ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 165 สวรรค์ เป็นเขาอย่างนั้นรึ

จอมศาสตราพลิกดารา

วันนี้เกิดเรื่องเกินคาดคิดมากมาย โดยเฉพาะฮวาเสี่ยงหรง เทียบกับกายเต๋าฟ้าประทานของนางที่ทำให้เขาบรรลุขั้นพลังได้แล้ว นางลงมาช่วยพูดให้ในยามที่เขาพบความยากลำบากโดยไม่สนใจสิ่งใด ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินสำนักบัณฑิตทั้งสอง น้ำใจครั้งนี้ทำให้หลี่มู่รู้สึกอบอุ่นในใจ

 

หลี่มู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอดหยกประดับชิ้นหนึ่งออกมา

 

หยกประดับชิ้นนี้ใช้ด้ายเงินผูกเอาไว้ รูปร่างเหมือนกลีบดอกไม้พอดี บนนั้นสลักค่ายกลรักษาจิตใจคุ้มกาย เป็นเครื่องรางเต๋าระดับต่ำ หลี่มู่เพิ่งแกะสลักปลุกเสกเสร็จเมื่อเช้า มีประสิทธิภาพในการบอกตำแหน่ง สามารถช่วยผู้สวมใส่ต้านทานการโจมตีเต็มกำลังจากยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ หากนำไปขายในตลาดต้องเป็นของล้ำค่าที่คนแย่งกันหัวร้างข้างแตกเป็นแน่

 

หลี่มู่หมุนตัวมา สวมหยกประดับชิ้นนี้ไว้ที่คอของฮวาเสี่ยงหรง

 

“พบหน้ากันครั้งแรก เกือบลืมของกำนัลแรกพบเสียแล้ว หยกประดับชิ้นนี้เป็นหยกที่ข้าทำขึ้นด้วยตัวเอง สามารถรักษาจิตใจคุ้มกาย หากเจ้าไม่รังเกียจ จำไว้ว่าใส่ติดตัวอย่าให้ห่างกาย”

 

หลี่มู่พูด

 

กิริยาค่อนข้างเอาแต่ใจนี้ของหลี่มู่ทำเอาฮวาเสี่ยงหรงหน้าแดงซ่าน ในใจหวานซึ้งขึ้นมาอีกรอบ

 

ซินเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ กลับค่อนแคะในใจ รังเกียจไม่รังเกียจอะไรกัน เจ้าใส่ไว้ที่คอคุณหนูของข้าโดยไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไร แล้วจะให้คุณหนูปฏิเสธอย่างไร นี่มันจะเอาแต่ใจเกินไปแล้วกระมัง

 

ทว่าบ่นก็ส่วนบ่น ตอนนี้นางมองออกแล้วว่าฐานะและตำแหน่งของหลี่มู่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ จึงไม่ได้ต่อต้านเหมือนก่อนหน้านี้อีก แต่ยังกังวลอยู่นิดหน่อย ไม่รู้ว่าภูมิหลังฐานะของหลี่มู่จะช่วยจัดการเรื่องนั้นของคุณหนูได้หรือไม่

 

“ขอบคุณคุณชายมาก” ฮวาเสี่ยงหรงก้มหน้าลง พูดเสียงอ่อนหวาน

 

หลี่มู่แย้มยิ้ม

 

สตรีงดงามราวเทพธิดาเช่นนี้ ท่าทางเขินอายช่างทำให้คนใจหวั่นไหว ชวนให้มีจิตปฏิพัทธ์

 

“แล้วข้าจะมาอีก”

 

หลี่มู่พูดประโยคนี้ก่อนจะหันกายจากไป

 

ในโถงใหญ่ ฝูงชนแหวกออกเป็นทางด้วยตัวเอง ให้เขาเดินออกไป

 

ด้านนอก เด็กในหอสดับเซียนที่รู้งานจูงม้าดำของหลี่มู่ออกมา

 

หลี่มู่เหวี่ยงตัวขึ้นม้า

 

