ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 166 ปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ

จอมศาสตราพลิกดารา

คนที่พูดคือกลุ่มลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ก่อนหน้านี้นั่นเอง

 

เมื่อครู่พวกเขากลัวจนหัวหดเช่นกัน แต่ละคนก้มหน้างุดกลัวหลี่มู่จะมองเห็น ตอนนี้เด็กหนุ่มจากไปไกลแล้วถึงได้กล้าออกมาคุยโวโอ้อวด

 

ครั้นเอ่ยเช่นนี้ บรรยากาศร้อนระอุในโถงใหญ่ก็เหมือนมีใครใช้น้ำเย็นสาดมายังอ่างผิงไฟที่คุโชน

 

หลายคนถึงนึกถึงเรื่องนี้ได้โดยพลัน

 

ใช่แล้ว ยังมีเรื่องท้าประลองของยอดปรมาจารย์ทั้งสองด้วย

 

ระยะเวลากำหนดท้าประลอง หากนับรวมวันนี้ก็ผ่านไปสองวันแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นศึกตัดสินเป็นตายของยอดปรมาจารย์ทั้งสองคนนี้

 

สองวันที่ผ่านมา ในเมืองฉางอันต่างคาดการณ์ศึกนี้กันไปต่างๆ นานา แต่สรุปแล้วก็ตั้งความหวังไว้ที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์มากกว่า ถึงอย่างไรธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ก็มาจากสำนักมีชื่อเสียง อีกทั้งยังมีชื่อเสียงมาเนิ่นนาน หลายปีมานี้ยิ่งแกล้งตายปลีกวิเวก ไปฝึกฝนวิชา วันนี้พลังไปถึงขั้นไหนแล้วก็พูดได้ยาก ต่อให้บอกว่าทะลวงขั้นยอดปรมาจารย์ก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแล้วก็เป็นไปได้

 

ลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนนี้พอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากประโยคนี้มาก

 

“ข้าบอกพวกเจ้าอย่างไม่กลัวเลย หลี่มู่ตายแน่แล้ว…พรุ่งนี้ยามอาทิตย์ขึ้น จะเป็นเวลาที่หัวของมันร่วงลงพื้น ก็แค่ผู้เยาว์รุ่นหลังที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นยอดปรมาจารย์คนหนึ่ง เซียนกระบี่สวรรค์ฆ่ามันได้ราวเชือดไก่ฆ่าสุนัข”

 

เขาทำหน้าได้ใจ พูดจาอวดดีดูน่าเชื่อถือ

 

ทว่า ครั้งนี้คำพูดของเขาก่อให้เกิดความตื่นตะลึงฮือฮาจากฝูงชนในโถงใหญ่ไม่ได้อีกแล้ว

 

โดยรอบเงียบกริบ

 

ลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนอื่นที่เมื่อครู่ยังตะโกนอย่างกำแหงอวดดี สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แฝงไว้ซึ่งความหวาดกลัว เนื้อตัวสั่นเทา พลางมองไปยังประตูของโถงใหญ่คล้ายเห็นอะไรที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวด

 

ศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนนี้สงสัย “พวกเจ้า…” เขาพลันเข้าใจอะไรทันที จึงหันกายกลับไปมองประตูโถงโดยไม่รู้ตัว

 

กลับเห็นหลี่มู่ที่จากไปแล้วกลับมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

 

เขาผูกม้าดำไว้กับเสาผูกม้าหน้าประตู ก่อนเดินเข้ามาอย่างเนิบช้า “เมื่อครู่รีบไปหน่อย เหมือนข้าจะลืมจ่ายเงิน…” ตั๋วทองใบหนึ่งลอยจากมือเขาไปยังไป๋เซวียนอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนหน้านี้หลังจากเขากับเจิ้งฉุนเจี้ยนนั่งลงที่โต๊ะก็สั่งอาหารมา

 

“ก่อนอาจารย์เจิ้งจะไปได้จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋เซวียนรีบบอก

 

