บทที่ 237: ใครกัน ?

ทันทีที่โรเอลก้าวผ่านประตูสถาบันการศึกษา เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรงราวกับถูกฟ้าผ่า

มันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎในร่างกายของเขา ที่กำลังสั่นพ้องกับพลังทางสายเลือด บรรยากาศรอบ ๆ ตัวของโรเอลค่อย ๆ เลือนลางลงไป ราวกับว่าถูกดึงออกไปยังสถานที่อื่น

ก่อนที่เด็กหนุ่มจะรู้สึกตัว เขาพบว่าตัวเองยืนอยู่บนผิวน้ำของทะเลสาบอันเงียบสงบ น้ำค่อย ๆ ไหลออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขา ที่นั่นโรเอลสังเกตเห็นเงาอันพร่ามัว ห่างไปไม่ไกลนักยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของตน น้ำกระเพื่อมอยู่ใต้ฝ่าเท้า

ระลอกน้ำทั้งสองกระทบกัน ทำให้เกิดคลื่นเล็กน้อย ซึ่งจังหวะนั้นเองทั้งสองคนก็ได้เงยหน้าขึ้นสบตากัน

ทว่าทันใดนั้นการสั่นพ้องอันลึกลับนี้ก็จบลง โรเอลถูกกระแทกกลับมาสู่ความเป็นจริง กลับมาจ้องมองไปที่อาคารสีขาวอันสูงตระหง่านอย่างจดจ่อ

???

นั่นมันใคร? เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?…

โรเอลหยุดอยู่ที่ทางเข้าสถาบันการศึกษาด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ หัวของเขาว่างเปล่าไปหมด แม้ว่าจะมีนักเรียนหลายคนเดินผ่านไป แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่หายจากอาการงุนงง

คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ สั่นพ้องกับอะไรบางอย่าง… นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?

โรเอลไตร่ตรองถึงคำถามนี้ด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการสั่นพ้องนี้ ตรงกันข้าม มันเป็นเพราะว่าโรเอลเข้าใจมัน เขาถึงได้ตกตะลึง

การสั่นพ้องของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในเวลานี้ มันเป็นปฏิกิริยาพิเศษที่จะเกิดขึ้น เมื่อบุคคลสองคนที่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดและพลังสายเลือดเข้ากันได้มาเจอกัน แม้ว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่จะใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักสามประการ แต่การสั่นพ้องกันก็ยังเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก

ทว่าในกรณีของโรเอลนั้นพิเศษยิ่งกว่าที่กล่าวมาเสียอีก เขาไม่ใช่ผู้ใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดหลักสามประการ คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎของเขาเป็นเอกลักษณ์ที่มีเพียงผู้สืบทอดพลังสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ดเท่านั้นที่จะมีได้ ด้วยที่เด็กหนุ่มเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลแอสคาร์ด มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเผชิญกับปฏิกิริยาการสั่นพ้องชั่วชีวิตของเขา

“…เอล โรเอล.. โรเอล?”

จู่ ๆ โรเอลก็ได้ยินเสียงเรียกของพอลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งช่วยให้เขาตื่นจากภวังค์ ทันทีที่หันไปทางด้านข้าง เด็กหนุ่มก็พบว่า ตนเองถูกนักเรียนหญิงที่ถือตราของผู้ติดตามของผู้ถือแหวนกุหลาบสีม่วงขวางเอาไว้ โดยที่ทั้งพอลและนักเรียนหญิงคนนั้นต่างกำลังจ้องมองมาที่เขา

บางทีอาจเป็นเพราะหน้าตาอันหล่อเหลาของโรเอล นักเรียนหญิงจึงเหลือบมองไปที่ตราสัญลักษณ์บนหน้าอกของเขา ก่อนที่สีหน้าของเธอจะอ่อนลงเล็กน้อย

“ขอโทษนะ เธอรู้จักคนคนนี้รึเปล่า?”

