ภาคที่ 2 ตอนที่ 100 ทั่วทั้งโลกเหลือเพียงความเงียบสงัด

มรรคาสู่สวรรค์

ดวงตาของซือเฟิงเฉินหรี่ลงเล็กน้อย เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่”

เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมั่นใจว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“เมื่อคืนนี้ ข้าได้คำนวณความเป็นไปได้ต่างๆ เนื่องเพราะมีตัวแปรบางอย่าง จึงไม่สามารถคำนวณผลที่แน่ชัดออกมาได้

จิ๋งจิ่วกล่าว “แต่ข้าคิดว่า เจ้าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

ดวงตาของซือเฟิงเฉินยิ่งหรี่เล็กลง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสี “แค่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วบุกเข้ามากล่าวโทษข้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ของราชสำนักอย่างนั้นหรือ? อาศัยเพียงการคาดเดาก็มั่นใจว่าต้องเป็นเช่นนั้น หรืออาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วก็เล่นหมากล้อมแบบนี้?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ใช่”

ซือเฟิงเฉินยิ้มเยาะไม่กล่าวกระไร

จิ๋งจิ่วกล่าว “ตอนนี้ไม่ใช่การคาดเดาแล้ว ทั้งการหายใจ การเต้นของหัวใจ เสียง และการตอบสนองต่างๆ ของเจ้าล้วนแต่บอกว่าเจ้ามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้”

ม่านตาของซือเฟิงเฉินหดเล็กลง

จิ๋งจิ่วกล่าว “รวมไปถึงการตอบสนองนี้ด้วย”

ภายในบ้านเงียบสงัด

ไก่ผอมสองตัวส่งเสียงร้องออกมา เสียงกุ๊กๆ ฟังดูไม่มีชีวิตชีวา

ซือเฟิงเฉินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

จากนั้นเขาลุกขึ้นยืน จัดระเบียบชุดเจ้าหน้าที่บนร่างกาย กล่าวว่า “ใช่ ข้าคือคนที่วางแผนเรื่องนี้เอง”

น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย สีหน้าดูราบเรียบเป็นอย่างมาก

มิทันรอให้จิ๋งจิ่วถามต่อ เขากล่าวออกมาต่อว่า “มือสังหารของปู้เหล่าหลินข้าเป็นคนจ้างมาเอง คนที่คอยประสานงานอยู่ในร้านสุราเล็กๆ แห่งหนึ่ง แต่เวลานี้เขาน่าจะหนีไปแล้ว หากจะบอกว่ามีอะไรที่เหนือความคาดหมาย ก็คงเป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่ถึงว่ามือสังหารของปู้เหล่าหลินจะเป็นผู้อาวุโสของสำนักจงโจว ข้ามั่นใจเป็นอย่างมากว่านี่มิใช่ความคิดของสำนักจงโจว อีกทั้งข้ายังเริ่มรู้สึกแล้วว่าข้าถูกปู้เหล่าหลินหลอกใช้หรือเปล่า เจ้าน่าเข้าใจความหมายของข้า”

ต่อให้เป็นคนร้ายที่ขี้ขลาดที่สุดก็ยังไม่สารภาพออกมาจนหมดแบบนี้

ในความใจเย็นของซือเฟิงเฉินมีความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างมากอย่างหนึ่งแฝงอยู่

จิ๋งจิ่วมิได้รู้สึกอะไร เป็นเพราะเขามิได้ใส่ใจ จากนั้นกล่าวว่า “ในเวลานี้ยังกังวลว่าสำนักฝ่ายธรรมะจะต่อสู้กัน ทำให้ราชสำนักสั่นคลอน ดูเหมือนเจ้าจะเป็นขุนนางที่จงรักภักดี”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องมาติดร่างแหไปด้วย”

ซือเฟิงเฉินเงยหน้าขึ้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งทะนงว่า “ข้าไม่เหมือนกับพวกเจ้า ถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญพรตด้วยกัน แต่ข้าไม่เคยฝึกตัดขาดความรู้สึกมาก่อน”

จิ๋งจิ่วมิได้สนใจว่าการเคลื่อนไหวของเขาเหล่านี้ต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด เขากล่าวว่า “บอกชื่อคนที่คอยหนุนหลังเจ้ามา”

ซือเฟิงเฉินยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “มีคนหนุนหลังอะไรที่ไหนกัน ก็แค่ข้าต้องการฆ่านางเท่านั้น เขาเองก็รู้เรื่องนี้ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาข้าถึงที่”

จิ๋งจิ่วกล่าว “หากเว่ยเฉิงจึเป็นคนของปู้เหล่าหลิน อาศัยเพียงเจ้าไม่มีทางจ้างเขามาได้”

ซือเฟิงเฉินสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขานิ่งเงียบมิกล่าวกระไร

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ารู้ว่าเป็นจิ่งซิน”

แขนเสื้อของซือเฟิงเฉินกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงพูดคำตอบออกมาอย่างมั่นใจขนาดนี้

“เจ้าไม่มีหลักฐาน ต่อให้เจ้าเป็นวิชาค้นหาวิญญาณของพรรคมาร สิ่งที่ได้มาเหล่านั้นก็เป็นได้แค่เพียงคำพูดไร้สาระ ไม่อาจถูกยอมรับได้”

