ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 167 เหนือยอดปรมาจารย์ (1)

จอมศาสตราพลิกดารา

สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์

 

“กำเริบเสิบสาน สังหารอาจารย์ของสำนักบัณฑิตข้ายังกล้าพูดจาอวดดีแบบนี้…ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

 

ในห้องของเจ้าสำนักบัณฑิต ชายชรารูปร่างองอาจตบโต๊ะจนกลายเป็นเศษผงด้วยความโมโห

 

“สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์เปิดสำนักมาสองร้อยปี มีลูกศิษย์ไปทั่วดินแดน เกรงกลัวบุตรที่ถูกทิ้งตัวเล็กๆ เสียที่ไหน ต่อให้เขาเป็นยอดปรมาจารย์แล้วอย่างไร? ส่งเทียบเชิญศิษย์เก่า เรียกอัจฉริยะของสำนักกลับมาเตรียมตัวรอยอดปรมาจารย์หนุ่มคนนี้”

 

ชายชราคล้ายสิงโตเกรี้ยวกราด

 

“เจ้าสำนัก ไยจึงไม่รอศึกท้าประลองวันพรุ่งนี้จบก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะส่งเทียบเชิญศิษย์เก่าหรือไม่?” มีอาจารย์คนหนึ่งเสนอขึ้น ความนัยของเขาก็คือหากหลี่มู่ตายอยู่ใต้คมกระบี่ของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์วันพรุ่งนี้ เช่นนั้นไม่ต้องยุ่งยากเลย

 

“ไม่ ส่งตอนนี้เลย” เจ้าสำนักชราหัวเราะเสียงเย็น เอ่ยว่า “พรุ่งนี้ตามไปดูการประลองกับข้า มาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น  สำนักบัณฑิตเขาเหมันต์ของข้าหลายปีมานี้สงบเสงี่ยมเกินไปแล้ว เลยทำให้หมาแมวที่ไหนไม่รู้กล้ามาหาเรื่องเรา งานชุมนุมศิษย์เก่าครั้งนี้จะต้องจัดให้ใหญ่โต ให้โลกภายนอกรู้ถึงพลังของสำนักเรา”

 

เขาจะประกาศศักดาแล้ว

 

……

 

“เจี่ยจั้วเหรินไอ้สุนัขเฒ่า ตัวเองรนหาที่ตายก็ช่างเถอะ แต่กลับมาลากให้สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ลำบากไปด้วย ตายไปได้ก็สมควรแล้ว”

 

สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ คนระดับสูงของสำนักสิบกว่าคนมารวมตัวกันอยู่ในห้องเจ้าสำนักเช่นกัน

 

อาจารยหนุ่มคนหนึ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันก่นด่า

 

เขาคืออัจฉริยะของสำนักบัณฑิตที่ปรากฏตัวขึ้นในช่วงสองสามปีมานี้ จึงได้รับมอบหมายงานใหญ่ และได้เข้าร่วมกลุ่มสิบสองผู้วางกลยุทธ์ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ เพราะยังอายุน้อยจึงอารมณ์ร้อน เวลาพูดไม่กังวลอะไรแม้แต่น้อย

 

“ก็แค่คนตายคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” ชายแก่ที่ดูแล้วผมบาง ฟันเหลืองทั้งปาก หน้าตาอัปลักษณ์หัวเราะหึๆ พร้อมกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าตาเฒ่าเถี่ยจ้านส่งเทียบเชิญศิษย์เก่าแล้ว หึๆ ตาแก่นี่อยากจะออกมาเต้นเร่าๆ เต็มที ทนเหงาไม่ได้จริงๆ สินะ”

 

ชายชราคนนี้ก็คือเจ้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์

 

“อาจารย์ เช่นนั้นพวกเราส่ง ‘เทียบเชิญศิษย์เก่าเสียงวิหคสวรรค์’ บ้างดีหรือไม่?” อาจารย์หนุ่มเอ่ย

 