“…ใช่ ฉันรู้จักเขา”

“เขาลืมนำตราหนังสือแห่งความจริงติดตัวมาด้วย ตามกฎแล้วฉันไม่สามารถอนุญาตให้เขาเข้าสู่สถาบันการศึกษาโดยไม่มีตรา เว้นแต่เขาจะมีใครสักคนช่วยเป็นผู้ค้ำประกันตัวตนของเขา หรือไม่ก็กลับไปเอาตราของเขามา เธอยินดีที่จะรับประกันตัวตนของเขาไหมล่ะ?”

???

หืม? มีกฎแบบนั้นด้วยงั้นเหรอ?

โรเอลแปลกใจเล็กน้อยกับคำพูดของนักเรียนหญิง เด็กหนุ่มไม่คิดว่าการปรากฏตัวของตนจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเหตุการณ์เช่นนี้

ในเกม พอลผู้โดดเดี่ยว ไม่รู้จักกับนักเรียนคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากต้องรายงานชื่อของเขา ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโรเอลอยู่กับเขาในตอนนี้ พอลจึงรอดจากเรื่องยุ่งยากวุ่นวายดังกล่าวไปได้

“โรเอล ได้โปรด! นายพอจะช่วยฉันสักครั้งได้ไหม?”

โรเอลมองไปที่เด็กหนุ่มผู้กำลังอ้อนวอนอย่างจริงจัง ด้วยใบหน้าที่สับสน

จริงด้วย ในมุมมองของพอล การถูกห้ามไม่ให้เข้าสถาบันการศึกษาในวันแรกถือเป็นหายนะสุด ๆ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าพอลจะมีศักดิ์เป็นองค์ชายของจักรวรรดิออสทีน แต่เขาก็ยังเป็นลูกนอกสมรสที่ถูกดูหมิ่นจากคนรอบข้าง ถ้าเป็นไปได้เขาก็คงไม่อยากดึงดูดฝูงชนโดยไม่จำเป็น

นี่เป็นปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีกงั้นเหรอ? ไม่คิดเลยว่าเราจะเผลอทำลายเส้นโครงเรื่องของลิเลียนไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจแบบนี้

เนื่องจากสายตาวิงวอนของพอล ในที่สุดโรเอลก็ยอมพยักหน้าแสดงความยินยอม ทั้งสองออกไปกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียนด้วยกัน ทันทีที่นักเรียนหญิงเห็นนามสกุลของพอล สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามด้วยที่ขั้นตอนนั้นดำเนินไปจนเสร็จสิ้นแล้ว เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องยอมให้พวกเขาผ่านประตูไป

“รุ่นพี่ครับ ผมขอถามหน่อยเถอะว่าตึกตรงนั้นใช้ทำอะไร?”

โรเอลชี้ไปที่อาคารสีขาวอันสูงตระหง่านที่เขาจ้องมองอยู่ก่อนหน้านี้จนทำให้เขาตกอยู่ในสภาพงุนงงไปครู่หนึ่ง เขาต้องการหาคำตอบเกี่ยวกับปรากฏการณ์ประหลาดที่เพิ่งได้ประสบมา ทว่าเมื่อได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของพอลแล้ว ทัศนคติของนักเรียนหญิงคนนั้นที่มีต่อพวกเขาก็กลับกลายเป็นเย็นชาอีกครั้ง

“… ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

“เข้าใจแล้วครับ”

โรเอลหันกลับมามองที่อาคารสีขาว ด้วยความคิดว่าจะมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อตรวจสอบดูในทันที อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มก็ได้ล้มเลิกความคิดนี้ไปหลังจากทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากไม่สามารถระบุหน้าตาของบุคคลที่เกิดปฏิกิริยาการสั่นพ้องทางคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดกับเขาในภวังค์นั้นได้ แม้ว่าจะรีบไปตรวจสอบมันในตอนนี้ โรเอลก็คงไม่สามารถแยกอีกฝ่ายออกจากคนอื่น ๆ ได้

เด็กหนุ่มจึงส่ายหัวและเดินต่อไป แม้ว่าการสั่นพ้องนั้นจะทำให้โรเอลงุนงงและสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็เชื่อว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ตราบเท่าที่เขายังคงอยู่ในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ดังนั้นตอนนี้พิธีเปิดภาคเรียนจึงมีความสำคัญเหนือกว่า

“ต้องขอบคุณนายจริง ๆ โรเอล!”