หลี่มู่นิ่งไป พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “อ้อ” เพียงแค่สะบัดมือ ตั๋วทองที่ลอยช้าเนิบไปจนถึงกลางทางแล้วก็กลับมายังมือของเขาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า

 

หลังยิ้มพลางพยักหน้าน้อยๆ ให้ฮวาเสี่ยงหรง หลี่มู่ก็หมุนตัวจากไปอีกครั้ง

 

เหล่าศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

 

ดูท่าทางหลี่มู่เหมือนจะไม่ได้มาคิดบัญชีกับพวกเขา

 

เห็นหลี่มู่ปลดเชือกจากเสา จูงม้าเดินออกไปสองก้าว แล้วจู่ๆ ก็หมุนตัวกลับมา เพียงยกมือขึ้นแสงสายฟ้าหกสายก็พุ่งออกมาจากกลางมือเขา สายฟ้าราวกับงูฟาดเปรี้ยงเข้าไปในกายของศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงหกคนนั้น

 

“คิดว่าข้าไม่ได้ยินจริงๆ รึไง”

 

หลี่มู่เอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

 

อันที่จริง เขาไม่ได้มาเพื่อจ่ายเงินหรอก แต่ตอนที่เดินไปได้ครึ่งทางก็พลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้คิดบัญชีกับศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ในโถงใหญ่พวกนั้นเลย ดังนั้นจึงหาข้ออ้างส่งเดช รีบลับมาจัดการคนพวกนี้

 

ตุบ ตุบ ตุบ!

 

ลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ทั้งหกคนมีควันลอยออกจากร่าง ประหนึ่งต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียม ล้มพับไปบนพื้น น้ำลายฟูมปากเป็นฟองฟอด แขนขาเกร็งกระตุก

 

พลังฝึกกำลังภายในข้างในร่างโดนทำลายสิ้น นับว่าเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว

 

คนในโถงใหญ่ต่างสูดลมหายใจเฮือก

 

ทักษะการแสดงของหลี่มู่เกินความจริงยิ่งนัก พวกเขาก็พอจะดูออก ยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์หลี่มู่ลืมจ่ายเงินเสียที่ไหน เห็นชัดๆ ว่าหาข้ออ้างมาจัดการลูกศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ห้าหกคนพวกนั้น ในเมื่อคนที่ความจำดีบางคนยังจำได้ว่า ก่อนหน้านี้เหล่าศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์นั่งร่วมโต๊ะเดียวกับหลี่มู่ ทั้งยังเอ่ยเยาะหยันอีกด้วย

 

ยอดปรมาจารย์หนุ่มน้อยเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง

 

……

 

“ใต้เท้า ถึงแม้เขาจะเป็นยอดปรมาจารย์ แต่ท่านก็ไม่จำเป็นต้องมา แล้วก็ไม่จำเป็นไว้หน้าเขาต่อหน้าคนมากมายแบบนั้นด้วย”

 

ขุนพลคู่ใจคนหนึ่งถามขึ้นระหว่างทางกลับของกองกำลังทหารชุดเกราะดำ

 

ไช่จือเจี๋ยร่างโอนเอนอยู่บนหลังม้า เหมือนใกล้จะทับม้าศึกที่ขี่อยู่จนแบนแล้วเต็มที “อาจารย์เจิ้งแห่งที่ว่าการเจ้าเมืองมาหาข้า แน่นอนว่าต้องไว้หน้าเขาหน่อย บัณฑิตคนนี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่ควรล่วงเกินเขา อีกทั้งหากตรองลงไปให้ลึก เบื้องหลังเขาก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีเงาของท่านเจ้าเมืองอยู่”

 

“แต่ได้ยินมาว่าหลี่มู่คนนี้เป็นลูกที่ใต้เท้าเจ้าเมืองทอดทิ้ง ปีนั้น…”

 

“ชู่ ระวังคำพูด” ไช่จือเจี๋ยขัดคำพูดของคนสนิท

 

