จิ๋งจิ่วมองนางพลางคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่
คืนนี้เพิ่งจะพบกันเป็นครั้งแรก อย่างนั้นควรจะเริ่มวิจารณ์จากตรงไหนดี?
แต่ไหนแต่ไรมาใบหน้ามิใช่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญ ส่วนในคำพูดที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ นิสัยที่เด็กสาวแสดงออกมาก็ล้วนแต่ไม่เลว
ปัญหาอยู่ที่ว่า ความเห็นที่ข้ามีต่อเจ้ามันสำคัญมากนักหรือ?
จนกระทั่งเขาคิดถึงเรื่องที่ไป๋เจ่าถามเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเจ้าล่าเยวี่ยว่าใช่คู่รักบำเพ็ญพรตหรือไม่ เขาถึงได้เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
เขากล่าวว่า “ข้าไม่มีทางคิดเรื่องเหล่านี้ นี่มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าเจ้าเป็นอย่างไร”
“นี่แสดงให้เห็นว่าสำหรับเจ้าแล้ว ข้าก็ถือว่าไม่เลว”
ดวงตาของไป๋เจ่าพลันเปล่งประกายออกมา คล้ายสายธารที่แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องสว่าง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่ามีคนเคยบอกว่า ลั่วไหวหนานกับถงเหยียนล้วนแต่มีโอาสที่จะกลายเป็นคู่รักบำเพ็ญพรตของเจ้า”
ไป๋เจ่าอธิบายเสียงเบา “ ศิษย์พี่ลั่วเป็นศิษย์ของพ่อข้า ถงเหยียนเป็นศิษย์ของแม่ข้า พ่อแม่ของข้ามีความคิดของพวกเขา แต่นั่นไม่ใช่ความคิดของข้า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เหตุใดเจ้าถึงไม่เลือกพวกเขา?”
ไม่ว่าจะมองอย่างไร ลั่วไหวหนานกับถงเหยียนก็ล้วนแต่เป็นตัวเลือกในการกลายเป็นคู่รักบำเพ็ญพรตที่ดีที่สุดของนาง นอกเสียจากจัวหรูซุ่ยและกั้วหนานซานจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแข่งขันนี้ด้วย
ไป๋เจ่ายิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “เพราะข้าไม่ชื่นชอบพวกเขา”
จิ๋งจิ่วพลันรู้สึกว่าเรื่องนี้เหมือนจะยุ่งยากขึ้นมาแล้ว จึงกล่าวว่า “หรือว่าเจ้าชอบข้า?”
เจอหน้ากันครั้งแรกก็พูดว่าชอบเสียแล้ว นี่มันออกจะน่าขันไปเสียหน่อย
ไป๋เจ่ายิ้มอย่างมีเสน่ห์ขึ้นมา กล่าวว่า “ใช่”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ชอบอะไร?”
ไป๋เจ่ากล่าว “ข้าชอบที่เจ้าเล่นหมากล้อม หมากของเจ้างดงามอย่างมาก ถึงแม้เจ้าจะยืนกรานคิดว่าวิถีแห่งหมากนั้นเป็นแค่เกม มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับความงดงามและความน่าเกลียด”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หลังจากนี้ข้าอาจจะไม่เล่นหมากล้อมอีกแล้ว”
ไป๋เจ่ากล่าว “ได้ยินว่าพรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของเจ้าเป็นที่หนึ่งในชิงซาน? ข้าเองก็ชอบอย่างมาก”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าไม่ค่อยใช่กระบี่”
ไป๋เจ่ากล่าว “ครั้งนี้ข้าทิ้งการวาดรูป ลงประลองเขียนพู่กัน ก็เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากหมากกระดานนั้นของเจ้า ได้ยินว่าในชิงซานเจ้ามีศิษย์อยู่คนหนึ่งที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “กู้ชิง…ถูกต้อง แต่นั้นเป็นเพราะนิสัยของเขาดี มิได้เกี่ยวอะไรกับข้า”
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ข้าชอบท่าทีที่ไม่สนใจต่อทุกสิ่งของเจ้ามากที่สุด อาจเป็นเพราะเรื่องที่ข้าสนใจมีอยู่มากมาย จึงทำเหมือนเจ้าไม่ได้ ก็เลยรู้สึกว่าเจ้าดีมาก”
จิ๋งจิ่วรู้ว่าการจะเปลี่ยนแปลงนิสัยที่เกียจคร้านของตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก จึงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ความจริงแล้ว…ข้าบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบาก”
แม้นจะตอบปฏิเสธไปสี่ครั้งติด ไป๋เจ่ายังคงมิโกรธเคือง นางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ข้าชอบเจ้าที่เป็นอย่างนี้มากที่สุด”
จิ๋งจิ่วไม่กล่าวอะไรอีก เพราะจะให้เขาใช้กระบี่มิคำนึงกรีดใบหน้าตนเองก็คงเป็นไปไม่ได้
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “ข้าพรสวรรค์ไม่เพียงพอ บำเพ็ญเพียรยากลำบาก ภายนอกดูอ่อนแอบอบบาง แต่นิสัยกลับเป็นคนตรงๆ หวังว่าเจ้าจะไม่คิดว่าข้าล่วงเกิน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เข้าใจ ข้าเองก็จะพูดตรงๆ เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้”
……
……
ไป๋เจ่าจากไป
จิ๋งจิ่วยกถ้วยชาขึ้นมา เขาเดินไปที่ริมหน้าต่างอีกครั้ง ทอดมองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน
ชายังคงเย็นชืด
หลังเขากล่าวประโยคนั้นออกไป ไป๋เจ่ามิได้กล่าวกระไรอีก นางเพียงแต่มองดูเขา
เขาไม่รู้ว่าควรจะใช้คำพูดอะไรมานิยามสายตาแบบนั้น —- เย็นชา? หรือว่าเยือกเย็น?