ทหารชุดเกราะดำราวคลื่นน้ำที่อยู่ข้างนอกแหวกทางให้ หนึ่งคนหนึ่งม้าไม่รีบไม่ร้อน ค่อยๆ จากไปไกลภายใต้แสงสว่างของโคมไฟเจิดจรัสจากสองฝั่งถนน สุดท้ายก็หายไปในความมืด

 

จากไปอย่างสบายๆ และสง่างาม

 

จวบจนกระทั่งร่างของหลี่มู่หายลับไปในถนนไกลโพ้น หลายคนในโถงใหญ่ถึงจะดึงสายตากลับคืนมาช้าๆ

 

ชั่วขณะนั้น ทุกคนต่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

 

“ทหาร หามออกไป ไม่ว่าเป็นหรือตายก็ส่งไปสำนักบัณฑิตของแต่ละคน” ไช่จือเจี๋ยออกคำสั่งให้ลากพวกหลินชิวสุ่ย หลิวมู่หยาง บัณฑิตอ้วนเตี้ย และซ่งชิงเฟยที่สลบออกไป หลังจากตรวจตรารอบหนึ่งแล้วก็สั่งถอนกำลังทหาร

 

นี่ก็นับว่าปิดคดีแล้ว

 

ท่าทีของเขาเป็นตัวแทนท่าทีของทางการ

 

ซึ่งก็หมายความว่าทางการเมืองฉางอันจะไม่สืบสาวราวเรื่องที่หลี่มู่ฆ่าคนอีกต่อไป หากสำนักบัณฑิตทั้งสองจะล้างแค้น เช่นนั้นต้องอาศัยกำลังของตัวเองแล้ว

 

ฝูงชนในโถงใหญ่ที่ดูเรื่องสนุกคิดไม่ถึงว่าเรื่องดำเนินมาจนถึงท้ายที่สุดแล้วจะเป็นแบบนี้

 

นี่มันเป็นการบดขยี้ฝ่ายเดียวชัดๆ

 

เป็นการกำราบอย่างสิ้นเชิง

 

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?

 

ไม่มีใครรู้คำตอบ

 

คำอธิบายเพียงอย่างเดียวคือ ประวัติความเป็นมาและฐานะของเด็กหนุ่มคนนี้น่าตกใจมาก

 

“ใต้เท้าไช่” ไป๋เซวียนอดเอ่ยปากถามไม่ได้ “เด็กหนุ่มคนนี้…เป็นใครมาจากที่ใดกันแน่?”

 

นางกับไช่จือเจี๋ยนับเป็นสหายเก่า ดังนั้นจึงกล้าเอ่ยปากถาม

 

นางอยู่ที่หอสดับเซียนมานานหลายปีขนาดนี้ ได้พบขุนนางชั้นสูงมาไม่รู้ต่อเท่าไหร่ แต่ไม่มีชั่วเวลาไหนเหมือนตอนนี้ที่ทนไม่ไหวอยากรู้ประวัติความเป็นมาของเด็กหนุ่มซึ่งสังหารอาจารย์สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์และเสียงวิหคสวรรค์ แล้วยังสามารถจากไปได้อย่างปลอดภัยภายใต้การน้อมส่งของขุนนางกองรักษาการณ์เขตเมืองตะวันออก

 

ทุกสิ่งในคืนนี้น่าอัศจรรย์ไปนิด

 

ไช่จือเจี๋ยอึ้งไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าไม่รู้?”

 

พูดจบเขาก็กล่าวขึ้นอีก “ยอดปรมาจารย์สายยุทธ์ที่อายุน้อยเพียงเท่านี้ แค่เอ่ยปากก็ร่ายกวีได้ ในฉางอันจะมีสักกี่คนกันเชียว?”

 

รูม่านตาของไป๋เซวียนหดเล็กลง นึกอะไรออก “หรือว่า…จารึกเรือนซอมซ่อ…เป็นเขา?”

 

ไช่จือเจี๋ยพยักหน้า “ข้านึกว่าเจ้ารู้ฐานะของเขาเสียอีก…แปดปีก่อนไร้ชื่อเสียง เมื่อโด่งดังก็ดังในเปรี้ยงเดียว เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นบู๊ จิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุดของจักรวรรดิ หากไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร?”