หลังจากเดินไปได้ไม่ไกล พอลก็ตบหน้าอกด้วยความโล่งใจ ราวกับว่าเพิ่งรอดพ้นจากวิกฤติมาได้

“หืม? อืม ไม่เป็นไร”

โรเอลตอบอย่างไม่ใส่ใจ

จากนั้น ทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังห้องโถงหลักของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า

“… การสั่นพ้องก่อนหน้านี้มันอะไรกัน?”

ในห้องมืดที่มีเพียงแสงสลัว ปิดบังด้วยผ้าม่าน เด็กสาวผมดำคนหนึ่งแตะลงบนหน้าอกของตัวเองด้วยความสับสน เธอเดินไปที่ขอบหน้าต่างพลางมองลงไปยังประตูหน้าสถาบันการศึกษา ด้วยนัยน์ตาสีม่วง

เธอคือลิเลียน แอคเคอร์มันน์ องค์หญิงแห่งจักรวรรดิออสทีน อายุสิบหกปี เด็กสาวได้เข้าร่วมสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเมื่อสองปีก่อนและปัจจุบันอยู่ในชั้นปีที่ 3

ลิเลียนได้รับการขนานนามว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถมากที่สุด ที่สถาบันการศึกษามีตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา แม้แต่ในจักรวรรดิออสทีนอันกว้างใหญ่ เธอก็ยังถูกเรียกว่าเป็นไข่มุกแห่งจักรวรรดิผู้สมบูรณ์แบบ

เด็กสาวมีรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ความสามารถที่สมบูรณ์แบบ และมีภูมิหลังที่สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าหากจะให้ระบุข้อบกพร่องของลิเลียนแล้วล่ะก็ มันก็คงจะเป็นการที่เธอได้รับพรมากมายมาจากเหล่าทวยเทพ จนทำให้เธอมีความคิดที่เฉียบแหลมเกินไป และเข้ากันกับคนอื่น ๆ ได้ยาก

“ดวงตาขององค์หญิง จ้องมองมาที่ข้าราวกับมองลึกเข้ามาในจิตวิญญาณของข้า”

นี่คือการประเมินโดยรัฐมนตรีของจักรวรรดิออสทีน ผู้เคยผ่านศึกทางการเมืองมานานหลายทศวรรษ ซึ่งคำพูดของเขาก็ตรงกับความรู้สึกของคนอื่น ๆ อีกหลายคนด้วยเช่นกัน

สำหรับขุนนางส่วนใหญ่ในจักรวรรดิออสทีน ลิเลียนเป็นคนที่เงียบจนลึกลับ ฉลาดแต่เย็นชา ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องสำรวมต่อหน้าเธอ

ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวก็คือเหล่าขุนนางหนุ่มผู้โง่เขลาของจักรวรรดิออสทีน ซึ่งใช้ฮอร์โมนเอาชนะความกลัวของตนเอง และพยายามเข้าใกล้เธอ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ลิเลียนจึงได้รับของขวัญมากมายเป็นรถเข็น พร้อมกับการเกี้ยวพาราสีอย่างไม่ลดละจากผู้คลั่งไคล้สายเลือดลัทธิบริสุทธิ์ จนทำให้เธอรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย

ราวกับว่าลิเลียนนั้นเกิดมามีลักษณะนิสัยเย็นชาโดยกำเนิด มันไม่มีทางเลยที่จะมีใครพังกำแพงในจิตใจของเธอและเดินเข้าไปในนั้นได้

อย่างไรก็ตามลิเลียนก็ยังคงเป็นมนุษย์ ที่มีอารมณ์เช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ ซึ่งสภาพในปัจจุบันของเธอนั้นถือเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดี เด็กสาวมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับกำหมัดแน่น

“… ใครกัน?”

ลิเลียนบ่นกับตัวเองด้วยความรู้สึกอันพุ่งพล่านในหัวใจ