เขาถลึงตามองคนสนิทผู้นี้แวบหนึ่ง “เรื่องในครอบครัวของท่านเจ้าเมืองไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหรือข้าจะเที่ยวเดาส่งเดช ระวังจะมีภัยเพราะปาก” ใครต่างก็รู้ว่าเขาไช่จือเจี๋ยเป็นคนมุทะลุอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ความจริงแล้ว การนั่งตำแหน่งขุนพลตรวจตราแห่งกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นเขตชนชั้นสูงคหบดีได้อย่างมั่นคงมาตลอดสิบปี เป็นเรื่องที่คนมุทะลุทำได้ที่ไหนกัน

 

“จำเอาไว้ วันหลังห้ามล่วงเกินหลี่มู่เป็นอันขาด” ไช่จือเจี๋ยเตือนด้วยสีหน้าดุดัน “สั่งการลงไป คนของกองรักษาการณ์เขตตะวันออกของเรา หากพบยอดปรมาจารย์คนนี้จะต้องเกรงใจ ไม่ว่าใครมาหาพวกเจ้า หากให้จัดการหลี่มู่ก็บอกปัดไปให้หมด ถ้ามีคนทำการโดยพลการแล้วหาเรื่องมาให้ข้า ข้าจะถลกหนังมันเสีย”

 

“น้อมรับคำสั่ง” ขุนพลคนสนิทรีบรับคำ

 

น้อยครั้งที่เขาจะเห็นใต้เท้าของตนกำชับเรื่องเรื่องหนึ่งอย่างจริงจังเช่นนี้

 

ไช่จือเจี๋ยปิดปากเงียบอยู่บนหลังม้า

 

เขากำลังขบคิดความในใจอยู่

 

ยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์รึ

 

หึ ไม่มีอัจฉริยะฟ้าประทานแบบนี้ปรากฏขึ้นนานเท่าใดกันแล้ว

 

ในเรื่องที่เล่าลือกัน ใต้เท้าเจ้าสำนักทุ่งปิดภูผาสำนักเทพที่ปกปักจักรวรรดิทุกวันนี้ เมื่อครั้งอยู่ขั้นยอดปรมาจารย์อายุเท่าใดกัน? เหมือนจะเกินสิบหกแล้วกระมัง แต่หลี่มู่เพิ่งจะสิบห้าเท่านั้น

 

หนึ่งวันหลังจากนี้ ศึกท้าดวลที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ เขาจะไปดูการประลองด้วย

 

ศึกนี้หากหลี่มู่ชนะจริง ต่อให้เป็นชัยชนะที่สะบักสะบอม ก็จะเปลี่ยนจากหนอนไหมเป็นผีเสื้อ โด่งดังไปทั่วจักรวรรดิ

 

ถึงตอนนั้น เมืองฉางอันเล็กๆ แห่งนี้เกรงว่าจะไม่พอให้ยอดปรมาจารย์หนุ่มน้อยคนนี้สำแดงเดชแล้ว

 

แน่นอน เงื่อนไขแรกคือถ้าเขาสามารถเอาชนะได้

 

……

 

หลี่มู่กลับมาถึงตรอกไล่หมูโดยมีเจิ้งฉุนเจี้ยนร่วมเดินทางมาด้วย

 

คุณชายเจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ ด้วย

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนได้สัมผัสความชั่วร้ายของหลี่มู่อีกครั้ง

 

ในบรรดาคนทั้งหลาย เขารู้ดีเป็นที่สุดว่าทำไมหลี่มู่จึงย้อนกลับไป แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เพื่อจ่ายเงินอะไรนั่น เพราะตอนที่ออกมาทีแรกเขาก็บอกแล้วว่าจ่ายเงินเรียบร้อย

 

“เจ้าช่วยข้าจับตาดูหน่อย แม่นางฮวาเสี่ยงหรงคนนั้น ข้าเห็นนางเหมือนมีความในใจอะไร”

 

ก่อนจะเข้าไปยัง ‘เรือนซอมซ่อ’ หลี่มู่หันกลับมากำชับ

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนรับคำ “คุณชายวางใจเถิด”

 

หลี่มู่หมุนตัวเข้าไปในเรือน

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนขี่ม้าออกไปจากตรอกไล่หมู กลับมายังจวนสกุลหลี่ทันที

