บทที่ 238

สรุปเป็นว่าทุกคนคิดตรงกันที่จะให้ซ่งเวินตาย หากแต่ด้วยทางฝั่งเทียนหยวนไม่อยากจะเสียกำลังพลโดยไม่จำเป็น พวกเขาจึงไม่รีบร้อนบุก แต่เลือกที่จะรอให้อีกฝ่ายตีฝ่าวงล้อมออกมาแทน ด้วยมันจะเป็นการประหยัดแรงกว่า

ซึ่งมันก็เป็นดั่งที่คิด ด้วยในคืนที่สี่ ซ่งเวินเลือกที่จะตีฝ่าออกมาอีกครั้ง ทำให้ทหารเกือบทั้งหมดรวมไปถึงแม่ทัพและตัวเขาเองถูกธนูยิงจนตาย ส่วนทหารที่ยังรอดก็พากันยอมแพ้ต่อชิวเจิ้นจนหมด

ซ่งเวินนับเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจพอตัว ตั้งแต่ที่เขาเดินทัพมาและถูกปิดล้อม เขายังไม่เคยทำพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าหากพวกหนิงไม่เห็นแก่ตัวและร่วมมือกับซ่งเวินตั้งแต่แรกก็คงจะจบลงที่ชัยชนะของพวกเขาไปแล้ว

การเสียสายเลือดของซ่งเทียนไปหนึ่งนั้นไม่อาจเทียบได้เลย กับสิ่งที่พวกหนิงจะต้องเผชิญต่อจากนี้ ซึ่งมันก็คือกองทัพเทียนหยวนจำนวน 4 แสนนายและกองทหารม้าเบสซ่าอีก 3 หมื่นนายที่จะทำให้ทั้งจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ถูกปิดตายอยู่ที่นี่

หลังจากจัดการซ่งเวินไปแล้ว กองทัพเทียนหยวนก็ใช้ประโยชน์จากค่ายที่ซ่งเวินสร้างเอาไว้ เปลี่ยนให้มันเป็นปราการที่แข็งแกร่งในการหยุดพักผ่อน ก่อนจะเดินทางไปสมทบกับถังหยินที่เมืองจินฮั๋ว

แม่ทัพที่ซ่งเทียนส่งมาเพื่อหวังว่าจะช่วยซ่งเวิน มาตอนนี้เขาก็ได้แต่นั่งกุมหัวเมื่อเห็นภาพที่ซ่งเวินถูกจัดการไปแบบนั้น ก่อนจะรีบนำทัพกลับไปยังจินกวงทันที

และถ้าหากว่าพวกเขาได้ยินข่าวการเคลื่อนทัพของพวกเทียนหยวนเมื่อไหร่ พวกเขาก็พร้อมจะเปิดเมืองให้ผ่านไปอย่างสวัสดิภาพ

กองทัพหลายแสนของเทียนหยวนตั้งทัพอยู่ข้างนอกเมืองเช่นเดียวกับพวกหนิงที่เคยทำมาก่อน พวกเขามีทรัพยากรทุกอย่างที่จำเป็น และถ้าหากดูดี ๆ ก็จะเห็นธงสีขาวกับดำที่มีคำว่า ‘เฟิง’ อยู่ด้วย

ตอนที่พวกหนิงทำสงคราม พวกเขาทั้งโหดร้ายและทารุณ ทำให้พวกคนไม่กล้าออกจากบ้านกันเลยทีเดียว ซึ่งมันก็ผิดกับตอนนี้ ที่เมื่อพวกเทียนหยวนมาถึง พวกชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างก็ดีใจมากจนออกมามองค่ายของกองทัพเทียนหยวนกันยกใหญ่

ซึ่งชิวเจิ้นก็ไม่ได้ไล่พวกเขากลับไปแต่อย่างใด ทั้งยังเชื้อเชิญให้พวกชาวบ้านเข้ามาที่ค่ายด้วย

ทำให้ในสายตาของพวกชาวเมือง กองทัพเฟิงจะต้องปกป้องพวกเขาได้แน่

…ในเวลานี้ถังหยินได้พากองทัพของเขามารวมกับของชิวเจิ้นเรียบร้อยแล้ว

และเมื่อพบกัน พวกขุนนางและชิวเจิ้นที่เห็นถังหยินปลอดภัยก็ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนที่พวกเขาจะพากันคุกเข่าให้ด้วยความเคารพ

ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ แล้วโบกมือให้ “ชิวเจิ้น เจ้าทำหน้าที่ได้ดีมาก ข้าต้องยอมรับจริง ๆ ว่าผลลัพธ์ที่ออกมานั้นเหนือความคาดหมายของข้าไปมาก”

ชิวเจิ้นประกบมือ “ต้องยกความดีความชอบให้กับพวกทหารต่างหากนายท่าน”

ถังหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา ซึ่งมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีคนตะโกนเรียกหาเขา “ถังหยิน !”

