บทที่ 236: นายน้อยโรเอลผู้ใจดี

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 236: นายน้อยโรเอลผู้ใจดี

บนท้องถนนอันพลุกพล่านของเมืองเลนสเตอร์ พอล แอคเคอร์มันน์ รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินการแนะนำตัวของชาร์ล็อต เช่นเดียวกันกับเหล่าเด็กสาวรอบ ๆ ที่สนใจในตัวของโรเอล

ชาร์ล็อตชำเลืองมองไปทางพวกเธอเหล่านั้นอย่างสุขุม และเมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กสาวส่วนใหญ่เหล่านั้นรู้สึกถูกข่มขู่โดยอำนาจที่เหนือกว่า ริมฝีปากของเธอก็โค้งงอขึ้นอย่างพึงพอใจ

หากชาร์ล็อตและโรเอลเพิ่งได้คบกันไม่นาน มันก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่นักสำหรับผู้หญิงบางคน แต่สถานะคู่หมั้นนั้น แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สัญญาหมั้นคือสัญญาที่เกิดขึ้นจากความยินยอมร่วมกันของตระกูลขุนนางสองตระกูล มันหมายถึงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งทำให้ไม่มีที่สำหรับบุคคลที่สามอีกต่อไป

เหล่านักเรียนหญิงจากสถาบันหญิงล้วนเซซิเลีย และสถาบันการศึกษาเซนต์ไวส์ที่อยู่รอบ ๆ ต่างขมวดคิ้ว เดินจากไปด้วยความหงุดหงิด เห็นแบบนั้นแล้ว ชาร์ล็อตก็ถอนหายใจเบา ๆ หันกลับมาสนใจโรเอลและเพื่อนของเขาอีกครั้ง

เมื่อชาร์ล็อตได้มองดูรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายชัด ๆ เธอก็ประเมินได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้มีรูปร่างดีกว่าคนทั่ว ๆ ไปเล็กน้อย เซนส์ด้านการแต่งตัวของเขาเองก็ค่อนข้างดี ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง มีความรู้สึกไม่ลงรอยกันระหว่างหน้าตาของเขากับเสื้อผ้าที่สวมอยู่

“อา! ฉันชื่อพอล แอคเคอร์มันน์ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน!”

พอลใช้เวลาสักพักกว่าจะฟื้นตัวจากคำประกาศอันน่าตกใจของชาร์ล็อต เขาแนะนำตัวเองกับเธออย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม คำพูดเหล่านั้นกลับทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นในทันที รูม่านตาของชาร์ล็อตค่อย ๆ ขยายออก ทำให้พอลนึกออกถึงความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างอาณาจักรทั้งสองของพวกเขา

“แอคเคอร์มันน์?”

“ข…ขอโทษ คือ…”

“ชาร์ล็อต…”

พอลรีบขอโทษอย่างกระวนกระวายใจ โบกมือไปมาอย่างระส่ำระสายทำอะไรไม่ถูก กลับกันแล้ว ชาร์ล็อตเพียงแต่ขมวดคิ้วเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสงบลงหลังจากหันไปสบตากับโรเอล

ตระกูลแอคเคอร์มันน์ ถือเป็นตัวซวยของตระกูลโซโรฟยา เพราะพวกเขาเคยเกือบทำให้ตระกูลโซโรฟยาสูญพันธุ์ในช่วงสงครามกลางเมืองในอดีต นอกจากนี้การปรากฏตัวของลูกนอกสมรสขององค์จักรพรรดิเมื่อครึ่งปีที่แล้ว ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในจักรวรรดิออสทีน จึงไม่แปลกอะไรที่ชาร์ล็อตจะทราบเรื่องนี้

แม้ว่าการดำรงอยู่ของพอลจะเป็นรอยแปดเปื้อนของราชวงศ์ออสทีน แต่ชาร์ล็อตก็ยังไม่สามารถทำใจยอมรับได้ง่าย ๆ ด้วยชื่อของตระกูล ‘แอคเคอร์มันน์’ ได้ ซึ่งพวกเธอมีอคติอย่างลึกซึ้ง