ชายชราอัปลักษณ์โบกมือ “ส่งกับผีอะไรเล่า ระดมพลมากมายจะไปมีความหมายอะไร พรุ่งนี้เจ้าตามข้าไปโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ดูการประลอง หากหลี่มู่รอดมาได้ ถึงตอนนั้นประตูคลังคัมภีร์สำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์จะเปิดไว้ให้เขาเลย ฮ่าๆ อยากจะดูนานแค่ไหนก็ตามใจ ข้าไม่ใช่เถี่ยจ้านตาแก่หัวดื้อนั่น หนังสือตำราของพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เอาไว้ให้คนอ่านรึไงกัน เก็บซ่อนเอาไว้ใช่ว่าจะออกลูกทำพันธุ์ได้เสียเมื่อไหร่”

 

อาจารย์หนุ่มเหงื่อตกทันที

 

คนระดับสูงของสำนักบัณฑิตคนอื่นๆ ก็เหนื่อยหน่ายใจ

 

ลักษณะการพูดจาและการทำงานของเจ้าสำนักบัณฑิตของพวกตนช่าง…เป็นเอกลักษณ์เสียจริง เหมือนคนมีการศึกษาที่ไหนกัน

 

……

 

ตรอกไล่หมู เรือนซอมซ่อ

 

หลี่มู่ตื่นจากการฝึกฝนทั้งคืน เดินออกมาจากห้องฝึกยุทธ์

 

ชุนเฉ่าและเซี่ยจวี๋เตรียมอาหารเช้าพร้อมแล้ว รอหลี่มู่มาทานอาหารเช้าด้วยกันกับท่านแม่หลี่

 

คู่สามีภรรยาตงเสวี่ยกลับสกุลหนิงไปแล้วเมื่อวันก่อน แต่เมื่อวานก็กลับมาอีกครั้ง นำของขวัญมาด้วยมากมาย

 

“ง้าว…” เสือดาวเบญจมาศนอนอยู่ในสวน ส่งเสียงร้องน่ารักเหมือนกับแมวตัวโต จินตนาการเชื่อมโยงเสียงร้องของมันเข้ากับลักษณะใหญ่โตนั่นได้ยากนัก

 

อาการบาดเจ็บของมันโดยรวมดีขึ้นแล้วจากการรักษาของหลี่มู่

 

มีเพียงดวงตาข้างนั้นที่โดนแทงทะลุจึงไม่อาจมองเห็นได้อีก ในวันข้างหน้าเป็นได้แค่มังกรตาเดียวเท่านั้น

 

หลี่มู่โยนขาหมูสดใหม่ชิ้นโตไปตามมือ ถือเป็นอาหารเช้าให้มัน จากนั้นก็ยิ้มพลางนั่งลงเริ่มรับประทานอาหารเช้ากับมารดาและคนอื่นๆ

 

หลังจากหลี่มู่วางค่ายกลแล้ว อาณาบริเวณเรือนก็เต็มไปด้วยพลังชีวิต อากาศบริสุทธิ์ยิ่งนัก มีกลิ่นอายที่ทำให้คนจิตใจผ่อนคลาย พลังวิญญาณมากเพียงพอ ดีกับสุขภาพยิ่งนัก พวกมารดาหลี่มู่ทั้งสามร่างกายฟื้นตัวได้ดีมาก สภาพจิตใจก็เยี่ยมยอดไม่เลว

 

กระทั่งว่าทั้งตรอกไล่หมูก็ได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วย

 

ชาวบ้านในตรอกหลายคนต่างรู้สึกว่าหลายวันมานี้นอนหลับได้สบายมาก สมองโล่งปลอดโปร่ง คนป่วยบางคนก็หายดีอย่างน่าประหลาด อาการบาดเจ็บภายในของบางคนก็เช่นกัน กระทั่งแม่ไก่ที่เลี้ยงไว้ในบ้าน วันหนึ่งยังออกไข่ได้ถึงสองฟอง..