 

พูดจบ ขุนนางตรวจตราแห่งกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันตกก็นำกองกำลังจากไปอย่างผ่าเผย

 

เขามาก็เพื่อตามเช็ดตามล้างให้หลี่มู่

 

ตอนนี้เช็ดจนสะอาด แน่นอนว่าต้องจากไปแล้ว

 

นี่เป็นปัญหาเรื่องลักษณะการวางตัว

 

สำหรับสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์และเสียงวิหคสวรรค์…หึๆ ภาวนาให้ตัวเองก็แล้วกัน

 

ส่วนตอนนี้ ในโถงใหญ่ของหอสดับเซียนก็ฮือฮาอื้ออึงกันราวกับภูเขาไฟใต้ดินที่อัดอั้นอยู่นาน สะสมพลังเพียงพอแล้วก็ระเบิดออกอย่างเต็มที่ในที่สุด พลังทะลักล้นออกมา ให้ความรู้สึกร้อนระอุที่ทั้งบ้าคลั่งและน่าหวาดหวั่น

 

ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง

 

นี่เป็นความคิดเพียงอย่างเดียวที่ผุดขึ้นมาในใจของทุกคนตอนนี้

 

มิน่าเล่าถึงได้แต่งกลอนอมตะอย่าง ‘กลอนสาวงาม’ กับ ‘พิศบุปผาเพียงพิศพักตร์’ แบบนี้ออกมาได้ ที่แท้เป็นท่านผู้นั้นนั่นเอง

 

ทุกอย่างเหมือนจะกระจ่างแจ้งแล้ว

 

“เจินหย่วนเต้ากับเจี่ยจั้วเหรินตายก็สมควรแล้ว คิดจะแย่งชื่อเสียงของยอดปรมาจารย์หนุ่ม เตะตอเข้าอย่างจังเลย”

 

“เป็นพวกเขารนหาที่ตายเอง”

 

“หลินชิวสุ่ยกับหลิวมู่หยางหลอกอาจารย์ของตัวเอง แต่ว่าก็สมน้ำหน้าแล้ว ศิษย์อาจารย์สองคู่นี้ไม่มีดีสักคน ชั่วช้าไร้ยางอาย วันนี้หากไม่ใช่ยอดปรมาจารย์หนุ่มแต่เปลี่ยนเป็นคนอื่น คงโดนปรักปรำไปแล้ว”

 

“ขโมยกลอนขโมยชื่อเสียง นี่มันแค้นแย่งเมียขโมยลูกชัดๆ”

 

“คราวนี้เจ้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์กับเสียงวิหคสวรรค์ได้ร้องไห้เป็นแน่”

 

ฝูงชนต่างซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์

 

ทิศทางของฝูงชนที่นั่งสังเกตการณ์เปลี่ยนไป เอ่ยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจให้กับสำนักบัณฑิตทั้งสองโดยไม่ลังเลทันใด ไม่ใช่แค่เพราะชื่อเสียงของยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์เหี้ยมโหด แต่ยิ่งเป็นเพราะเรื่องนี้นับตั้งแต่ต้นจนจบ สองสำนักบัณฑิตล้วนเป็นฝ่ายผิดตลอด

 

หากตอนนี้ยังมีคนสงสัยว่าหลี่มู่ลอกผลงานแล้วละก็ สมองของคนคนนั้นจะต้องมีปัญหาแน่นอน ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ บทนั้นก็พิสูจน์ชื่อเสียงของยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์แล้ว อัจฉริยะที่ความรู้ด้านวรยุทธ์ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ จะทำเรื่องคัดลอกแบบนั้นได้อย่างไร

 

เหล่าบัณฑิตของทั้งสองสำนักที่นั่นมีสีหน้าอมทุกข์

 

พวกเขาที่ก่อนหน้านี้ทะนงตนถือดี ตอนนี้แต่ละคนเหมือนบุพการีตาย หดหู่ราวกับสุนัขขี้แพ้ ไม่กล้าตอบโต้แม้แต่ประโยคเดียว รีบจากไปเสมือนหลบหนี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ช่างน่าอับอายนัก สำหรับพวกเขาแล้วเหมือนเสียทั้งฮูหยินเสียทั้งขุนศึก