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พอลเป็นเพื่อนของโรเอล และพวกเขาทั้งสองคนก็ดูเหมือนจะกำลังคุยกันเรื่องบางอย่าง ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าชาร์ล็อตจะไม่ชอบตระกูลแอคเคอร์มันน์มากแค่ไหน อย่างน้อย ๆ เธอก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไปเพื่อเป็นการไว้หน้าให้กับคนรัก

ดังนั้นเด็กสาวจึงพยักหน้าให้โรเอล ก่อนจะหันไปพูดกับพอล

“ไม่จำเป็นต้องขอโทษฉันหรอกค่ะ คุณแอคเคอร์มันน์ คุณเป็นเพื่อนของโรเอล และอาณาจักรของพวกเราเองก็ได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพกันไปแล้ว อดีตก็ปล่อยให้เป็นอดีตไปเถอะค่ะ”

หลังจากพูดคำนั้นแล้ว ชาร์ล็อตก็หันไปหาโรเอลและพูดต่อ

“ที่รัก ช่างเป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่พวกเราได้มาพบกันที่นี่ น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้ากำลังเร่งรีบ ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะ ตกลงไหม?”

จากนั้นเด็กสาวก็โค้งอำลาเด็กหนุ่มทั้งสองคนอย่างสง่างาม

“ฉะนั้นแล้ว ตอนนี้ต้องขอตัวก่อน”

แม้ว่าท่าทีของชาร์ล็อต อาจจะดูสุภาพ แต่การจากไปโดยกะทันหันนี้ได้แสดงให้เห็นว่าเธอคิดอย่างไรกับตระกูลแอคเคอร์มันน์ เมื่อรถม้าของเด็กสาวแล่นออกไป พอลก็ถอนหายใจพร้อมประณามตนเอง

“ดูเหมือนว่าฉันจะทำให้เธอไม่สบายใจซะแล้วสิ ขอโทษด้วย… หวังว่านี่คงจะไม่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของพวกนายนะ?”

“อย่ากังวลไปเลย เธอไม่ใช่คนแบบนั้น นอกจากนี้ ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า ชาติกำเนิด ไม่ใช่ความผิดพลาดของนาย มันไม่ใช่สิ่งที่นายควบคุมได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้นายเป็นคนแบบไหนต่างหาก”

รอยยิ้มบนใบหน้าของโรเอล ยังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม ไม่มีแม้แต่อารมณ์โกรธใด ๆ หลักจากการไปของชาร์ล็อต อันที่จริง โรเอลรู้สึกซาบซึ้งและยินดีเสียด้วยซ้ำ

เราเปลี่ยนมันได้แล้ว! โลกนี้เป็นของจริง โครงเรื่องหลักไม่ได้มีอำนาจเหนือชะตากรรมอย่างเด็ดขาดที่นี่!

โรเอลกำหมัดแน่น นึกถึงความพยายามที่เขาทำมาตลอดห้าปี นี่เป็นการยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นไม่ได้ไร้ประโยชน์ มันจึงทำให้เขารู้สึกโล่งใจอย่างสุดซึ้ง

ขณะเดียวกันทางด้านพอล แอคเคอร์มันน์ เองก็ซาบซึ้งเช่นกัน

โอ้เทพีเซียผู้ยิ่งใหญ่ เขาเป็นคนที่นิสัยดีมากจริง ๆ!

อันที่จริง พอลนั้นเกรงกลัวการใช้ชีวิตในสถาบันเซนต์เฟรย่าอันมีชื่อเสียงมาก เพราะก่อนหน้านี้ในการติดต่อกับแวดวงชนชั้นสูง ทุกคนที่เด็กหนุ่มได้พบล้วนเป็นปรปักษ์ต่อเขา ซึ่งสถาบันเซนต์เฟรย่าเองก็เต็มไปด้วยลูกหลานของขุนนางชนชั้นสูงและเหล่าผู้มีอำนาจ ผู้คนที่เกิดมาพร้อมกับช้อนทองคำในปากของพวกเขา ดังนั้นพอลจึงไม่คาดหวังว่าพวกเขาเหล่านั้นจะปฏิบัติต่อลูกชายนอกสมรสขององค์จักรพรรดิต่างไปจากที่เขาได้ประสบมา

การได้มีเพื่อนร่วมชั้นหนึ่งคนตรงนี้ ที่มองพอลโดยปราศจากอคติเกี่ยวกับภูมิหลัง จึงถือเป็นกำลังใจที่สำคัญสำหรับเขามาก

บางที สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดก็ได้มั้ง?