แต่เขาเข้าใจสายตาของนาง
เพราะในช่วงเวลาอันยาวนานในอดีต เขาพบเจอสายตาแบบนี้มาแล้วมากมาย จนกระทั่งเก็บตัวอยู่ในยอดเขาเสินม่อถึงได้พบเจอน้อยลง
ถูกต้อง เขาเก็บตัวอยู่ในยอดเขาเสินม่อ ไม่ยอมออกมาเป็นเวลาหลายสิบปี ก็เป็นเพราะรู้สึกว่าสายตาแบบนี้มันยุ่งยาก
จนกระทั่งในตอนนี้ เป็นเพราะสายตาเหล่านั้น เขาถึงพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่บางแห่ง อาทิเช่นยอดเขาชิงหรง…
คิดไม่ถึงว่ามาร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในครั้งนี้ เขายังจะมาเจอกับสายตาแบบนี้อีก
ไป๋เจ่าเป็นเด็กหญิงที่ชื่นชอบการใช้ชีวิต แตกต่างกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนแออย่างสิ้นเชิง
ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก
ทำให้คนรู้สึกชื่นชม
แล้วเขาจะทำอย่างไรได้?
หรือจะทำเหมือนอย่างอดีต หาวิธีหลีกหนีเป็นพอ
……
……
รุ่งเช้าวันที่สอง จิ๋งจิ่วตื่นขึ้นมาจากเก้าอี้ไม้ไผ่
ครั้งนี้เขาไม่ลืมที่จะนำเอาเก้าอี้ออกมาด้วย เขาจึงไม่ค่อยได้นอนบนเตียง
แสงแดดสาดลงมาบนต้นไห่ถังที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง ดอกไห่ถังกำลังจะร่วงโรยจนหมดแล้ว สีเขียวยิ่งดูเด่นชัด ทำให้ดวงตารู้สึกสบายเช่นเดียวกัน
เขาหยิบเอากระบี่เหล็กลงมาจากชั้นวางหนังสือ ใช้มือเรียกเพลิงกระบี่ออกมาล้างหน้า ก่อนจะออกจากเรือนตระกูลจิ๋งไป
เป็นเพราะกังวลว่าเขาจะก่อความวุ่นวาย จึงมีศิษย์ชิงซานคอยจับตาดูเรือนตระกูลจิ๋งเอาไว้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็มีกองกำลังอื่นคอยจับตาดูที่นี่เอาไว้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่เห็นจิ๋งจิ่วตอนที่ออกไปจากเรือน
เวลาที่จิ๋งจิ่วอยากจะหายตัวไป ไม่มีใครรับรู้ถึงกลิ่นอายของเขาได้
เหมือนกับตอนที่ยอดฝีมือของยอดเขาปี้หูจะสังหารเจ้าล่าเยวี่ยบนยอดเขาอวิ๋นสิงครั้งนั้น
……
……
ซอยแปลกหน้าธรรมดา บ้านคนธรรมดา
จิ๋งจิ่วเปิดประตูรั้วเข้าไป เขามองเห็นไก่สองตัวที่กำลังก้มหน้าจิกอาหารบนพื้น
ไก่สองตัวนั้นผอมแห้ง เศษแกลบและผักกวางตุ้งบนพื้นที่ถูกจิกจนเหลือแต่ก้านแสดงให้เห็นว่าอาหารในเวลาปกติของพวกมันนั้นแย่อย่างมาก
สายตาของจิ๋งจิ่วกวาดตาดูรอบบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน
เขามองชายที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะผู้นั้น ก่อนกล่าวถามว่า “ใครใช้ให้เจ้าทำ?”