 

“มู่เอ๋อร์ นัดท้าประลองวันพรุ่งนี้ เจ้ามั่นใจหรือไม่?” มารดาหลี่มู่ถามขึ้นเหมือนถามไปตามอารมณ์

 

สิ่งที่นางเป็นกังวลที่สุดก็ยังเป็นเรื่องนี้

 

ถึงแม้วันสองวันมานี้หลี่มู่จะพยายามพูดถึงความรุนแรงของศึกท้าประลองครั้งนี้ให้ดูอันตรายน้อยลง แต่การท้าดวลท้าประลอง ศาสตราวุธหาได้มีตาไม่

 

หลี่มู่ยิ้มตอบ “ท่านแม่วางใจ ศึกคราวนี้ สำหรับข้าแล้วการคว้าชัยชนะง่ายราวพลิกฝ่ามือ”

 

มารดาหลี่มู่ได้ยินบุตรชายรับประกันอีกครั้งจึงค่อยวางใจ

 

ไม่นานก็ทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ หลี่มู่อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนมารดาครู่หนึ่ง

 

“ใช่แล้ว มู่เอ๋อร์ มีเรื่องหนึ่งที่หลายวันมานี้แม่ลืมบอกเจ้าไป ตอนเจ้ายังไม่เกิดก็ได้คู่หมั้นแล้วตั้งแต่อยู่ในท้อง อีกฝ่ายเป็นสหายสนิทที่ดีที่สุดของแม่เมื่อวันวาน ถึงแม้จะไม่ได้ติดต่อกันหลายปีแล้ว แต่แม่ก็ได้ยินมาว่าเพื่อนสนิทคนนั้นมีลูกสาวที่งดงามดุจบุปผาดั่งหยก เป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์…” มารดาหลี่มู่พูดโพล่งขึ้นมาเช่นนี้

 

ว่าไงนะ?

 

คู่หมั้นตั้งแต่อยู่ในท้อง?

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน

 

หลี่มู่จะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก

 

“เมื่อหกปีก่อน นางเคยมาเมืองฉางอันครั้งหนึ่ง เคยได้พบกับแม่ แม่ช่วยเจ้าดูแล้ว เป็นสาวงามราวเทพเซียนจริงๆ เสียดายตอนนั้นเจ้าไม่อยู่ด้วย เรื่องนี้จึงไม่ได้สานต่อ” นางกล่าวขึ้นอีก “ตอนนี้ลูกแม่ประสบความสำเร็จกลับมา ดังนั้นก็พิจารณาเรื่องนี้ได้แล้ว”

 

มารดาหลี่มู่พยายามเต็มที่

 

สหายสนิทของนางในอดีตผู้นั้นก็เป็นคุณหนูตระกูลชั้นสูงเช่นกัน ตอนนั้นทั้งสองสถานะพอกัน สนิทสนมกันดี เมื่อครั้งที่มารดาหลี่มู่ยังไม่แตกหักกับหลี่กัง ชีวิตราบรื่นมีสุข ดังนั้นจึงมีเรื่องหมั้นหมายตั้งแต่อยู่ในท้องขึ้น คร่าวๆ แล้วก็คงเป็นการแต่งงานการเมืองที่ลงทุนเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแบบหนึ่ง เพียงแต่ภายหลังสหายสนิทคนนั้นติดตามสามีไปรับตำแหน่งที่อื่น ห่างกันไกลโพ้น ติดต่อกันน้อยครั้ง

 

ตอนนี้ในที่สุดหลี่มู่ก็กลับมา นางจึงเริ่มวางแผนอนาคตให้ลูกชาย หากแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อนสนิทคนนั้นก็นับว่ามีรากฐานในจักรวรรดิแล้ว

 

น่าสงสารเหล่าบิดามารดาในโลกหล้านี้[1]

 

หลี่มู่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านแม่ นี่มันเรื่องตั้งแต่เมื่อใดกันแล้ว ตอนนี้ท่านและข้าอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจไม่คิดรักษาสัญญาในอดีตแล้วก็เป็นได้ อีกอย่างลูกผู้ชายไยต้องเป็นทุกข์เรื่องคู่ครอง ข้าค่อยๆ หาเอาเองก็ได้”

 

หมั้นตั้งแต่ยังไม่เกิดอะไรพวกนั้น ไม่มีพื้นฐานของความรู้สึกเลยนี่นา

 

