกัน ยิ่งไปกว่านั้นต้องเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่าง มิอาจเอาแต่เก็บตัวบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าลึกได้”

ไป๋เจ่ากล่าวว่า “การจะหลุดพ้นจากโลกได้ มันก็ต้องทำให้โลกนี้ปลอดภัยเสียก่อน มิฉะนั้นมันก็จะกลายเป็นการหลบหนีความจริงของโลก”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ที่แท้พวกเจ้าต่างก็เป็นสาวกของเทพดาบ”

ไป๋เจ่ากล่าว “ไม่ พวกข้าเคารพเทพดาบ แต่ก็รู้สึกว่าการที่เขาทำเช่นนั้นมันลำบากยากเข็ญเกินไป ไม่มีใครช่วยเหลือ สุดท้ายก็ยากจะทำการใหญ่ได้สำเร็จ”

จิ๋งจิ่วกล่าว “มีเหตุผล ถึงแม้เขาอาจจะไม่ได้คิดทำการใหญ่อะไรก็ตาม”

ไป๋เจ่างุนงงเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงเจตนาที่มาในวันนี้ จากนั้นกล่าวว่า “ความจริงเมื่อหลายปีก่อน พวกเราก็เริ่มให้ความสนใจเจ้ากับเจ้าล่าเยวี่ยแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง…”

นี่ย่อมต้องหมายถึงเรื่องที่จิ๋งจิ่วและศิษย์ชิงซานเป็นศัตรูกัน

จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของนาง จึงส่ายศีรษะ

ไป๋เจ่านึกว่าเขากำลังหวาดกลัวอะไรอยู่ จึงกล่าวว่า “เหล่าอาจารย์รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเรา แล้วก็น่าจะอยากดูว่าพวกเราจะทำอะไรได้บ้าง”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นี่ก็คือยอดเขาเหลี่ยงว่างที่ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น”

“จะเข้าใจแบบนั้นก็ได้”

“ข้าไม่ชอบยอดเขาเหลี่ยงว่าง ดังนั้นย่อมไม่ชอบพวกเจ้าด้วยเช่นกัน”

“ไม่จำเป็นต้องชอบ ขอเพียงให้ความร่วมมือก็พอ ระหว่างสำนักฝ่ายธรรมะด้วยกัน โดยเฉพาะระหว่างสำนักชิงซานและสำนักจงโจวของข้านั้นไม่มีเหตุผลอะไรต้องเป็นศัตรูกัน หรือจะมาทะเลาะกันเพราะเรื่องแค่นี้? นี่มันช่างน่าเบื่อสิ้นดี ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องราวครั้งนี้ ข้ามักจะรู้สึกว่ามีคนต้องการบีบให้พวกเราเปิดฉากโจมตีปู้เหล่าหลินเร็วกว่าที่วางแผนไว้ จากนั้นก็ฉกฉวยผลประโยชน์จากเรื่องนี้”

เสียงของไป๋เจ่าอ่อนโยน ราวกับถูกอากาศช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่ชุ่มชื้นห่อหุ้มเอาไว้ ฟังแล้วรู้สึกสบาย จริงใจ และมีความน่าเชื่อถือ

ในใจจิ๋งจิ่วครุ่นคิดว่าความรู้สึกของเจ้าน่าจะถูกต้อง จากนั้นคิดถึงหลิ่วสือซุ่ยที่เวลานี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ใดขึ้นมา

“ข้ารับปากเจ้าว่าจะไม่ทำอะไรปู้เหล่าหลิน ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงอีก”

นี่คือการปฏิเสธคำเชิญของเหล่าอัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญพรตอย่างชัดเจน

ไป๋เจ่ามิได้มีสีหน้าผิดหวัง แล้วก็มิได้โกรธ นางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”

สำหรับนางแล้ว เรื่องนี้ต่างหากถึงจะเป็นประเด็นสำคัญที่นางมาเยือนเรือนตระกูลจิ๋งในวันนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว การพูดกล่อมและเชิญชวนก่อนหน้านี้คล้ายเป็นเพียงข้ออ้างมากกว่า

จิ๋งจิ่วกล่าว “เชิญว่ามา”

ไป๋เจ่ามองดูดวงตาเขา พลางกล่าวถามว่า “เจ้ากับเจ้าล่าเยวี่ยเป็นคู่รักบำเพ็ญพรตหรือ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่ใช่ แล้วพวกเราก็ไม่ได้มีความคิดแบบนี้”

ไป๋เจ่าลุกขึ้นยืน ยื่นมือทั้งสองข้างออกมา ก่อนจะหมุนตัวอย่างช้าๆ

แสงดาวลอดผ่านหน้าต่าง ตกกระทบลงบนตัวนาง

กระโปรงสีขาวพลิ้วไหวแผ่วเบา มิใช่การเต้นระบำ รูปร่างมิได้อ่อนช้อยงดงามอะไรมากนัก แต่กลับมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง

นางมองจิ๋งจิ่ว วางท่าคล้ายเชิญให้ผู้ชายเชยชม ก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นเจ้าว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

……………………………………………………………………