ด้วยความหวังดังกล่าว พอลจึงเริ่มเดินทางไปยังสถานศึกษาภายใต้การนำของโรเอล ทั้งสองคุยกันอย่างสบาย ๆ ระหว่างทางและสนิทกันอย่างรวดเร็ว

มิตรภาพระหว่างผู้ชายมักจะตรงไปตรงมา ต่างจากในละครต่าง ๆ การพบปะกันเพื่อเป็นเพื่อนกันไม่จำเป็นจะต้องมีการยืนยันด้วยวาจา แต่เกิดขึ้นจากเจตนาที่เผยออกมาผ่านการสนทนาแบบเป็นกันเอง เป็นดั่งข้อตกลงร่วมกันที่ไม่ต้องการคำพูดใด ๆ

ระหว่างที่ได้ทำความรู้จักกัน พอลพบว่าโรเอลเป็นบุคคลที่มีความรู้อย่างยิ่ง เด็กหนุ่มสามารถเล่าเรื่องราวเบื้องหลังสถานที่สำคัญหลาย ๆ แห่งระหว่างทางไปยังสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า พร้อมชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์อันน่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์ในสถานที่เหล่านั้นได้

สำหรับพอลที่เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านอันห่างไกลในจักรวรรดิออสทีน นี่ถือเป็นความสามารถที่น่าเหลือเชื่อมาก

การได้พบกับจุดแข็งอีกประการของโรเอล ทำให้ความเคารพของพอลที่มีต่อเขายิ่งลึกซึ้งขึ้น ซึ่งตอนนี้เองเขาก็ได้ตั้งคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า

แม้ว่าอาจารย์ของพอลจะเคยกล่าวถึงสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าระหว่างการสอน แต่เด็กหนุ่มก็ยังรู้รายระเอียดเกี่ยวกับมันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครที่จะคาดหวังในตัวเขาจริง ๆ และอาจารย์ของเขาเองก็แค่สอนโดยหวังว่า พอลจะไม่ไปสร้างปัญหาใด ๆ ที่จะทำให้ตัวเองอับอาย ด้วยสถานะและความสามารถที่มีเพียงน้อยนิด มันจึงไม่มีทางเลยที่เขาจะได้รู้ถึงรายละเอียดเหล่านั้น

ซึ่งโรเอลก็รู้ดี ว่าพอลอยู่ในสถานการณ์เช่นไร เขาจึงเลือกที่จะไม่ถามให้ลึกเกินไป และแบ่งปันสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าให้กับสหาย

สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเป็นอะไรที่พิเศษ เทียบได้กับตัวตนของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ตามประวัติศาสตร์แล้ว สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าถูกก่อตั้งขึ้นมาก่อนที่เมืองเลนสเตอร์จะถูกสร้างขึ้นเสียอีก ส่วนในแง่ของอิทธิพล แอนโตนิโอ คีล อาจารย์ใหญ่ของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า นั้นเป็นประธานสภาการปกครองของอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล ทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญของอาณาจักรนี้

การแต่งตั้งตำแหน่งทางการต่าง ๆ ที่สำคัญในเมืองเลนสเตอร์จะต้องผ่านการอนุมัติของแอนโตนิโอ ทำให้สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่ามีอิสระเต็มที่ และดำเนินการภายใต้กฎหมายที่แตกต่างออกไปจากส่วนที่เหลือของเมือง แตกต่างจากสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในโบรเนลโดยสิ้นเชิง

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่านั้นมีระบบการปกครองเป็นของตนเอง โดยเหล่านักเรียนของที่นั่น

มีหลายทฤษฎีที่อธิบายว่าเหตุใดสถาบันจึงดำเนินการในลักษณะดังกล่าว แต่ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือที่สุดก็คือ ในระหว่างการก่อตั้งอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลในสมัยที่อาณาจักรยังอ่อนแอ สถาบันการศึกษาต้องการอำนาจในการจัดการกับเหล่าขุนนางผู้มีอิทธิพลที่ถูกรับเชิญเข้ามาในสถานศึกษา และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อาณาจักรใด ๆ ขุ่นเคืองเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นในหมู่ขุนนางรุ่นเยาว์ อาณาจักรจึงได้ตัดสินใจที่จะแยกระบบการปกครองของที่นี่ออกไปเป็นเอกเทศ

คงไม่มีใครคิดมาก่อนว่ารูปแบบการปกครองที่เป็นนวัตกรรมใหม่นี้จะทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนใครในสถาบันการศึกษา กลายเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมผู้ปกครองและขุนนางถึงต้องการที่จะส่งบุตรหลานของพวกเขามาที่นี่

หากเป็นเพียงแค่การถ่ายทอดความรู้ สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ในเลนสเตอร์ก็สามารถตอบโจทย์นั้นได้ อาจารย์ที่พวกเขาจ้างล้วนเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล ดังนั้นหลักสูตรต่าง ๆ จึงไม่น่าจะแตกต่างกันนักในสถาบันการศึกษาอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม สำหรับสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าแล้ว นักเรียนที่นั่นจะได้รับการทดสอบอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านทักษะทางสังคม การบริหารจัดการ และการทำงานร่วมกัน

เนื่องจากสถาบันการศึกษาแห่งนี้ปกครองโดยเหล่านักเรียนของสถาบัน ลำดับชั้นภายในประชากรนักศึกษาจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยผู้ที่อยู่ในระดับบริหารจะถูกเรียกว่า “ผู้ถือแหวน”

สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าใครคือผู้ถือแหวน ก็คือ แหวนกุหลาบ ที่พวกเขาสวม ซึ่งทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจภายในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า โดยแหวนกุหลาบนั้นมีด้วยกันเก้าวง ซึ่งแต่ละวงก็จะมีสีที่แตกต่างกันออกไป

วิธีเดียวที่จะได้รับแหวนกุหลาบ ก็คือในช่วงเปิดภาคเรียนของทุก ๆ ปีการศึกษา นักเรียนใหม่จะถูกพาตัวเข้าไปในคุกใต้ดินโดยภูติ และผู้ที่ยืนหยัดไปได้จนถึงจุดสิ้นสุดของบททดสอบจะได้มีโอกาสท้าทายผู้พิทักษ์แห่งแหวน

แม้ว่ามันอาจจะฟังดูง่ายในทางทฤษฎี แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นอะไรที่ยากกว่าที่คิดมาก ผู้พิทักษ์แห่งแหวนนั้นมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 3 ซึ่งแข็งแกร่งเกินกว่าระดับที่นักศึกษาใหม่ที่มีค่าเฉลี่ยความแข็งแกร่งเพียงระดับแก่นแท้ 5 จะรับมือได้

แต่แน่นอนว่ายิ่งเสี่ยงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้กำไรมากเท่านั้น ผู้ที่ได้รับแหวนกุหลาบจะได้รับผลประโยชน์มากมายเป็นสิ่งตอบแทน

สิทธิพิเศษที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้กลายเป็นผู้ถือแหวน พวกเขาจะได้รับสิ่งปลูกสร้างพิเศษและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายสำหรับการฝึกส่วนตัว นอกจากนี้ผู้ถือแหวนจะได้รับอำนาจในการออกภารกิจให้กับนักเรียนคนอื่น ๆ และผู้ติดตาม อย่างไรก็ตาม สิทธิพิเศษที่สำคัญที่สุดคือคุณสมบัติในการเข้าร่วมสภากุหลาบ

