เมื่อได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์แล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่สนใจคนเหล่านี้อีกต่อไป เขาเดินจากไปในทันที

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป ผู้คนที่เผชิญกับพลังของอวี้ฮ่าวหราน ก็รู้สึกราวกับมีคนยกภูเขาออกจากอกของพวกเขา พวกเขาต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกและวิจารณ์กันอย่างอื้ออึง

“พระเจ้า! หัวหน้าแผนก ผู้ชายคนนั้นน่ากลัวมาก ๆ เลย นี่พวกเราไปล่วงเกินคนที่พวกเราไม่อาจล่วงเกินได้เข้ารึเปล่า?”

“อืม เมื่อครู่ฉันเองก็กลัวจนเหงื่อออกเต้มหลังเช่นกัน”

“…”

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อเขาออกจากสำนักข่าวเทียนเย่แล้ว ในระหว่างที่เขาอยู่บนรถเขาก็มีความคิดดี ๆ วิธีหนึ่งในการหาตัวหว่านเฮิง

ในเมื่ออีกฝ่ายกำลังไล่ตามฟ่านซีเหยียนอยู่ ถ้างั้นมันคงไม่ยากหากเขาจะใช้ฟ่านซีเหยียนเป็นตัวล่อให้อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาจริงไหม?

รอบที่แล้วเขาไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างสักเท่าไหร่เขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นอีกฝ่าย คราวนี้ถ้าเขาพยายามสำรวจหาดี ๆ เขาคงเจออีกฝ่ายได้ไม่ยาก!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานโทรหาฟ่านซีเหยียนทันที

“หา? นี่คุณจะให้ฉันออกไปกินข้าวกับคุณอีกแล้วงั้นเหรอ?”

ฟ่านซีเหยียนถามกลับด้วยน้ำเสียงตกตะลึง

“ต…แต่ หว่านเฮิงจะต้องถ่ายรูปพวกเราอีกแน่นอนและถ้าเราถูกถ่ายอีกรอบพวกเราคง…”

“ไม่ต้องกังวล เหตุผลที่ผมให้คุณออกมาคราวนี้เป็นเพราะผมต้องการล่อให้หว่านเฮิงปรากฏตัวเพื่อที่ผมจะได้จับตัวมัน!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นแทรกเพื่อคลายความกังวลของอีกฝ่าย…

“ง…งั้นเหรอ? ถ้างั้นฉันขอคุยกับผู้จัดการส่วนตัวของฉันก่อนก็แล้วกัน เธอน่าจะเห็นด้วย”

หลังจากพูดจบ ฟ่านซีเหยียนก็วางสายไปอย่างฉับพลันแล้วจากนั้นอีก 2 นาทีถัดมาเธอก็โทรหาอวี้ฮ่าวหรานใหม่

แน่นอนว่าคำตอบของเธอคือ ตกลง หลังจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็นัดหมายกันที่ภัตตาคารจินหัวเหมือนเดิม

อวี้ฮ่าวหรานดูเวลาและเมื่อเขาเห็นว่ามันใกล้จะได้เวลานัดหมายซึ่งเป็นเวลาเดิมกับคราวที่แล้ว เขาก็ขับรถไปที่ภัตตาคารจินหัวทันที

ครึ่งชั่วโมงถัดมา…

อวี้ฮ่าวหรานนั่งอยู่ในร้านเรียบร้อยแต่สายตาของเขาเหลือบมองไปที่ด้านนอกร้านแทบจะตลอดเวลา

หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ ฟ่านซีเหยียนก็ตามมาถึง แต่ในทันทีที่เธอลงจากรถ อวี้ฮ่าวหรานสังเกตเห็นรถอีกคันที่ขับตามหลังเธอมาไกล ๆ หยุดลงทันทีเช่นกัน

รถอีกคันที่หยุดลงอยู่ห่างไปไกลมากซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดาคงไม่มีทางสังเกตเห็นแน่นอน…

ถัดมาหลังจากที่รถต้องสงสัยหยุดลง แค่เวลาผ่านไปชั่วครู่กระจกข้างของรถก็ค่อย ๆ ลดลงและคนที่อยู่ในรถก็หยิบกล้องที่มีเลนซ์ขนาดใหญ่ขึ้นมาเล็งไปที่ฟ่านซีเหยียน!

เมื่อฟ่านซีเหยียนเดินเข้ามาในร้านอาหาร อวี้ฮ่าวหรานลุกขึ้นและเอ่ยกับเธอทันที…

“คุณเข้าไปนั่งรอด้นในห้องส่วนเบอร์ 3 ก่อน ผมจองเอาไว้ให้แล้ว ผมขอออกไปจับหนูสักครู่หนึ่ง!”

“ออกไปจับหนู?” ฟ่านซีเหยียนทวนคำด้วยสีหน้างุนงง

“เอาเป็นว่าคุณเข้าไปนั่งรออยู่ด้านในอย่าไปไหน ผมจะออกไปแก้ปัญหาให้เรา!”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปยังหลังร้านทันทีเพื่อออกประตูหลัง

เมื่อออกไปนอกร้านผ่านประตูหลัง อวี้ฮ่าวหรานเดินลัดเลาะซอยที่ขนาบข้างไปกับถนนเพื่อเข้าใกล้รถต้องสงสัยให้มากที่สุด

หลังจากเดินไปได้สักพักเขาก็มาหยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนที่รถต้องสงสัยจอดอยู่พอดีซึ่งอวี้ฮ่าวหรานก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนภายในรถกำลังถ่ายภาพของฟ่านซีเหยียนอย่างเมามันส์

เขาเดินข้ามถนนตรงไปที่รถตู้สีเทา และเปิดประตูหลังพร้อมกับเข้าไปนั่งอย่างฉับพลัน!

