บทที่ 223 พบเจอครอบครัวอีกครั้ง![รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 223 พบเจอครอบครัวอีกครั้ง![รีไรท์]

ทุกคนในบริเวณนั้นเงียบสงัด!

ทั้งชุยซิงอี้และจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิอีกสี่คน ต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งพลังเพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ ก็ทำให้ผู้หวาดกลัวได้แล้ว แต่ตอนนี้ ตายไปแล้วสอง อีกหนึ่งเจ็บหนักจนหลบหนีไปแล้ว ที่เหลือคือโจวเลี้ยนเยี้ยน จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิจากสำนักศาลาไร้รัก และจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิที่ทรงพลังอีกคนชื่อ ซั่วหลุน

เกออู๋เหว่ยตกใจจนสมองชา ใบหน้าที่หล่อเหลาของฉู่ชวิ๋นไม่เข้ากับความดุร้ายเกินกว่ามนุษย์ของฉู่ชวิ๋นเลย

ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นฟ้าที่มีฝนเลือดตกลงมา จากนั้นแววตาของฉู่ชวิ๋น ก็มองไปยังกลุ่มคนที่ยังเหลืออยู่ ทุกคนต่างขนหัวลุก แววตาของฉู่ชวิ๋นเหมือนกับคมมีดที่เฉือนผิวหนังของพวกเขามัน ทั้งเยือกเย็นและน่ากลัว

“สหาย อย่าโมโหเลย พวกเราไม่ใช่เป็นศัตรูกับนายนะ” โจวเลี้ยนเยี้ยนรีบเอ่ยปากบอก ฉู่ชวิ๋นมองเพ่งมาแล้วรู้สึกตลกร้ายเล็กน้อย

“งั้นทุกท่านมาที่นี่เพื่อปิกนิกกันหรอ ?” โจวเลี้ยนเยี้ยนฝืนยิ้มอยู่ในใจ แล้วกล่าวว่า “พูดตรง ๆ นะ ฉันได้รับสัญญาณเตือนให้มาช่วยชีวิตศิษย์ในสำนัก ฉันนึกว่าพวกเขาจะเจอกับเรื่องอันตรายเลยรีบมุ่งตรงมา ไม่คิดเลยว่าศัตรูจะเป็นกับนาย”

ซั่วหลุนผงกหัวตอบรับ ตะโกนออกมา “พวกเราไม่เคยเจอกัน จะเป็นศัตรูกันทำไมล่ะ ?”แววตาของฉู่ชวิ๋นดูขำขัน

“แล้วทำไมคนที่มาด้วยถึงจะฆ่าฉันทันที ที่เจอเลยล่ะ”โจวเลี้ยนเยี้ยนและซั่วหลุนรู้ดีว่า ฉู่ชวิ๋นหมายถึงเกอหยิงเทียนและอูหมิง

“สหายเต๋า นายกำลังเข้าใจผิด พวกเราไม่ได้มาด้วยกัน พวกเราแค่มาถึงพร้อมกันเท่านั้น” โจวเลี้ยนเยี้ยนอธิบายด้วยรอยยิ้ม

ที่จริงแล้วในใจทั้งสองคนรู้สึกกดดันมาก นี่ยังเป็นครั้งแรกของจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิอย่างพวกเขาที่ต้องมาอธิบายเรื่องราวให้คนอื่นอย่างละเอียดเช่นนี้

ที่สำคัญคือ คนตรงหน้านี้โหดร้ายจนอธิบายไม่ถูกเขาน่ากลัวเกินกว่าจนไม่เหมือนมนุษย์ ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา ฆ่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิแบบไม่ลังเลใจ ไม่ต่างอะไรกับจอมมารเลย เอ๊ะเดี๋ยวนะ…จอมมาร ? พอคิดมาถึงคำนี้ โจวเลี้ยนเยี้ยนและซั่วหลุนก็จ้องตากัน