สมาชิกของสภากุหลาบ มีเพียงแค่เหล่าผู้ถือแหวนเท่านั้น พวกเขาถือเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจนิติบัญญัติสูงสุดในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า การเคลื่อนไหวใด ๆ ก็ตามจากสภานี้ จะถือเป็นเจตจำนงสูงสุดของสถานศึกษา ที่แม้แต่อาจารย์ใหญ่ก็ไม่สามารถสั่งยับยั้งได้

อำนาจของสภากุหลาบขยายออกไปมากเพียงใดงั้นเหรอ? … หนึ่งในขอบเขตอำนาจของพวกเขา ก็คือสิทธิที่จะสามารถเสนอลงคะแนน เพื่อเลิกจ้างพนักงาน หรือสลายภาคีแห่งปัญญาในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า

“ขณะนี้มีผู้ถือแหวนอยู่สามคนในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า หนึ่งคนในแต่ละระดับชั้นปี ในจำนวนนั้น ผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดก็คือ ลิเลียน แอคเคอร์มันน์ ผู้ถือแหวนกุหลาบสีม่วง ในระดับชั้นปีที่สาม เธอเป็นพี่สาวของนายใช่ไหม?”

“ใช่ แต่พวกเราไม่เคยได้พบกันมาก่อน”

พอลตอบด้วยใบหน้าที่ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่

โรเอลสังเกตเห็นท่าทางของเขาและพยักหน้าแทนคำตอบ ทั้งสองคนเดินหน้าต่อไป ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงประตูอันยิ่งใหญ่ของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า

ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้สถาบันมากขึ้นเท่าไหร่ ฝูงชนในพื้นที่ก็หนาแน่นขึ้นเท่านั้น รถม้าขนาดใหญ่สัญจรไปมา พื้นที่รอบ ๆ เต็มไปด้วยกลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนมาก

โรเอลมองไปที่ประตูขนาดใหญ่ข้างหน้าเขา พลางนึกถึงเหตุการณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้นตามโครงเรื่องเดิม

ในวันเปิดภาคการศึกษา หลังจากที่ถูกชาร์ล็อตตำหนิ ท้ายที่สุดพอลก็มาถึงสถาบันเซนต์เฟรย่าได้ ทว่าเนื่องจากเขาลืมสวมเครื่องหมาย ‘หนังสือแห่งความจริง’ มา เด็กหนุ่มจึงถูกหยุดไว้ด้านหน้าประตู และคนที่หยุดเขาไว้ก็คือผู้ติดตามของผู้ถือแหวนกุหลาบสีม่วง ซึ่งนำไปสู่การปรากฏตัวของพี่สาวของพอล อย่าง ลิเลียน แอคเคอร์มันน์

ระหว่างที่พวกเขาค่อย ๆ เข้าไปใกล้ประตู โรเอลคิดสงสัยว่าตนควรจะเคลื่อนไหวหรือไม่ เขาสามารถให้ตราแก่พอลได้เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นโครงเรื่องนี้ แต่เมื่อมองไปยังศีรษะที่เปล่งสีเขียวอันเจิดจ้าของพอล และแต้มความสนใจหลายร้อยคะแนน หัวใจของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย และยอมแพ้ต่อความคิดนั้นไป

ช่างมันเถอะ ยังไงซะเราก็ไม่ได้รู้จักลิเลียนดี เราไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้น่าจะดีกว่า

โรเอลผู้ใจดีถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินผ่านประตูของสถาบันการศึกษาไปพร้อม ๆ กับพอล ทว่าจู่ ๆ คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎของเขาก็เริ่มสั่นเทาอย่างกะทันหัน ราวกับว่ากำลังถูกดึงดูดด้วยบางสิ่งบางอย่างภายในสถาบันโดยที่เขาไม่คาดคิด

จังหวะนั้นเอง ภายในอาคารแห่งหนึ่งในสถาบันการศึกษา ดวงตาสีม่วงที่ดูลึกลับแต่สวยงามคู่หนึ่งก็เปิดขึ้น