แน่นอนว่าคนที่อยู่ในรถคือหว่านเฮิงอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ มีใครก็ไม่รู้เข้ามานั่งที่เบาะหลังรถของตัวเอง หว่านเฮิงก็สะดุ้งโหยงพร้อมกับตะโกนลั่น

“ฮ…เฮ้ย! นี่แกเป็นใครกัน!?”

“โอ้? นี่แกจำหน้าฉันไม่ได้แล้วงั้นเหรอ? แกเพิ่งถ่ายภาพของฉันไปไม่กี่วันก่อนนี้เองไม่ใช่เหรอไง?”

ในขณะที่หว่านเฮิงกำลังตกตะลึงจู่ ๆ กล้องในมือของเขาก็หายไปอยู่ในมือของฝั่งตรงข้ามซึ่งมันทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม!

“ไม่เลวเลย แกถ่ายภาพได้สวยจริง ๆ” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเยาะเย้ยพลางกดดูรูปต่าง ๆ ในกล้อง

“ก…แกเป็นใครกันแน่ แกเข้ามาในรถของฉันได้ยังไง!?”

หว่านเฮิงไม่รู้ว่าจะตกตะลึงเรื่องไหนก่อนดี เรื่องที่ชายคนนี้สามารถเข้ามาในรถของเขาได้ยังไงทั้ง ๆ ที่ล็อคอยู่หรือว่าขโมยกล้องในมือของเขาไปได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวได้ยังไง?

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเพ่งมองไปที่หน้าของชายหนุ่มที่จู่ ๆ ก็บุกเข้ามาในรถของเขาดี ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าคน ๆ นี้เป็นใคร!

“อ๋อ! นี่แกล่อให้ฉันมาติดกับแกใช่ไหม?”

ขณะนี้หว่านเฮิงพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว มิน่าล่ะทำไมฟ่านซีเหยียนถึงได้กล้าออกมาเจออีกฝ่ายหลังจากที่ข่าวลือเพิ่งแพร่ออกไป ที่แท้มันก็เป็นหลุมพรางที่ล่อเขาออกมานี่เอง!

“เฮอะ! ไร้ประโยชน์น่า! ฉันถ่ายรูปของฟ่านซีเหยียนและคุณเอาไว้หมดแล้ว! แถมภาพล่าสุดยังชัดเจนมากอีกต่างหาก พวกคุณไม่มีทางปิดข่าวนี้ได้แน่นอน!”

เขาไม่ได้กลัวอวี้ฮ่าวหรานเลยแม้แต่น้อย เขาคือปาปารัซซี่ การที่เขาถูกจับได้มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกโมโหทันทีเมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้เกรงกลัวหรือสำนึกผิดอะไรเลยกับการกระทำของตัวเองแถมยังขู่เขาอีกต่างหาก!

“แกมั่นใจได้ยังไงว่าฉันเป็นสามีของฟ่านซีเหยียน? แกมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าข่าวของแกเป็นเรื่องจริง?”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามด้วยสีหน้าเย็นชา

“หลักฐานงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า นี่กำลังล้อกันเล่นอยู่รึไง? ตราบใดที่ฉันมีรูปถ่ายฉันสามารถเขียนข่าวอะไรก็ได้ตามใจชอบ! นี่คุณไร้เดียงสาถึงขนาดเชื่อจริง ๆ เหรอว่าฉันจำเป็นต้องมีหลักฐาน?”

หว่านเฮิงตอบกลับพร้อมกับหัวเราะอย่างขบขัน อีกฝ่ายช่างไร้เดียงสาจริง ๆ ที่คิดว่าเขาจำเป็นต้องมีหลักฐานเพื่อเขียนข่าว!

“พลั่ก!”

อย่างไรก็ตามวินาทีถัดมา เขาถูกชกอย่างแรงเข้าที่ปากจนฟันหักไปสองซี่!

อวี้ฮ่าวหรานทนไม่ไหวแล้ว เขาขี้เกียจจะพูดกับอีกฝ่ายให้เปลืองน้ำลาย!

ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องก็ต้องใช้กำลัง!

“ก…แก นี่แกกล้าชกฉันแบบนี้ได้ยังไงยัง!?”

หว่านเฮิงตะโกนลั่นด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรต่อเขาก็โดนเพิ่มอีก

“พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!”

อวี้ฮ่าวหรานต่อยไปเรื่อย ๆ แบบไม่หยุด เขาไม่ได้ต่อยเร็วมากอะไรและไม่ได้ใช้แรงเยอะเท่าไหร่ เขาแค่ต้องการสั่งสอนอีกฝ่ายด้วยความเจ็บปวดอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง!

หว่านเฮิงพยายามใช้แขนของตัวเองปัดป้องแต่มันก็ไม่เป็นผลเลย ทุก ๆ หมัดที่อวี้ฮ่าวหรานชกมาใส่เขามันตรงเข้ามาที่หน้าของเขาทุกหมัดอย่างแม่นยำและเจ็บปวดอย่างสม่ำเสมอราวกับว่าหน้าของมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“อั่ก…อั่ก…โอ๊ย…พ..พอ..พอก่อน…ผมยอ…ผมยอมแล้ว!”

หลังจากได้ยินคำอ้อนวอน อวี้ฮ่าวหรานก็ชกไปอีก 4-5 หมัดด้วยความหมั่นไส้ก่อนที่จะหยุดลงและมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าดูถูก

ไอ้มดแมลงตัวนี้นี่มันใจเสาะซะจริง มันอ่อนแอยิ่งกว่าไอ้พวกนักเลงที่เขาเคยอัดมาซะอีก!