“อย่าพูดจาส่งเดชสิ ปีนั้นน้าเหอเป็นสตรีผู้โดดเด่นแห่งเมืองหลวงที่พูดคำไหนคำนั้น ไม่มีทางทำเรื่องรักคนรวยหมิ่นคนจนอะไรพวกนั้นแน่ เมื่อหกปีก่อน ลูกสาวของนางน่าหลันปู๋ฮุ่ยแม่ก็เคยเจอมาก่อนแล้ว เป็นเด็กที่มีเหตุมีผล…” มารดาหลี่มู่อมยิ้มดุลูกชายของตน

 

หลี่มู่ปวดเศียรเวียนเกล้า

 

“ก็ได้ๆ ข้ารู้แล้ว ท่านแม่ นัดท้าประลองพรุ่งนี้ใกล้เข้ามาแล้ว ข้าไปตั้งใจฝึกฝนก่อนนะ”

 

เขาหนีไปอย่างลนลาน

 

ชุนเฉ่าและเซี่ยจวี๋หัวเราะคิกคัก

 

คุณชายที่อยู่ข้างนอกทรงอำนาจน่าเกรงขาม ก็มีเวลาที่จนตรอกแบบนี้เหมือนกันรึ

 

“ม้าว…” เสือดาวเบญจมาศส่งเสียงร้องน่ารัก แทะขาหมูอยู่อีกด้านหนึ่ง

 

……

 

หลี่มู่กลับมายังห้องฝึกยุทธ์ เริ่มทำสมาธิสงบจิตใจ

 

เมื่อคืนวานเขาฝึก ‘หมัดยุทธ์แท้’ และ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ทั้งคืน ทำขั้นพลังให้มั่นคง หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณมากเพียงพอแล้ว

 

หลี่มู่ลืมตาขึ้น ไม่ได้รีบร้อนฝึกฝนต่อ

 

เขาเปิดม้วนตำราบางม้วนข้างหน้าขึ้น

 

นี่คือม้วนตำราเกี่ยวกับวิวัฒนาการและการแบ่งระดับของระบบการฝึกยุทธ์ในโลกใบนี้ที่เขาให้เจิ้งฉุนเจี้ยนไปกวาดค้นในหลายวันที่ผ่านมา ไม่นับว่าเป็นตำราลับวรยุทธ์อะไร ส่วนมากบอกถึงทฤษฎีและความรู้ทั่วไปของการฝึกยุทธ์บางอย่าง

 

ด้านนี้ เป็นด้านที่เขาขาดมากที่สุด

 

แต่ก่อนอยู่ที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ ถึงอย่างไรก็เป็นเมืองอำเภอเล็กๆ ห่างไกลกันดาร จึงขาดความรู้เรื่องการฝึกยุทธ์ เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อรวบรวมหนังสือตำราที่เกี่ยวข้อง แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าระบบการฝึกยุทธ์ของโลกใบนี้แบ่งอย่างไรโดยละเอียด อย่างเช่นตกลงแล้วขั้นรวมพลัง รวมปราณ รวมจิต และเหนือขั้นปรมาจารย์ขึ้นไปเป็นอย่างไรกันแน่

 

ความรู้ทั่วไปพวกนี้ ในยามที่พูดคุยกับพี่ใหญ่กัวอวี่ชิง หลี่มู่เกรงใจที่จะถาม

 

เวลาผ่านไป

 

แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ

 

หลังจากที่อ่านไปรอบหนึ่ง ในที่สุดเขาก็อ่านม้วนเอกสารครบทั้งหมด

 

เขาเข้าใจระบบการฝึกยุทธ์ของโลกนี้ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก

 

พลังยุทธ์สูงต่ำของโลกนี้ส่วนมากแบ่งเป็นขั้นรวมพลัง รวมปราณ รวมจิต ปรมาจารย์ ยอดปรมาจารย์…พลังยุทธ์ของเขาทุกวันนี้อยู่ที่ขั้นยอดปรมาจารย์

 