“สหาย นายคงเป็นจอมมารฉู่ที่ สิบกว่าปีที่แล้วทำให้ยุทธภพต้องวุ่นวายสินะ ?” หนุ่มแน่น ดุร้าย ภูเขาเชียนหลง พอเอาเรื่องพวกนี้มาปะติดปะต่อกันมันก็เดาได้ง่ายเลยว่า อีกฝ่ายเป็น  ฉู่ชวิ๋น

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย โจวเลี้ยนเยี้ยนและซั่วหลุนสบตากัน ที่แท้เขาก็คือจอมมารฉู่ สิบห้าปีก่อนนั้นชื่อเสียงของจอมมารฉู่โด่งดัง ประหนึ่งว่าเขาเป็นเทพเจ้าทุกคนต่างก็รู้จักชื่อเสียงของเขา

“พวกนายยังไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับเหตุผลที่คนพวกนั้นจะฆ่าฉันเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นครุ่นคิด เขาคิดในใจว่าจะกุดหัวสองคนนี้เสียที่นี่ไปเลยดีไหม ? สายตาของทั้งสองคนระแวดระวังในความอันตรายของฉู่ชวิ๋น ซึ่งพวกเขาต้องพยายามเตือนตัวเองไว้เสมอ

“สหายเอ๋ย มันยังมีบางส่วนที่เข้าใจผิดอยู่นะ พวกเราเพียงแค่มาพร้อมกัน แล้วสองคนนั้นเขาสนิทกับชุยซิงอี้” ซั่วหลุนรีบอธิบาย

แบบนี้นี่เอง ฉู่ชวิ๋นทำความเข้าใจกับสถานการณ์

“แล้วคนที่หนีหัวซุกหัวซุนไปนั่นชื่ออะไร ?” ฉู่ชวิ๋นถามโดยมุ่งไปถึงคนที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนคนนั้น

จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิยามหลบหนี น้อยคนที่จะตามล่าตัวทันแล้ว ที่นี่ยิ่งเป็นป่าหนาทึบยิ่งทำให้ตามตัวได้ยาก

โจวเลี้ยนเยี้ยนและซั่วหลุนริมฝีปากกระตุก ในใจคิดว่าพวกเขาโชคดีจริง ๆ ที่ไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้กับจอมมารฉู่ นี้เขาคิดจะตามล่าตัวอูหมิงแล้ว!!

“คนนั้นคืออูหมิง เป็นผู้อาวุโสแห่งปราสาทเทียนหลง” ซั่วหลุนบอก

ฉู่ชวิ๋นผงกหัว แล้วก็กล่าวออกมา “ศิษย์ของพวกนายกำลังจะฆ่าเพื่อนฉัน แถมยังเป็นที่หน้าบ้านของฉัน เพราะงั้นคงต้องขอคิดบัญชีหน่อยแล้ว!”

เห้ย….ทั้งสองตกตะลึง ความคิดของจอมมารฉู่น่ากลัวเกินไป จนพวกเขาไม่อาจตามความคิดได้ทัน เมื่อกี้ยังถามถึงอูหมิงอยู่เลย ตอนนี้เขากลับเริ่มคิดบัญชีคนอื่นแล้ว

“นายกับฉันเดินบนเส้นทางเดียวกัน น่าจะเข้าใจดีถึงความดึงดูดของสิ่งของพวกนี้สิ เด็กพวกนี้เจอดอกไม้สายพันธุ์หายากอย่างดอกขนมังกรคราม ก็อยากจะได้มาครอบครองเป็นเรื่องปกติ แต่โชคดีที่ยังไม่ได้ทำผิดพลาดใหญ่อะไร ฉันขอโทษแทนพวกเขาด้วยนะ” ซั่วหลุนกล่าวอย่างใจเย็น

“ปกติ ?” แววตาของฉู่ชวิ๋นดูแดกดัน

“คนหลายคน ไปรุมล้อมเธอคนเดียวเนี่ยนะเรียกว่าปกติหรอ พวกแกสมองกลับแล้วหรือไง ?”