เมื่อชายหนุ่มหันไปดู เขาก็พบกับกลุ่มคนและแม่ทัพในชุดเกราะสีเงิน ที่มีผมสีทอง กับดาบที่ประดับไปด้วยเพชรพลอย

นางจะเป็นใครได้อีกเล่า นอกจากชัวน่า บลังก้า และคนอื่น ๆ ถังหยินจ้องอยู่สักพักก่อนจะพูด “องค์หญิงชัวน่า ? ท่านมาทำอะไรที่นี่ ? แล้วไหนจะพวกขุนนางเหล่านี้อีก ? ดูท่าทางสบายดีนะ”

โดยไม่รอช้า ลูคัสก็เดินเข้ามาตบบ่าถังหยิน “พวกเรามาช่วยเจ้ายังไงล่ะ !”

ชาวเบสซ่าไม่ใช้พวกยึดติด ต่อให้ถังหยินจะเคยเป็นศัตรูมาก่อน แต่พวกเขาก็ไม่นำมาใส่ใจ ด้วยพวกเขาให้ความเคารพและมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์

เมื่อได้ยินแบบนั้น ถังหยินก็นึกขึ้นได้ว่าชิวเจิ้นได้บอกว่าจะไปยืมทหารเบสซ่ามา ซึ่งมันก็ดูเหมือนว่าซานเชสจะตอบรับคำขอเสียด้วย

เขาพยักหน้าให้ “ขอบใจเจ้ามากลูคัส รบกวนด้วยนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกแม่ทัพถัง” ลูคัสดีใจมากที่ถังหยินจำชื่อเขาได้

ชายหนุ่มมองไปยังชัวน่าอีกครั้ง “ข้าไม่คิดว่าฝ่าบาทจะมาด้วยนะ”

นางขบริมฝีปาก “ทำไมข้าจะมาไม่ได้ล่ะ ? อย่าคิดหลงตัวเองเชียวว่าข้ามาเพราะต้องการช่วยเจ้า เป็นเพราะพ่อข้าสั่งหรอกถึงได้มา !”

ลูคัสกับคนอื่นหัวเราะลั่น ด้วยจริง ๆ แล้วต้องบอกว่าซานเชสต่างหากที่ถูกนางบังคับจนต้องยอมให้มาที่นี่

แต่ถึงความจริงจะเป็นเช่นไรถังหยินก็ไม่สนใจ เขาเพียงยักไหล่ให้แล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะยังไงพวกท่านก็คือแขกบ้านแขกเมือง ถ้ามีอะไรที่ท่านต้องการก็บอกข้าได้นะ”

องค์หญิงดีใจมาก “ตามนั้นเลย”

ถังหยินค่อนข้างถูกใจคนที่มีนิสัยแบบนี้มากทีเดียว จึงไล่สายตามองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะพบเข้ากับคนที่ไม่คุ้นเคย ด้วยชุดเกราะของอีกฝ่ายมีตราประจำตระกูลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

“ท่านแม่ทัพคนนี้คือ ?”

“นามของข้าคือบลังก้า” เขาแนะนำตัว

ถึงอีกฝ่ายจะบอกชื่อเสียงเรียงนามมาแล้ว ทว่าถังหยินก็ยังไม่คุ้นชินอยู่ดี เพราะอีกฝ่ายมีใบหน้าสีขาว และลักษณะที่คล้ายคลึงกับคนจีน ซึ่งมันก็ดูประหลาดมากทีเดียวเมื่อเทียบกับชาวเบสซ่าทั่ว ๆ ไป

“อ้อ แม่ทัพบลังก้านี่เอง” จริง ๆ แล้วถังหยินไม่รู้จักหรอก เขาแค่แสร้งทำเป็นรู้จักไปก็เท่านั้น ด้วยไม่อยากเสียมารยาท