 

……

 

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม

 

ในห้องหนังสือ

 

เจ้าเมืองหลี่กังมือถือม้วนตำราประวัติศาสตร์ หลังจากฟังเรื่องในคืนนี้ที่เจิ้งฉุนเจี้ยนเล่าจบก็ยิ้มน้อยๆ

 

“วีรบุรุษผ่านด่านสาวงามยากเย็น…ก็ยังมีจิตใจเช่นคนหนุ่มสาวสินะ”

 

มุมปากของเขายกยิ้ม

 

“ใต้เท้า คุณชายเหมือนจะสนใจฮวาเสี่ยงหรงคนนั้นมากเป็นพิเศษ” เจิ้งฉุนเจี้ยนเห็นปฏิกิริยาของท่านเจ้าเมืองสงบนิ่ง จึงถามหยั่งเชิง “ข้าน้อยควรส่งคนไปจับตาดูหอสดับเซียนสักหน่อยหรือไม่”

 

หลี่กังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ “เรื่องพวกนี้เจ้าไปจัดการเองเลย ไม่ต้องมารายงานข้า”

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนพยักหน้ารับคำสั่ง คารวะแล้วออกจากห้องหนังสือไป

 

ภายในห้องหนังสือเงียบกริบยิ่งนัก

 

หลี่กังวางม้วนตำราประวัติศาสตร์ในมือลง จมอยู่ในห้วงความคิด

 

ชายรูปงามอายุสี่สิบกว่าๆ กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของช่วงชีวิตคน ทั้งยังหล่อเหลาสง่างาม มีบุคลิกอย่างสุภาพบุรุษ ภายใต้แสงตะเกียงสลัว สีหน้าเขาเปลี่ยนแปลงไปยากจะคาดเดาอารมณ์ ใบหน้าเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ต่างกับภาพลักษณ์ของใต้เท้าเจ้าเมืองคนที่ปกติอยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาจะมีกำลังวังชาเปี่ยมล้น คล้ายกำชัยชนะไว้ในกำมือ

 

ทันใดนั้น แสงตะเกียงไหววูบ

 

ไอหมอกสีดำสายหนึ่งกะพริบวูบวาบในอากาศ แล้วมาถึงยังหน้าหลี่กัง

 

เขาแค่สะบัดมือ ไอหมอกสีดำก็มาอยู่กลางฝ่ามือของเขาแล้วเลื้อยพันมาตามข้อมือ จากนั้นแปลงเป็นงูสีดำตัวหนึ่ง แลบลิ้นส่งเสียงฟ่อๆ เหมือนกำลังพูดอะไร

 

ใบหน้าของหลี่กังฉายแววประหลาดใจบางๆ

 

“อืม แม้แต่อาณาเขตเรือนก็เข้าไปไม่ได้? เป็นค่ายกลอย่างนั้นหรือ…เจ้าลูกนอกคอกนี่มีวิชาไม่น้อยจริงๆ”

 

หลี่กังแปลกใจเป็นอย่างมาก

 

ไม่นึกว่าจะวางค่ายกลไว้รอบๆ อาณาเขต ‘เรือนซอมซ่อ’?

 

เจ้าลูกนอกคอกรู้วิชาค่ายกลอีกด้วย?

 

……

 

วันต่อมา

 

ฟ้ายังไม่ทันสาง คืนหนึ่งผ่านพ้นไป บนถนนส่วนมากของเมืองฉางอันปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งชั้นหนา

 

ชิวเฟิน[1]ผ่านไปแล้ว

 

อากาศหนาวขึ้นทุกวัน

 

ฉินเจินที่ปลอมตัวเป็นชายกลับมาถึงที่พักชั่วคราว

 

มีองครักษ์รีบเข้ามารายงานเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองเมื่อวานนี้คร่าวๆ ทันที ในนั้นเอ่ยเน้นหนักไปถึงเรื่องที่ยอดปรมาจารย์หลี่มู่สร้างความวุ่นวายที่หอสดับเซียน

 

“ไปหน่วยเลี้ยงรับรองมา? ซ้ำยังสังหารอาจารย์ของสำนักบัณฑิตไปสองคนเพื่อหญิงคณิกานางหนึ่ง?”