“ฉู่ชวิ๋น ปล่อยพวกเขาไปเถอะ!” หงหลิงพูดออกมา

ฉู่ชวิ๋นรู้สึกสับสนที่ได้ยินแบบนี้ โจวเลี้ยนเยี้ยนและซั่วหลุนเองก็ตกใจ จากความเข้าใจของพวกเขาหากฉู่ชวิ๋นมาไม่ทัน เธอคงจะตายไปแล้วเพราะงั้นเธอไม่น่าพูดแบบนี้

“เธอเคยช่วยชีวิตฉันไว้..…” หงหลิงเล่าเหตุการณ์ พอฟังจบ โจวเลี้ยนเยี้ยนและซั่วหลุนก็อึ้งไปเลย ฉินเฉิงจื่อที่ถูกยกย่องกับในฐานะบุตรแห่งสวรรค์ไม่คิดเลยว่า จิตใจเขาจะสกปรกหยาบช้าแบบนี้

“มันมาจากสำนักอะไร ?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความอยากรู้เนื่องจากตั้งแต่ที่เขาตื่นขึ้นมา เขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวโลกนี้มาก ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปจนเขาไม่อาจตามทัน

ซั่วหลุนมองฉู่ชวิ๋นแบบงง ๆ แล้วบอกฉู่ชวิ๋นว่าอีกฝ่ายมากจากสำนักอะไร

เมื่อฉู่ชวิ๋นฟังจบก็เลิกคิ้ว สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไป แต่สายตาเขาเย็นชาดั่งน้ำแข็ง

“สำนักดาบพิฆาตนี้ สมควรถูกทำลายทิ้งไปซะ” วิธีของสำนักดาบพิฆาตทำให้ฉู่ชวิ๋นรู้สึกไม่พอใจมาก ซึ่งตอนนี้ฉินเฉิงจื่อและชุยซิงอี้ไม่ได้คิดเลยว่า ตัวเองได้สร้างความลำบากให้กับสำนักดาบพิฆาตมากขนาดไหน

ฉู่ชวิ๋นเก็บพลังลมปราณเรื่องสำนักดาบพิฆาตไว้เขาค่อยจัดการทีหลัง พวกเซวียนเซียนรอดจากเงื้อมมือของฉู่ชวิ่นไปได้ เพราะคำขอของหงหลิง

ซั่วหลุนรู้สึกผิดหวังไม่น้อย กล่องดอกไม้นั้นถูกฉู่ชวิ๋นนำไปแล้ว ซั่วหลุนเกือบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ดอกไม้และสมุนไพรในนั้นเป็นสายพันธุ์ที่หายากมาก ถึงแม้ว่าโลกจะกลายพันธุ์ไปแล้วก็ตาม

“สหาย ฉันขอตัวก่อนนะ” โจวเลี้ยนเยี้ยนบอกกล่าว และพาเซวียนเซียนจากไป

“ไว้เจอกัน” ฉู่ชวิ๋นเอ่ย ซั่วหลุนตัวสั่นเทา รีบหันหัวหนีไปพร้อมศิษย์ของตน

“ไร้มารยาทจริง ๆ” ฉู่ชวิ๋นพึมพำ

หงหลิงยิ้มแล้วอธิบาย “เดาว่าในใจเขาก็คงภาวนาไม่ให้เจอนายอีกตลอดไปน่าจะดีกว่านะ”

“ทำไมล่ะ ?” ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจ

“ถึงโลกจะเปลี่ยนแปลงจนหญ้าอายุวัฒนะเกลื่อนพื้น แต่มันก็ไม่ได้ด้อยค่าลงมาก เพราะงั้นคนที่แข็งแกร่งระดับนายโลกนี้ ยังไงก็มีไม่มากหรอกนะ” หงหลิงพูดหยอกล้อ

“ไม่ขนาดนั้นหรอกหน่า เป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิจะมากลัวอะไรกับเรื่องแค่นี้ ไม่สมกับเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นพึมพำเขาถือว่า จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิแข็งแกร่งจริง ๆ พวกนี้ไม่ธรรมดาเลย