เหนือขั้นยอดปรมาจารย์ไปอีกก้าวหนึ่งก็จะทะลวงโซ่ตรวนขีดจำกัดมนุษย์ ทำลายพันธนาการที่สวรรค์ลิขิตให้เป็นไป ทำให้กายเนื้อและวิญญาณเกิดการเปลี่ยนสภาพ นับว่าข้ามผ่านหลังกำเนิด (สิ่งที่ได้มาเองภายหลัง) เข้าสู่ก่อนกำเนิด (สิ่งที่ได้มาตั้งแต่เกิด)

 

เรียกว่า ‘ขั้นฟ้าประทาน’

 

ผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทาน เรียกได้อีกอย่างว่าผู้แข็งแกร่งไร้พ่าย

 

ขอเพียงแค่ในกายมีปราณฟ้าประทานเพียงเล็กน้อย ก็นับว่าก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานแล้ว

 

ในทั้งขั้นฟ้าประทานเป็นขั้นตอนการฝึกฝนเปลี่ยนพลังที่ฝึกได้ทั้งหมดให้เป็นพลังฟ้าประทาน เหมือนกับลับมีดบนหินลับมีดจนคม จึงจะถือว่าการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเสร็จสิ้นสมบูรณ์

 

ในขั้นพลังระดับนี้ จำนวนและความเข้มข้นของพลังฟ้าประทานจะเป็นตัวตัดสินระดับสูงต่ำของพลังที่แท้จริง

 

และหลังจากที่กำลังภายในทั้งหมดกลายเป็นปราณแท้ฟ้าประทาน ก็จะไปถึงขั้นที่สูงยิ่งขึ้นไปอีกอีกขั้นหนึ่ง…

 

ขั้นเหนือมนุษย์

 

‘ขั้นเหนือมนุษย์’ นั้นน่ากลัวมากทีเดียว เรียกกันว่าเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอด

 

ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจว ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์มีจำนวนนับได้ ผู้อาวุโสสูงสุดหรือเจ้าสำนักขั้นหนึ่ง ขั้นสอง และเหล่าเชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิทั้งสาม ส่วนมากก็จะมีผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในขั้นพลังนี้ สำแดงศักดาไปทั่วแถบทิศหนึ่ง กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่อยู่จุดสูงสุดของยอด เพียงแค่หนึ่งความคิดก็ควบคุมความเป็นความตายของสรรพชีวิตได้

 

ทั้งยังมีปีศาจเฒ่าพันปีที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกหรือหนองน้ำบางส่วนก็อยู่ในขั้นพลังนี้เช่นกัน

 

แต่ว่า ปีศาจน้อยครั้งนักที่จะออกมาสู่โลกภายนอก หนึ่งเพราะเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจไม่ลงรอยกันสักเท่าไหร่  สองเพราะเมืองที่มนุษย์อาศัยส่วนมากอากาศปนเปื้อน กลิ่นอายโลกีย์คละคลุ้ง พลังวิญญาณเมื่อเทียบกับป่าดึกดำบรรพ์แล้วค่อนข้างเบาบาง ปีศาจที่มุ่งมั่นฝึกบำเพ็ญตนจริงๆ ชอบซ่อนอยู่ในหุบเขาลึก หนองน้ำ หรือสถานที่ตามธรรมชาติมากกว่า

 

มีปีศาจจำนวนน้อยที่เกิดมาชั่วร้าย ฝึกฝนวิชามาร ต้องกัดกินเลือดมนุษย์หรือแก่นสารสำคัญ หลังจากแปลงกายได้ถึงจะแฝงตัวอยู่ในสังคมมนุษย์ สมคบคิดทำเรื่องบางอย่างที่ไม่อาจแพร่งพรายได้ในมุมมืด ทว่าหากถูกพบเข้าก็จะถูกผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ไล่ล่าสังหาร ส่วนมากล้วนแตกดับ ดังนั้นจึงกระทำการลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

 

……………………………………………………

 

 

 

[1]เป็นคำพูดที่เอ่ยถึงว่าความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่ ยอมลำบากและทุ่มเทให้ลูก แต่ลูกกลับไม่เข้าใจ กระทั่งเข้าใจพ่อแม่ผิด