 

องค์หญิงฉินเจินที่กลับมาจากหน่วยเลี้ยงรับรองเช่นกัน เมื่อได้ยินข่าวนี้สายตาก็ฉายแววดูหมิ่น

 

ดินโคลนก่อให้เป็นกำแพงไม่ได้จริงๆ สำมะเลเทเมา ลุ่มหลงในกาม…ไม่รู้ว่าไปลอกกวี ‘เรือนซอมซ่อ’ มาจากที่ไหน นางเกือบคิดว่าตัวเองเข้าใจเขาผิดไปแล้วแท้ๆ เห็นทีนี่ต่างหากถึงจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา เพิ่งจะมาเมืองฉางอันได้ไม่กี่วันก็ก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ผู้ชายที่ทะเลาะวิวาทในหอนางโลมมีสักกี่คนที่เป็นคนดีมีคุณธรรม?

 

ฉินเจินส่ายหน้า ไม่อยากสนใจคนคนนี้อีก

 

“เมื่อคืนวานเขายังแต่งกลอนอีกสองบท…” องครักษ์คนหนึ่งที่รายงานในตอนนี้เอ่ยปาก ทำท่าจะยื่นกลอนสองบทที่คัดเอาไว้ไปให้

 

ทว่าฉินเจินโบกมืออย่างเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย “ไม่ต้องแล้ว เผาทิ้งไปเลย วันหลังไม่ต้องพูดถึงเรื่องของคนผู้นี้อีก” นางมีชาติกำเนิดจากราชวงศ์ ตั้งแต่เด็กสิ่งที่อบรมบ่มเพาะมาคือมารยาทในวังอันเคร่งครัดและทัศนคติด้านเกียรติยศศักดิ์ศรี จึงเข้มงวดกับตัวเองและเข้มงวดกับคนอื่นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะนางที่เป็นผู้หญิง สำหรับเรื่องพวกนี้แล้วยิ่งรังเกียจเดียดฉันท์เข้าไปใหญ่

 

องครักษ์ไม่กล้าพูดมาก โค้งคำนับแล้วถอยออกไป

 

ใบหน้าของฉินเจินดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า

 

เมื่อวานนางแอบไปสำรวจสถานที่กักขังภรรยาและบุตรสาวของขุนพลถัง ลอบสำรวจโดยไม่สนอันตรายใดๆ ผลสุดท้ายถูกทหารยามพบเข้า คาดไม่ถึงว่าในบรรดาผู้คุมจะมีผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์อยู่ด้วย เขาค้นพบร่องรอยของนาง การต่อสู้ที่ยากลำบากทำให้นางสูญเสียสายลับที่แฝงตัวอยู่ในหน่วยเลี้ยงรับรองไปสองคนถึงจะรอดพ้นมาได้ ดีที่ฐานะที่แท้จริงไม่ถูกเปิดเผย แต่ว่าการป้องกันแน่นหนาของฝ่ายตรงข้ามทำให้นางตื่นตกใจ

 

“จะต้องวางแผนใหม่แล้ว”

 

ฉินเจินรวบรวมสมาธิขบคิดอย่างหนัก

 

นางรู้สึกหมดพลัง ยากจะไปต่อ

 

ชีวิตทำไมถึงยากลำบากเช่นนี้

 

นางเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง ตำแหน่งสูงส่ง แต่กลับมีอิสระสู้สตรีธรรมดาแบบนั้นไม่ได้ ความกดดันอันหนักหน่วงใกล้จะทับจนนางล้มครืนแล้วเต็มที สิ่งที่แบกรับอยู่ช่างมากมายเกินไปจริงๆ

 

……………………………………………………

 

 

[1] ชิวเฟิน หนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูกาลของจีน เป็นช่วงที่ฤดูใบไม้ร่วงผ่านมาแล้วครึ่งหนึ่ง หลังจากนี้แล้วอากาศจะเย็นลงเรื่อยๆ