ถ้าเป็นเมื่อสิบห้าปีก่อนสู้กันแบบตัวต่อตัว เขาก็ไม่รู้จะเอาชนะได้หรือเปล่า หงหลิงหัวเราะเล็กน้อย มองฉู่ชวิ๋นอย่างจริงใจ

………

ฉู่ชวิ๋นวาดมือขึ้นบนท้องฟ้า ให้เมฆหลบทางพระอาทิตย์ส่องแสงเห็นหนทางในภูเขาชัดเจน หงหลิงดวงตาเบิกกว้าง มองไปยังทางขึ้นภูเขาเส้นเล็ก ๆ ที่ขยายขึ้น

“นี่มาจากพลังเขตแดนงั้นเหรอ ?” เธอเอ่ยถาม

ฉู่ชวิ๋นผงกหัว พูดเบา ๆ “ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะหนีมาที่บ้านของฉัน”

หงหลิงฝืนหัวเราะ พูดออกมา “ฉันหนีไปไหนไม่ได้เลยจริง ๆ ฉันก็ไม่นึกว่านายจะอยู่ที่นี่หรอก”

ฉู่ชวิ๋นมองไปข้างล่าง ตอนที่เขาเปิดคฤหาสน์ตระกูลฉู่ ที่คนมากมายมารวมตัวกันทันที พวกเขาต่างก็เป็นพวกจอมยุทธ์ ทั้งสองคนคุยไปพลางขึ้นเขาไปด้วย

แฮ๋!

ระหว่างทางมีหมีดำสูงขนาดเก้าเมตรคำรามมันไปพุ่งชนใส่ยอดเขาลูกหนึ่ง ทำให้หงหลิงตกใจมาก ที่นี่ก็มีสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่ด้วยงั้นเหรอ

“มันเป็นของปลอมน่ะ” ฉู่ชวิ๋นบอก

หงหลินยิ่งตกใจจนตัวสั่น พลังเขตแดนมันดูพิลึกเกินไปแล้ว

“น่าเสียดายนะ แต่ก่อนพวกสัตว์นี้ขู่คนได้ แต่ตอนนี้สัตว์แบบนี้มีอยู่ทุกที่ เลยไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร” ฉู่ชวิ๋นพูดพลางปล่อยควันสีม่วงออกมา มันพุ่งเข้าไปแล้วทุกอย่างก็หายไป เหล่าสัตว์ดุร้ายร่างกายสลายแล้วปลิวไปตามลม พอมาถึงที่ยอดภูเขา ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกดีใจ ห่างหายกันไปสิบกว่าปี ไม่รู้เลยว่าคนในครอบครัวกินอยู่ยังไง แล้วหงหลินก็ถูกดึงดูด โดยดาบบนหินย้อยสีขาว

“ฉันขอเข้าใจมันก่อนไปได้ไหม ?” หงหลินดูมีความหวัง

“อย่าไปเสียเวลาเลย เดี๋ยวฉันให้เพลงดาบทั้งหมดกับเธอไปเลยดีกว่า” ฉู่ชวิ๋น พูดอย่างสบาย ๆ

หงหลินรู้สึกกังวลใจ เนื่องจากเธอรู้ว่าเพลงดาบนี้มีค่ามากแค่ไหน แต่ฉู่ชวิ๋นกลับให้เธออย่างง่ายดายแบบนี้ ฉู่ชวิ๋นไม่ได้คิดอะไรมากนัก ทักษะยุทธ์ เพลงดาบหรือเพลงกระบี่นั้นเขามีอยู่มากมาย แค่เพียงเอานิ้วชี้แตะที่หน้าผากของหงหลิง ข้อมูลมากมายก็ถูกส่งผ่านไปให้เธอแล้ว

หลังจากนั้นไม่นานฉู่ชวิ๋นก็เก็บมือและหงหลิงลืมตาขึ้นมา

“นี่มันไม่ใช่เพลงดาบศิลานี้น่า ?” หงหลิงประหลาดใจเล็กน้อย

“มันมีชื่อว่าเพลงดาบจันทรา น่าจะเหมาะกับเธอมากกว่า” ฉู่ชวิ๋นบอก

หงหลิงยิ้มออกมา “ขอบคุณมากนะ”