 

ไป๋เซวียนตอนนี้พอจะตั้งสติกลับมาได้แล้ว

 

เป็นท่านผู้นั้นอย่างนั้นรึ

 

ยอดปรมาจารย์หนุ่มน้อย บุ๋นบู๊ล้วนโด่งดัง

 

จารึกเรือนซอมซ่อก็ทำให้ทั่วทั้งเมืองมีแนวโน้ม ‘ฉางอันกระดาษแพง’ แล้ว คืนนี้ยังมีกลอนอมตะให้เป็นที่ฮือฮาอีกสองบท…ที่แท้บนโลกนี้มีอัจฉริยะอยู่จริงๆ

 

ไป๋เซวียนที่มีหัวทางการค้าตระหนักได้ทันทีว่า นี่เป็นโอกาสที่จะโฆษณาได้อย่างดีเยี่ยม

 

หอสดับเซียนยังจะมีการป่าวประกาศอะไรที่น่าดึงดูดไปกว่า ‘ยอดปรมาจารย์หนุ่มเกิดโทสะมอบกวี’ ‘กลอนสาวงามกับพิศบุปผาเพียงพิศพักตร์เล่าขานเป็นอมตะ’ ‘บันดาลโทสะสังหารคน’ ‘อาจารย์สองสำนักบัณฑิตทำชั่วได้ชั่ว’ อะไรพวกนี้อีก?

 

ขอแค่ดำเนินการให้ดี หอสดับเซียนก็จะสามารถโดดเด่นเหนือศัตรูคู่แข่งสองสามที่อื่นๆ ยืนเป็นหนึ่งของหน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจายสายนี้ได้

 

ส่วนฮวาเสี่ยงหรงก็ลองลงชิงตำแหน่งนางคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองฉางอันดูสักตั้งได้

 

มียอดปรมาจารย์หนุ่มน้อยที่แต่งกลอนอมตะสองบทอย่างนี้สนับสนุน โอกาสดีงามยิ่ง

 

ส่วนฮวาเสี่ยงหรงในตอนนี้ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นพูดอะไรเลย ในหัวของนางขาวโพลนไปหมด

 

เป็นเขาอย่างนั้นรึ

 

เป็นเขาอย่างนั้นรึ

 

เป็นเขาอย่างนั้นรึ

 

ในหัวของนางมีเพียงความคิดนี้เท่านั้น

 

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคืนนี้ทำให้นางรู้สึกว่าเกินจริงนัก

 

ยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์ สง่างามมากความสามารถ วรยุทธ์ยอดเยี่ยม เป็นบุคลที่ผงาดขึ้นมาราวดาวหาง สร้างลมพายุในเมืองฉางอัน บุกสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผล ถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ บีบให้ตัวประหลาดเฒ่าธรรมจารย์กระบี่สวรรค์แห่งโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์จำต้องปรากฏตัว จากนั้น ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ ยังเลื่องลือไปทั่วเมืองฉางอัน…

 

บุคคลทรงอิทธิพล

 

ฮวาเสี่ยงหรงอยู่แต่ในห้องหับ ยังรู้สึกสนอกสนใจบุคคลโดดเด่นมากฝีมือผู้นี้มาก

 

นางไม่ได้สนใจเรื่องการฝึกยุทธ์เท่าใด แต่พูดได้ว่าชื่นชอบ ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ บทนั้นเหลือเกิน นางคัดเอาไว้หลายรอบ พิจารณาความรู้สึกในนั้นอย่างละเอียด และเคยจินตนาการถึงรูปร่างหน้าตาของบุคคลผู้นี้ มีเด็กสาวคนไหนบ้างไม่ถวิลหาคู่ครอง ต่างก็เคยจินตนาการและวาดหวังเอาไว้บ้างทั้งนั้น

 

แต่ว่า นางในตอนนั้นต้องอยู่ห่างไกลจากบุคคลทรงอิทธิพลผู้นี้มากแน่นอน

 