ชิวเจิ้นเดินเข้ามา และถึงเขาจะไม่เข้าใจว่าถังหยินกับพวกเบสซ่ากำลังคุยอะไรกัน แต่ก็พอจะเดาได้อยู่บ้าง

เขายิ้มให้กับเจ้านายตัวเอง “นายท่าน ต้องขอบคุณองค์หญิงชัวน่าและแม่ทัพบลังก้าจริง ๆ ที่ทำให้พวกเราชนะซ่งเวินได้ ในอนาคต ถ้าหากพวกเราต้องต่อกรกับพวกหนิง พวกเขาจะต้องช่วยเราได้มากแน่ !”

เด็กหนุ่มกลัวว่าพวกเบสซ่าจะไม่ชอบใจ ถ้าหากกองทัพของตัวเองถูกใช้งานนานเกินไป หรือเกิดการสูญเสีย จึงรีบชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

แต่แท้จริงแล้วนั้น มันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเลย เพราะโดยเนื้อแท้แล้วชาวเบสซ่าเป็นคนใจกว้าง ซึ่งพวกเขาก็ชอบอกชอบใจยิ่งนักกับความตรงไปตรงมาของถังหยิน

ชายหนุ่มยิ้มให้ชิวเจิ้น บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องกังวลไป ทุกอย่างราบรื่นดี

ระหว่างเขาและชัวน่าไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก ผิดกลับบลังก้า ที่พวกเขาสองคนได้แลกเปลี่ยนอะไรกันมากมายทีเดียว ทั้งในเรื่องของวัฒนธรรม และกลยุทธ์การรบที่น่าสนใจ

ในระหว่างที่พูดคุยกัน จู่ ๆ ถังหยินก็พูดขึ้น “ข้าเกรงว่าฝ่าบาทจะไม่ได้รับความสะดวกถ้าพักในค่ายทหาร ท่านสามารถไปพักในเมืองก็ได้นะ”

“แล้วเจ้าล่ะ ?”

“แน่นอนว่าข้าต้องอยู่ที่นี่”

“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ได้ แล้วทำไมข้าจะทำไม่ได้ล่ะ ?”

ถังหยินตัดบทและไม่ได้พูดอะไรต่อ ด้วยไม่ว่านางจะเย่อหยิ่งสักเพียงใด หากแต่ความสามารถของนางก็ยังเป็นที่น่าจับตามอง ดังนั้นเขาจึงมองไปรอบ ๆ แล้วบอกกับชิวเจิ้น “ในเมื่อกองทัพซ่งเวินถูกทำลายไปแล้ว งั้นพวกเราก็สามารถมุ่งเน้นโจมตีไปที่พวกหนิงได้แล้…”

ก่อนจะพูดจบ ก็เป็นจางจี้ที่ชิงกล่าวขึ้นมาก่อน “นายท่าน เป้าหมายแรกของเราไม่ควรจะเป็นพวกหนิงสิ !”

ไม่มีใครชอบให้ถูกพูดขัดคออยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับถังหยิน

“เจ้าหมายความว่ายังไง ?”

“นายท่านได้ครอบครองเมืองจินฮั๋วแล้ว ดังนั้นพวกหนิงคงจะไม่กล้าจะเข้าโจมตีอีกสักระยะเพราะขาดเสบียง แต่ถ้าเกิดว่าพวกเรายังฝืนทำสงครามกับพวกมันต่อ ข้าก็เกรงว่าสายเสบียงของพวกเราจะขาดช่วงได้เพราะถูกลอบโจมตีจากซ่งเทียน”

“เพราะในระหว่างที่พวกเราโจมตีซ่งเวิน พวกเราก็ได้รับข่าวมาว่ามีกองทัพหลวงกำลังจะมาช่วย หากแต่กองกำลังที่ว่านั้นก็ได้หายตัวไประหว่างนั้น ทำให้พวกเขาเป็นตัวอันตรายยิ่ง ด้วยอาจลอบแทงข้างหลังพวกเราเมื่อก็ได้ ! ดังนั้นข้าจึงคิดว่านายท่านควรจะจัดการกับกองกำลังที่ว่านั่นก่อน เพื่อลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้”