……
……
ในช่วงสองวันมานี้ ซือเฟิงเฉินมิได้ว่างงานเหมือนอย่างเมื่อหลายวันก่อนอีก เพราะคดีที่เจ้าล่าเยวี่ยถูกลอบสังหาร เขาจึงต้องค้นหาทั่วทุกที่ในเมืองเจาเกอ กลับมาในเมืองก็ต้องยุ่งวุ่นวายกับการตรวจทานเอกสาร เมื่อคืนกลางดึกเขาถึงได้กลับมาที่บ้าน นั่งอ่านเอกสารที่เก็บเอาไว้ก่อนหน้านี้สองสามรอบ ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน
เมื่อได้ยินเสียงพูด เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ ขยี้ตาที่ยังงัวเงียอยู่
ภาพที่ดูเลือนรางค่อยๆ ชัดเจนขึ้น กลายเป็นคนรูปร่างสูงผู้หนึ่ง
จากนั้นเขาก็ได้เห็นใบหน้าที่ไม่มีทางลืมเลือนได้ใบหน้านั้น ทั่วทั้งร่างเหมือนถูกน้ำเย็นราดใส่ ดวงตาสว่างขึ้นมาในพริบตา
……
……
คดีในหุบเขาหมิงชุ่ยทำให้เกิดการคาดเดาและการถกเถียงกันมากมาย
มือสังหารได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นเว่ยเฉิงจึ ผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจว
เช่นนั้นผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคือใคร?
จนถึงตอนนี้ พระสนมหูคือผู้ที่ถูกสงสัยมากที่สุด
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่านางมีความแค้นกับเจ้าล่าเยวี่ย เรียกได้ว่าเป็นความแค้นที่ไม่มีวันคลี่คลาย
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักจงโจวมาโดยตลอด อาศัยสถานะภายในวังของนาง ก็มีโอกาสที่จะพูดโน้มน้าวผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจวได้สำเร็จอยู่
มีคนส่วนน้อยที่แน่ใจแล้วว่าเว่ยเฉิงจึคือมือสังหารของปู้เหล่าหลิน อย่างนั้นใครกันที่จ้างปู้เหล่าหลินมาได้?
เพราะเศษเพลิงวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่ในหุบเขาหมิงชุ่ย หลายคนจึงสงสัยว่านี่จะเป็นแผนชั่วของดินแดนหมิงหรือไม่
ดินแดนหมิงอาจจะอยากฉวยโอกาสจากเรื่องนี้ ยุยงให้เกิดการปะทะกันสองสำนักใหญ่ที่เป็นผู้นำของสำนักฝ่ายธรรมะ จากนั้นหาประโยชน์จากตรงนี้
แต่เหล่านี้ก็เป็นได้เพียงการคาดเดา เพราะไม่มีหลักฐาน
ความจริงเป็นเหมือนท้องฟ้าที่ถูกหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนบดบังเอาไว้ รู้อยู่ว่าอยู่ตรงนั้น แต่กลับมองไม่เห็น
ไม่มีใครเชื่อมโยงซือเฟิงเฉินกับคนวางแผนการลอบสังหารครั้งนี้เข้าด้วยกัน ถึงแม้เขาจะเคยนำเหล่ายอดฝีมือของกรมชิงซานไปไล่จับเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วอยู่เป็นเวลานาน ถึงแม้เขาจะเคยกล่าวคำวาจาดุร้ายกับเจ้าล่าเยวี่ยต่อหน้าผู้บำเพ็ญจำนวนมากในงานเลี้ยงซื่อไห่
ก็เป็นเจ้าหน้าที่นี่นา…ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของราชสำนัก ย่อมต้องพูดคำพูดเหล่านั้นอยู่แล้ว
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของกรมชิงเทียนที่ถูกกีดกันจะมีความสามารถอะไรคุกคามสำนักชิงซาน? จะมีปัญญาอะไรไปทำเรื่องใหญ่แบบนั้น?
ในคำว่าเจ้าหน้าที่ กลับไม่มีคำว่าความกล้าอยู่
ไม่มีใครเคยสงสัยซือเฟิงเฉิน
แต่จิ๋งจิ่วกลับมาหาเขาที่บ้าน แล้วถามคำถามแบบนี้
สีหน้าของเขาเรียบเฉย น้ำเสียงเองก็ราบเรียบ แต่กลับมีความรู้สึกที่ไม่อาจโต้แย้งได้อยู่
………………………………………