บุคคลที่สง่างามมีชื่อเสียงเช่นนี้ เป็นชายในฝันของเหล่าคุณหนูและสตรีชั้นสูงในเมืองฉางอันไม่รู้ต่อเท่าไหร่

 

แต่คิดไม่ถึงว่ารวดเร็วเพียงนี้ ก็ได้พบเจอเขาด้วยวิธีเช่นนี้แล้ว

 

นางลูบหยกประดับที่หน้าอกชิ้นนั้น บนนั้นเหมือนยังมีอุณหภูมิกายของเขาอยู่ ทำให้เหม่อลอยอย่างห้ามไม่ได้

 

ซินเอ๋อร์ปิดปากเงียบ ในใจยินดีอย่างยากจะปกปิดไว้

 

นางคิดให้ไกลแล้ว แต่ก็ไม่กล้าคิดว่าจะเป็นท่านผู้นั้น

 

ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มที่หน้าตาไม่เลิศเลอ สวมอาภรณ์ธรรมดา ที่แท้จะเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพล หากเป็นเช่นนี้แล้วละก็ ไม่ใช่ว่าสุดท้ายคุณหนูจะมีที่ให้พึ่งพิงแล้วหรือ? และก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นแล้ว?

 

เพียงแต่ไม่รู้ว่าบุคคลเช่นนี้จะจริงใจต่อคุณหนูของนางสักกี่ส่วนกัน

 

คิดถึงตรงนี้แล้ว นางก็จิตใจร้อนรุ่ม

 

หากรู้แต่แรก เมื่อครู่ในห้องส่วนตัวไม่ควรไล่แขกโต้งๆ แบบนั้นเลย น่าจะให้เขาอยู่ในห้องส่วนตัวของคุณหนูนานอีกสักหน่อย ต่อให้…ต่อให้ค้างคืนก็ใช่ว่าจะไม่ได้ อย่างไรเสียหากคุณหนูแต่งกับชายที่สมดังใจแบบนี้ได้ก็นับว่าหลุดพ้นจากห้วงความทุกข์แล้ว

 

เขาคงไม่โกรธนางหรอกกระมัง?

 

สมควรตายนัก เป็นข้าเองที่ทำลายโอกาสของคุณหนู

 

สาวใช้ตัวน้อยโทษตัวเอง

 

ตอนนี้ หลายคนในโถงใหญ่โดยเฉพาะแม่นางและเหล่าผู้ดูแลของหอสดับเซียนพวกนั้น สายตาที่มองมายังฮวาเสี่ยงหรงแฝงไว้ด้วยความอิจฉามากมาย

 

ช่างโชคดีจริงๆ

 

ในเมืองฉางอันไม่ง่ายเลยถึงจะมีบุคคลทรงอิทธิพลแบบนี้ปรากฏตัวขึ้น เวลาไม่นานก็กลายเป็นแขกคนพิเศษของฮวาเสี่ยงหรงไปเสียได้ แต่งกลอนอมตะสองบทออกมาเช่นนี้ จินตนาการได้เลยว่าหลังจากวันนี้ชื่อเสียงของนางต้องพลอยโด่งดังไปด้วยแน่นอน

 

อีกทั้งมีคนเยี่ยมยอดแบบนี้คอยปกป้อง วันหลังยังจะมีใครกล้าคิดไม่ดีกับนางอีก?

 

ยามที่ท่านผู้นั้นจากไป เขามอบหยกประดับให้ฮวาเสี่ยงหรง ก็มองออกแล้วว่าไม่ใช่แค่เล่นสนุกเท่านั้น

 

ในยามที่ผู้คนต่างซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ ทันใดนั้นเสียงเย้ยหยันเย็นชาก็ดังขึ้น “หึๆ ข้าว่าพวกเจ้าลืมอะไรไปเรื่องหนึ่ง เซียนกระบี่สวรรค์จากโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ของข้าท้าดวลหลี่มู่ อย่างมากสุดก็แค่มีชีวิตรอดไปอีกวัน วันมะรืนยามเมื่ออาทิตย์ฉายแสง เซียนกระบี่สวรรค์ก็จะสังหารมันด้วยกระบี่แล้ว”

 

……………………………………………………