“อืม ไม่เป็นไรหรอกเรื่องแค่นี้เอง!” ฉู่ชวิ๋นยิ้มแล้วพยักหน้า ทั้งสองมาที่อีกส่วนของลานกว้าง มีรถขนาดใหญ่จอดอยู่ ซึ่งมันอยู่มาตั้งแต่ก่อนที่ฉู่ชวิ๋นจะจากไป

กลุ่มเงากลุ่มหนึ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขา พร้อมกลุ่มแสงออร่าที่ปกคลุมคนในนั้นเอาไว้

“คนพวกนี้คือครอบครัวของนายหมดเลยหรอ ?” หงหลินถาม ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าแล้วยิ้มเล็กน้อย เขาสะบัดมือปล่อยควันสีม่วงออกมา แสงหลากสีด้านหน้าหายไปปรากฏร่างของผู้คนในนั้น

“พ่อ แม่ โร้วโร้ว…” ฉู่ชวิ๋นประทับนิ้ว เหล่าจิตวิญญาณของภูเขาเฉียนหลงรวมตัวกันมาเป็นสายน้ำ

ตู้ม!

อากาศแยกออก แสงแห่งปัญญาพวยพุ่งออกมาทั้งสี่ทิศแปดด้าน

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง

แค่ก!

ถางโร้วเป็นคนที่ไอออกมาก่อน เธอตื่นขึ้นมามองที่ฉู่ชวิ๋นด้วยสายตางุนงงแล้วนิ่งไป จากนั้นสีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและตื่นเต้น ต่อมาคนอื่น ๆ ก็ตื่นขึ้นมา

เจิ้งก่วงอี้ที่อ่อนแอที่สุดต้องใช้เวลานานมากกว่าจะตื่นขึ้นมา แต่ก็ทำให้ฉู่ชวิ๋นโล่งใจ

“เสี่ยวชวิ๋น….” หลิวหรานดวงตาแดงก่ำ

“ไอ้เด็กโง่ แกกลับมาแล้วหรอ ?” ฉู่เทียนเหอมองลูกชาย ดวงตาแดงพร้อมจะร้องไห้ออกมา

เฉินฮั่นหลง เจิ้งก่วงอี้ โม่ซิงเหอ เป็นชายร่างใหญ่ แต่ทุกคนกำลังตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ พวกเขาวนล้อมรอบฉู่ชวิ๋นคุยกันคึกคัก ส่วนฉู่ชวิ๋นเองก็คุยแบบเป็นกันเองกับทุกคน

“พี่ฉู่ชวิ๋น….” ถางโร้วเดินมาหา พร้อมผิวที่ขาวราวหิมะ

ฉู่ชวิ๋นลูบหัวเธอแล้วบอกว่า “ไว้วันหลังค่อยมาฝึกกันนะ” ถางโร้วยิ้มหวานออกมาและพยักหน้าให้

ฉู่ชวิ๋นสำรวจถางโร้วก็ตกใจ เพราะความเร็วในการฝึกฝนของถางโร้วสูงมาก แม้ว่าถางโร้วจะไม่ได้มีร่างกายพิเศษ แต่ก็น่าจะผู้ฝึกตนเป็นเซียนได้

“ตอนนี้เสี่ยวโร่วของฉันเก่งแล้วสินะ” ฉู่ชวิ๋นพูดหยอก ถางโร้วเขิน ๆ แล้วพยักหน้ารับ เธอเก่งขึ้นมาก แต่พออยู่ต่อหน้าฉู่ชวิ๋น เธอก็คือน้องสาวตัวน้อยที่แอบรักฉู่ชวิ๋นอยู่ดี

ฉู่ชวิ๋นมองรอบ ๆ ดูคนอื่น ๆ ซึ่งเจิ้งก่วงอี้ แม้จะแก่แล้วแต่ก็สามารถฝึกได้ดี

“เยี่ยมเลย เก่งกว่าลูกของนายอีกนะเนี่ย” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยชม

เจิ้งก่วงอี้ตื่นเต้นจนหน้าแดงไปหมด เขามีความสุขมากเขา ไม่คิดว่าชีวิตตัวเองจะได้มีโอกาสอะไรแบบนี้ คนอื่น ๆ ก็ค่อนข้างเก่งขึ้น บางคนเหมาะสมจะเริ่มฝึกพลังลมปราณแล้ว

“คนนี้ใครหรอจ๊ะ ?” หลิวหรานมองไปที่หงหลิงที่อยู่ข้าง ๆ ฉู่ชวิ๋น

ฉู่ชวิ๋นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ลืมแนะนำหงหลิง จึงได้แนะนำให้ทุกคนรู้จัก เฉินฮั่นหลงกับหงหลินรู้จักกันมาก่อนแล้ว แต่เพิ่งรู้ว่าตอนนี้หงหลินเป็นปรมาจารย์ระดับห้า ทำเอาเขางงจนอ้าปากค้าง หงหลิงบอกว่า เธอบังเอิญได้ดอกไม้สายพันธุ์หายาก ทำให้การฝึกฝนของเธอรวดเร็วกว่าคนปกติ

หลังหยอกล้อกันไปสนุกสนานทุกคนก็หัวเราะออกมา ไม่เจอกันนาน พวกเขาคุยหลาย ๆ เรื่องไม่มีหมด เหล่าคนแก่บางคนก็ไปกินข้าวด้วยกัน

ส่วนเฉินฮั่นหลงไปเอาเหล้ามากมายหลายชนิดจากที่ไหนมาก็ไม่รู้ พอฟ้ามืดก็เรียกทุกคนมารวมตัวกันกะจะมอมเหล้าฉู่ชวิ๋น

ถางโร้วเกาะติดฉู่ชวิ๋นแจไม่ไปไหน พอดู ๆ แล้วฉู่ชวิ๋นก็แอบขำออกมา เมื่อหงหลิงเห็นภาพนั้นก็ส่ายหน้าและคิดว่า ‘เขามีคนใหม่แล้วสินะ’

ชั่วโมงต่อมาทุกคนก็เริ่มกินข้าว

เฉินฮั่นหลงเปิดงาน ให้ฉู่ชวิ๋นเริ่มดื่มก่อน พอดื่มเสร็จเขาก็ขยิบตาให้ทุกคน แต่พวกเขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

“ฮั่นหลง มาดื่มกันอีกสักกรึ๊บมา” ฉู่ชวิ๋นยิ้มแล้วยกแก้วเหล้าขึ้น เฉินฮั่นหลงรีบลุกขึ้นแล้วเคาะแก้ว ในเวลาเดียวกันก็ให้ทุกคนกะพริบตา

“ฮั่นหลง ตาเป็นตะคริวขึ้นหรอ ?” เจิ้งก่วงอี้พูดด้วยหน้าตางงงวย

“ตะคริวขึ้นแน่นอน ฉันเห็นว่าตาเขากะพริบไม่หยุดเลย” โม่ซิงเหอบอก

“ตำราเขาว่าไว้ ตาขึ้นตะคริวต้องซดเหล้าช่วย งั้นคุณเฉิน ผมขอเชิญคุณอาซดอีกแก้ว” เจิ้งก่วงอี้แก้วเหล้าแก้วใหญ่เฉินฮั่นหลงโดนกดดัน

ต่อมา เฉินฮั่นหลงก็เรียกคนมาแก้แค้น โดยการเวียนเหล้าไปแต่ละคน ส่งต่อไปที่ฉู่เทียนเหอ ถางเหวินเหยียน ทุกคนต่างเข้ามาสนุกด้วยกัน

ตอนเริ่มต้นเฉินฮั่นหลงลองใช้พลังลมปราณทำให้เหล้าระเหย แต่ผลคือโดนฉู่ชวิ๋นห้ามไว้ เขาเลยใช้ลมปราณสลายความเมาเหมือนในหนังไม่ได้

ผลสุดท้ายก็คือ เฉินฮั่นหลงเมาหัวราน้ำ!!