เขามองดูสีหน้าจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวเสียงแข็งว่า “ต่อให้ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ถูกไข่มุกซู่หลิวของสำนักชิงซานบันทึกเอาไว้ มันก็มิอาจถูกยอมรับได้เช่นกัน เพราะว่ามันไม่มีเสียง”

ในโลกนี้มีเพียงไข่มุกหวนเทียนของสำนักจงโจวเท่านี้ถึงจะสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์และเสียงเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ของล้ำค่าแบบนั้นย่อมไม่มีทางมาอยู่ในมือศิษย์ชิงซานที่อายุยังน้อยคนหนึ่งแน่นอน

จิ๋งจิ่วกล่าว “ที่แท้เจ้าคิดไม่ว่าไม่มีหลักฐาน จึงไม่รู้สึกกังวล”

ซือเฟิงเฉินกล่าว “ถูกต้อง”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าทำอะไรไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน”

ซือเฟิงเฉินนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “พวกผู้บำเพ็ญพรตอย่างพวกเจ้า แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนแต่เป็นแบบนี้ ข้ากลับมิรู้สึกแปลกใจ”

จิ๋งจิ่วสืบเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

ซือเฟิงเฉินกล่าว “ดูเหมือนข้าคงจะต้องตายแน่นอนแล้ว ก่อนข้าตาย เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงอยากฆ่าเจ้าล่าเยวี่ยเพียงคนเดียว แต่กลับไม่เคยกังวลเรื่องเจ้า”

เมื่อคืนตอนที่อยู่หน้าเรือนตระกูลเจ้า มั่วซีแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยก็กล่าวคำพูดทำนองนี้ แต่จิ๋งจิ่วมิได้ฟัง ทว่าวันนี้เขากลับหยุดฝีเท้า

“เพราะข้าเคยศึกษาเจ้า ข้าพบว่าเจ้าไม่เหมือนกับเจ้าล่าเยวี่ย เจ้ามิได้มีความรู้สึกใดๆ ต่อโลกใบนี้ เฉยชาอย่างถึงที่สุด”

ซือเฟิงเฉินกล่าวว่า “คนปกติอาจจะรู้สึกว่าคนอย่างเจ้าค่อนข้างไร้หัวใจ มีแต่เจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนอย่างพวกข้าถึงจะรู้ว่าผู้บำเพ็ญพรตอย่างเจ้ากลับมิได้มีผลร้ายอะไรต่อโลกนี้ แต่เจ้าล่าเยวี่ยนั้นไม่เหมือนกัน นางยังคงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความรักต่อโลกนี้ นางคิดว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้”

จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของเขา จากนั้นจึงคิดถึงเหล่าคนหนุ่มสาวที่ไป๋เจ่าพูดถึงเมื่อคืนนี้ จากนั้นกล่าวว่า “ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่เหมือนนางยังมีอยู่อีกมาก”

ซือเฟิงเฉินกล่าว “ถูกต้อง แต่ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวเหล่านั้นมิได้ชื่นชอบการเข่นฆ่าเหมือนอย่างนาง”

จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร

“ข้าคอยเฝ้าระวังผู้บำเพ็ญพรต เพราะพละกำลังของพวกเจ้ามากเกินไป เพียงแค่ขยับ สำหรับคนธรรมดาแล้วนั่นอาจจะเป็นหายนะที่ร้ายแรงที่สุดก็เป็นได้”

ซือเฟิงเฉินจ้องมองดวงตาของเขา กล่าวว่า “เจ้าล่าเยวี่ยมิเพียงจะไม่หวาดกลัวที่จะฆ่าคน แต่นางยังทำทุกอย่างเพื่อจะได้ฆ่าคนด้วย เส้นทางการบำเพ็ญพรตของนางคือหายนะที่ร้ายแรงที่สุด”

ถ้าคนที่ถูกกล่าวหาคือตนเอง จิ๋งจิ่วคงไม่มีทางสนใจเป็นแน่ แต่เมื่อคนที่ถูกกล่าวว่าคือเจ้าล่าเยวี่ย เขากลับพูดแทนนางสองสามประโยค

“คนที่เจ้าล่าเยวี่ยฆ่าล้วนแต่เป็นคนชั่ว”

ซือเฟิงเฉินยิ้มเยาะพลางกล่าว “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าควรให้ผู้บำเพ็ญพรตอย่างพวกเจ้าเป็นคนกำหนดบรรทัดฐานความดีความชั่วดีหรือไม่ ต่อให้คนที่นางฆ่าล้วนแต่เป็นคนชั่ว เป็นปีศาจ แต่แบบนี้น่ะหรือคือการทำความดี? ครานั้นเจ้าและเจ้าล่าเยวี่ยสังหารนักเลงของหอนางโลมที่เมืองซางโจวไปสองสามคน หลังจากนั้นข้าได้ตรวจสอบดูจึงพอเข้าใจว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงทำเช่นนั้น ผู้บำเพ็ญพรตผู้สูงส่งเดินทางผ่านมาเพียงสะบัดมือ แล้วจะเปลี่ยนชีวิตอันน่ารันทดของคนธรรมดาคนหนึ่ง? พวกเจ้าคิดว่าทำแบบนั้นแล้วจะช่วยชีวิตเด็กสาวคนนั้นได้หรือ? อย่างนั้นเจ้ารู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เด็กสาวคนนั้นใช้ชีวิตที่น่ารันทดอย่างไร? ทำความดีอะไรกัน ก็แค่เติมเต็มความกระหายที่จะได้ช่วยเหลือมนุษย์เท่านั้น จอมปลอม น่าขยะแขยง!”

จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างเรียบเฉย “ถูกต้อง ตอนนั้นข้าก็เคยบอกนางแล้ว อย่างนั้นเจ้าล่ะ? หลังเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วทำอะไรบ้าง?”

รอยยิ้มบนใบหน้าซือเฟิงเฉินค่อยๆ หดหายไป

จิ๋งจิ่วกล่าว “หากเจ้าทำอะไรบ้าง สาวน้อยคนนั้นน่าจะขอบคุณเจ้า หากไม่ได้ทำ เจ้าก็ไม่สมควรถูกตำหนิ ก็เหมือนกับล่าเยวี่ย”

ซือเฟิงเฉินนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ก่อนกล่าวว่า “บางทีเจ้าอาจจะพูดถูก ข้าเพียงแค่กลัวนางมากเกินไปเท่านั้น”

จิ๋งจิ่วกล่าวถาม “กลัวอะไร?”

“ข้ากลัวว่านางจะกลายเป็นนักพรตไท่ผิงคนที่สอง”

เสียงของซือเฟิงเฉินสั่นเครือขึ้นมา “เจ้าน่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงพูดแบบนี้ เจ้าเพียงแต่รู้ไว้ว่า…น่าเวทนา โลกมนุษย์น่าเวทนา”

จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบ

เขาย่อมต้องรู้

ในปีนั้น ทั่วทั้งโลกมนุษย์มิได้ยินเสียงกลองรบ

เงียบสงัด เหลือเพียงความเงียบสงัด

เงียบเชียบไร้ซุ่มเสียง

วังเวงน่ากลัว

……

……

เมื่อคืนไป๋เจ่าได้บอกเอาไว้ นางรู้สึกว่ามีคนคิดจะใช้การลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ยเป็นชนวนบีบให้สำนักฝ่ายธรรมะเปิดฉากโจมตีปู้เหล่าหลินเร็วขึ้น จากนั้นฉกฉวยผลประโยชน์จากเรื่องนี้ ความคิดนี้คิดไปไกลกว่าความคิดของซือเฟิงเฉินที่กังวลว่าปู้เหล่าหลินอยากจะใช้การสังหารเจ้าล่าเยวี่ยเป็นชนวนทำให้เกิดสงครามระหว่างสองผู้นำแห่งสำนักฝ่ายธรรมะ

แต่นางอย่างมากก็คิดได้ถึงแค่ดินแดนหมิงเท่านั้น เพราะการมีอยู่ของเพลิงวิญญาณ

แต่จิ๋งจิ่วกลับคิดไปไกลกว่านั้น เขามองไปตรงๆ ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และดินแดนหมิง

เพราะเขาคุ้นเคยกับกลิ่นแบบนี้

กลิ่นแผนการชั่วร้ายที่ทำให้คนนับพันนับหมื่นต้องตายไปอย่างเงียบๆ

นี่เป็นเรื่องที่คนคนหนึ่งถนัดมากที่สุด

วันนี้เขามาที่บ้านซือเฟิงเฉิน ก็เพราะคิดอยากจะหาเบาะแสบางอย่าง

ในตอนที่ซือเฟิงเฉินขอกล่าวคำสั่งเสีย เขานิ่งเงียบฟังอีกฝ่าย ก็เพราะด้วยเหตุผลนี้

เพียงแต่จนถึงตอนนี้ ซือเฟิงเฉินมิได้เอ่ยถึงคนผู้นั้นเลย กระทั่งคำที่มีความเกี่ยวข้องก็ไม่มี

เขาจ้องมองดวงตาซือเฟิงเฉินพลางกล่าวว่า “หลังจากที่ส่วนลึกในใจเจ้าเกิดความคิดแบบนี้แล้ว มีเหตุการณ์อะไรที่แตกต่างเกิดขึ้นไหม?”

ซือเฟิงเฉินส่ายศีรษะ บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา เขากล่าวว่า “ข้าเพียงแต่หวังว่าต่อไปจะมีโลกที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ปรากฏขึ้นมา”

กล่าวจบประโยคนี้ เขาก็นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้

โลหิตสีดำหลายสายไหลออกมาจากดวงตาและจมูกของเขา

ลมหายใจจู่ๆ พลันขาดหายไป

เขาสะบั้นชีพจรของตัวเอง ขณะเดียวกับก็กัดยาพิษที่ซ่อนเอาไว้จนแตก

จิ๋งจิ่วมองดูศพที่อยู่บนเก้าอี้ นิ่งเงียบอยู่ครู่ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

……………………………………………………….